พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 240 บัณฑิตเจอทหาร
มั่วชิงเฉินยกตาขึ้นมองข้างหน้าแล้ว อดขมวดคิ้วไม่ได้
ตั้งแต่ที่ออกจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยหินย้อยนั้น พริบตาเดียวทั้งสองคนก็เดินมาเกือบสามเดือนแล้ว
แดนไร้วิญญาณช่างสมชื่อยิ่งนัก นอกจากยามแรกที่พบมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์แล้วไม่คิดว่าจะไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นที่นี่อีกเลย
โดยเฉพาะครึ่งเดือนมานี้ ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปถึงสถานที่คับแคบแห่งหนึ่ง ทางที่เดินพอแค่ให้สองคนเดินเรียงหน้ากระดานเท่านั้น สองด้านเป็นกำแพงดินที่สูงไม่เห็นยอด
กำแพงดินอยู่ชิดติดตัวมั่วชิงเฉิน อยู่ใกล้ปานนี้นางกระทั่งได้กลิ่นดินอับชื้นขึ้นรา ยิ่งทำให้คนเกิดแรงกดดันขึ้นมาเสียเฉยๆ
จำได้ว่ายามที่เพิ่งมาถึงแดนไร้วิญญาณนี่ ขาดคาถาอาวุธเวทให้พึ่งพา มั่วชิงเฉินยังกังวลว่าจะพบสิ่งมีชีวิตอื่น ทว่าเดินมาตลอดทางนี้ ทางที่น่าอึดอัดหดหู่มองไม่เห็นสุดทางกลับทำให้นางอยากเจอสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างแทบทนไม่ไหว ต่อให้ต้องสู้กันสักยกก็ยังดีกว่าการเป็นเช่นนี้
บัดนี้พวกเขาอยู่เพียงระดับสร้างรากฐาน ยังไม่สามารถหมุนเวียนพลังวิญญาณภายในกายได้ การเติมพลังวิญญาณยังคงต้องอาศัยการดูดจากภายนอก และที่นี่ดันไม่มีปราณวิญญาณใดๆ ดังนั้นเมื่อเวลานานเข้าต่อให้พวกเขาไม่ได้โคจรพลังวิญญาณร่ายคาถา เพียงการเร่งเดินทางปกติยังคงทำให้พลังวิญญาณในการสูญเสียไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งแห้งเหือด
โชคดีที่ยามนั้นพวกเขาได้เอาขวดออกมาจำนวนไม่น้อย ได้เตรียมโอสถประเภทโอสถเติมวิญญาณไว้หมดแล้ว ยามที่พลังวิญญาณใช้หมดก็กินเข้าไปเม็ดหนึ่งก็จะกลับมากระชุ่มกระชวยได้อีก
เสียดายเพียงโอสถเติมวิญญาณของหลัวอวี้เฉิงกินหมดไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว
“ขอโอสถเติมวิญญาณให้ข้าอีกเม็ด” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างซังกะตาย
มั่วชิงเฉินยื่นโอสถเติมวิญญาณให้เม็ดหนึ่งอย่างใจกว้าง ที่ยื่นตามไปยังมีม้วนคัมภีร์หยกเล็กๆ ม้วนหนึ่ง แล้วยิ้มระรื่นว่า “อ้าว กรุณาจดไว้ด้วย”
หลัวอวี้เฉิงถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างแค้นเคืองปราดหนึ่ง กลืนโอสถเติมวิญญาณเข้าไปในคำเดียวจนกระทั่งพลังวิญญาณฟื้นฟูถึงแย่งม้วนคัมภีร์หยกในมือนางไป ยื่นจิตตระหนักออกมาสลักตัวอักษรเข้าไปไม่กี่ตัว “ซื้อโอสถเติมวิญญาณหนึ่งเม็ด ติดหินวิญญาณระดับต่ำมั่วชิงเฉินหนึ่งร้อยก้อน” ทันทีที่เขียนเสร็จก็โยนกลับไป
มั่วชิงเฉินรับไว้อย่างคล่องแคล่ว ยิ้มหวานพลางเก็บม้วนคัมภีร์หยกเข้าในตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็ก ในใจคำนวณอยู่ว่าหากสามารถออกจากที่นี่ได้ หลัวอวี้เฉิงคงต้องทำงานใช้หนี้ตนไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่
หลัวอวี้เฉิงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของมั่วชิงเฉินแล้วแอบกัดฟัน เขาช่างโชคร้ายจริงๆ ถึงมาเจอหญิงที่ฉวยโอกาสเช่นนี้ โอสถเติมวิญญาณเม็ดหนึ่งราคาตลาดไม่เกินหินวิญญาณสามสิบก้อน ไม่คิดว่านางกล้าเอาถึงหนึ่งร้อยก้อน นี่ นี่มันปล้นกันชัดๆ!
ไม่ ยังเร็วกว่าการปล้นเสียอีก การปล้นอย่างไรเสียก็ต้องออกแรงเสียหน่อย แต่นี่กลับเขียนขึ้นไปด้วยตนเอง ต่อไปจะเบี้ยก็เบี้ยไม่ได้
มั่วชิงเฉินเหลือบเห็นท่าทางโมโหโทโสของหลัวอวี้เฉิงแล้วแอบหัวเราะ นางก็ไม่ได้ใส่ใจหินวิญญาณพวกนี้หรอกนะ ที่สำคัญคือไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นท่าทางกลั้นความโกรธของอีกฝ่ายแล้วก็แอบรู้สึกสะใจ
ฮึ ให้เจ้ายึดจวนของตระกูลมั่วเรา อย่างไรก็ควรจ่ายค่าเช่าจวนในหลายปีนี้เสียหน่อยใช่หรือไม่ล่ะ
หลัวอวี้เฉิงไม่รู้ความคิดในใจของมั่วชิงเฉิน เขาที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้วรู้สึกเพียงว่าเพียงมองหญิงผู้นี้มากขึ้นปราดหนึ่งก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ จึงก้าวสวบๆ เดินไปข้างหน้า เดินอย่างรวดเร็วยิ่งเดินยิ่งไกล
มั่วชิงเฉินแอบยิ้มเยาะ ไร้สาระ อีกสักครู่พลังวิญญาณหมดแล้วก็ต้องกลับมาซื้อแต่โดยดีอีกอยู่ดี
ทั้งสองคนเดินเช่นนี้ไปอีกหกเจ็ดวัน ทางแคบลงจนพอให้เพียงคนเดียวเดินตัวเอียงได้เท่านั้นแล้ว โคลนตมบนทางที่เดินก็มากขึ้นเรื่อยๆ ขากางเกงของทั้งสองคนเปียกไปหมดแล้ว เวลาเดินยิ่งรู้สึกหนัก
มั่วชิงเฉินสะบัดรองเท้าทิ้งไปนานแล้ว บัดนี้เดินเท้าเปล่ามาตลอดทาง พบว่าไม่มีพลังวิญญาณคุ้มกาย เท้าแช่อยู่ในโคลนทั้งวันจนบวมขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“สหายเต๋าหลัว ขืนเดินหน้าอีก จะไม่มีทางให้เดินแล้วกระมัง?” มั่วชิงเฉินโน้มตัวไปข้างหน้าพยายามเบียดข้ามไปจนได้ แล้วถามอย่างกังวล
เสียงเย็นชาของหลัวอวี้เฉิงลอยมา “ไม่รู้”
มั่วชิงเฉินหยุดเดินโดยพลัน เอ่ยเสียงหลงว่า “ไม่รู้?”
รอยยิ้มในตาหลัวอวี้เฉิงวาบผ่านไป “สหายเต๋ามั่วพูดจาชอบกลนัก ข้าไม่สามารถทำนายล่วงหน้าเสียหน่อย จะรู้ไปเสียทุกเรื่องได้เช่นไรกัน?”
มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงเอ่ยอย่างสงบว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าเป็นคนนำทางตลอดนี่นา”
หลัวอวี้เฉิงกระดกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ข้าพูดเมื่อไรว่าจะนำทาง ตลอดมาได้แต่เดินส่งเดชทั้งนั้น” เพิ่งสิ้นเสียงก็เห็นมั่วชิงเฉินหน้าถอดสี ทำให้รู้สึกสบายอุราขึ้นมาทันที
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นว่า “นี่ก็ไม่มีอะไร หากอีกสักครู่ข้างหน้าไม่มีทางเดินแล้ว เราค่อยย้อนกลับทางเดิมแล้วกัน ไหนๆ พวกเราก็เลี่ยงธัญพืชหมดแล้วอย่างไรเสียก็อดไม่ตายหรอก แดนไร้วิญญาณนี่ก็เพียงแค่น่าเบื่อไปสักหน่อย แต่ก็ไม่มีอันตรายอะไร ไอยา เพียงแค่โอสถเติมวิญญาณเหลือไม่มากแล้วนี่สิ…”
หลัวอวี้เฉิงมือสั่นทีหนึ่ง สูดหายใจเข้าอึดหนึ่งถึงเอ่ยว่า “เดินไปข้างหน้าอีก พวกเราก็น่าจะออกไปได้แล้ว”
“จริงหรือ?” มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย พูดตามตรง อยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตมาเกือบหนึ่งปี มันช่างเหลือทนจริงๆ
“เจ้าตามข้ามาก็แล้วกัน” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างเย็นชา จากนั้นก็เดินหน้าไปอย่างไม่สนใจใคร
มั่วชิงเฉินหัวเราะ จู่ๆ นางก็พบว่าตามคนเช่นนี้ก็มีข้อดีเช่นกัน เจอเรื่องอะไรเข้ายังไม่รอให้เจ้าใช้สมองเขาก็พุ่งเข้าไปแก้ปัญหาแล้ว รั้งก็รั้งไม่อยู่
เดินต่ออีกหนึ่งวันเล็กน้อย ทางโคลนตมใต้เท้ากลายเป็นแม่น้ำแล้ว ทางเดินยังคงคับแคบดังเดิม
มองดูกระโปรงที่เปียกชุ่มไปหมดมั่วชิงเฉินแอบตัดสินใจแน่วแน่ รอออกจากที่นี่ไปต้องไปซื้อเสื้อผ้าที่กันน้ำกันไฟสักสิบชุดแปดชุดให้ได้ จะไม่ทนทรมานเช่นนี้อีกแล้ว!
แม้น้ำใต้เท้ายิ่งเดินยิ่งลึก ค่อยๆ ท่วมมาถึงเอว กระแสน้ำเชี่ยวกราก สองคนจึงได้แต่จูงมือกันคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลังเดินหน้าไปอย่างช้าๆ
จู่ๆ มั่วชิงเฉินรู้สึกว่ามีของอะไรแตะถูกขาอ่อนตนเอง จึงล้วงมือไปในน้ำทันทีอย่างหน้าถอดสี ไม่คิดว่าในมือจะจับได้ปลาตัวเล็กตัวหนึ่ง สะบัดหางจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว
หลัวอวี้เฉิงสีหน้าปีติ “ดูท่าทางทางออกก็อยู่ตรงหน้าแล้ว”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วก็ดีใจมากเช่นกัน มองดูปลาในมือแล้วรู้สึกเจริญหูเจริญตาขึ้นมา แล้วปล่อยมันกลับลงน้ำทันที
เดินเช่นนี้อยู่หลายชั่วยาม เริ่มมีแสงคลุมเครือส่องเข้ามา ปากถ้ำแคบๆ ยาวๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสองคน
ทั้งสองคนสีหน้าตื่นเต้น รู้สึกเหมือนมีลมเกิดขึ้นใต้เท้าทันที ไม่นานก็มาถึงทางออก
มองดูทางออกที่คับแคบ มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “แคบเกินไป เราข้ามไปไม่ได้”
หลัวอวี้เฉิงยื่นมือลองลูบขอบปากถ้ำดู แล้วออกเสียงว่า “ในฟ้าดินที่นี่ยังไม่มีปราณวิญญาณดังเดิม ดูท่านอกปากถ้ำยังคงอยู่ในเขตแดนของแดนไร้วิญญาณ”
มั่วชิงเฉินก็สัมผัสได้แล้ว พยักหน้าว่า “ถูกต้อง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ในเมื่อเรามาถึงนี่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหันกลับ อย่างไรก็ต้องออกไปดูว่าข้างนอกมีโอกาสรอดอะไรหรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงมองมือของตนเอง จากนั้นมองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋ามั่ว หากเป็นเช่นนี้ละก็พวกเราก็ต้องทำเหมือนยามที่ฝืนเปิดถุงเก็บวัตถุออก โคจรพลังวิญญาณทั่วร่างปล่อยออกในอึดใจเดียวซัดไปที่กำแพงหินผาเพื่อขยายทางออก”
“ได้ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
ทั้งสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วโคจรพลังวิญญาณทั่วร่างซัดไปที่กำแพงหินผาข้างปากถ้ำในตำแหน่งเดียวกันพร้อมกัน
แล้วก็ได้ยินเสียง ‘โครม’ เสียงหนึ่ง เศษหินบินว่อน ปากถ้ำขยายออกมากมายในอึดใจเดียว ทว่าทั้งสองคนกลับถูกแรงเหวี่ยงมหาศาลดันออกไปพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินรู้สึกใต้เท้าว่างเปล่า ร่างกายตกลงไปโดยพลัน
ในขณะที่ตกใจร้องเสียงหลงหลัวอวี้เฉิงจับมือของนางไว้ทันที ทว่านี่ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ร่างของทั้งสองคนตกลงไปอย่างเร็วพร้อมกันและได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวผ่านเต็มหู
การร่วงหล่นที่เร็วเกินไปทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ในใจอดยิ้มระทมไม่ได้ อย่าบอกนะว่าอยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาเกือบหนึ่งปี เพิ่งออกมาได้ก็ต้องมาเจอจุดจบตกลงไปตายเช่นนี้?
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตกลงมาตาย ลือออกไปก็นับว่าเป็นข่าวประหลาดในใต้หล้าแล้ว
“ข้างล่าง…น่าจะมีทะเลสาบ…” หลัวอวี้เฉิงที่จับข้อมือของมั่วชิงเฉินไว้แน่นจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าที่ที่พวกเขาตกลงมาสูงจากก้นเท่าไร ผ่านไปนานถึงเพียงนี้ก็ยังอยู่กลางอากาศอยู่ ได้ยินคำพูดของหลัวอวี้เฉิงแล้วแสยะปากว่า “เจ้าแน่ใจ?”
อาจผ่านไปเพียงชั่วครู่ หรืออาจนานมากนานมาก ในสถานการณ์เช่นนี้การรับรู้เวลาของมั่วชิงเฉินเฉื่อยชาลงมาก ได้ยินเพียงหลัวอวี้เฉิงพูดออกมาสามคำว่า “ข้าเดาเอา…”
ยังไม่รอมั่วชิงเฉินพูดอะไรอีก ทั้งสองคนก็ตกลงไปในน้ำดังจ๋อมแล้ว
น้ำท่วมสองคนจนมิดทันที มุกกันน้ำที่ผูกอยู่ที่ข้อมือมั่วชิงเฉินส่องประกายขึ้น ผ่าน้ำออกให้ทั้งสองคนเป็นที่ผืนใหญ่
“ไม่คิดว่าเจ้ายังมีมุกกันน้ำด้วย” หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว
เมืองลั่วหยางตั้งอยู่ภาคตะวันตกของดินแดนเทียนหยวน ใกล้กับดินแดนไท่ไป๋มาก ด้านนี้จัดเป็นแหล่งภูเขาน้อยน้ำน้อย ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่พกมุกกันน้ำติดตัวนั้นพูดได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย
“ไม่ต้องคิดเหลวไหลแล้ว ขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
อยู่กับคนคนนี้มานาน นางเข้าใจแล้วว่าบางทีคำพูดตามอารมณ์เพียงประโยคเดียวเขาก็สามารถคิดอะไรออกมาได้ร้อยแปด
ทั้งสองคนลอยขึ้นด้านบน เพิ่งมุดออกจากผิวน้ำก็งงเป็นไก่ตาแตกทันที
เห็นชายกำยำรูปร่างสูงใหญ่หลายสิบคน ที่เอวผูกเพียงหนังสัตว์ผืนเดียวมือถืออาวุธหน้าตาเหมือนง่ามปลา จ้องพวกเขาตาขวาง ปากก็โหวกเหวกโวยวาย อีกทั้งยังโบกง่ามปลาในมือเป็นระยะ
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
คำพูดที่ชายกำยำพวกนี้พูดแม้ไม่ใช่ภาษาที่ใช้กันทั่วไปในดินแดนเทียนหยวน ทว่าพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ย่อมสามารถเข้าใจความหมายในคำพูดพวกเขาโดยอาศัยความผันผวนของพลังจิตของอีกฝ่าย ทว่าทุกอย่างตรงหน้ายังคงทำให้คนรู้สึกคาดไม่ถึงเกินไป
“คนพวกนี้บอกว่า…จะเผาพวกเรา?” มั่วชิงเฉินสื่อสารกับหลัวอวี้เฉิงด้วยจิตตระหนัก
คนพวกนั้นโหวกเหวกโวยวายพูดยาวเป็นพรวน โดยสังเขปก็คือพวกเขาบังอาจบุกเข้ามาในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ไม่อาจอภัยให้จริงๆ จะใช้โทษเผาไฟเผาพวกเขาสังเวยสวรรค์ เพื่อดับไฟพิโรธของโอรสศักดิ์สิทธิ์
“กับคนพวกนี้ เกรงว่าจะคุยเหตุผลกันไม่รู้เรื่อง…” เพิ่งสิ้นเสียงหลัวอวี้เฉิง ก็เห็นชายกำยำพวกนั้นแทงง่ามปลาในมือไปในทะเลสาบพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินลากหลัวอวี้เฉิงจมลงก้นทะเลสาบทันที แล้วยิ้มระทมว่า “เจ้าพูดถูกอีกแล้ว”
“ต่อไปทำเช่นไรดี?” หลัวอวี้เฉิงขมวดคิ้วถาม
พวกเขาอยู่ที่นี่นานเกินไปจริงๆ ระยะเวลาหนึ่งปี ไม่รู้ข้างนอกเปลี่ยนไปถึงไหนแล้ว
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วว่า “เจ้าถามข้า?”
“ก็ใช่น่ะสิ ในเมื่อพูดกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง ข้าจะมีวิธีอันใด อย่างไรเสียเจ้าก็แรงเยอะกว่าข้า” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
มั่วชิงเฉินหน้าดำ ได้ นางจะถือเสียว่านี่เป็นการชมก็แล้วกัน จึงเอ่ยทันทีว่า “ไม่สู้ลองรอสักพักค่อยว่ากัน คนพวกนั้นคงไม่เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอก”
บัดนี้ดูแล้วมีเพียงวิธีโง่ๆ นี้เท่านั้น ทั้งสองคนเพื่อไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น จึงอยู่ใต้ทะเลสาบสามวันติดต่อกันถึงลอยขึ้นมาเงียบๆ
ใครจะรู้ว่าเพิ่งโผล่ศีรษะมา สายตาก็ประสานเข้ากับสายตาของหนึ่งในชายกำยำที่เฝ้าอยู่ข้างทะเลสาบเข้าทันที
ชายกำยำคนนั้นมองพวกเขาเพียงปราดเดียวก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาดกระโดดขึ้นมา ปากตะโกนโหวกเหวกโวยวายขึ้นมา
เพียงครู่เดียว ริมทะเลสาบก็ยืนเต็มไปด้วยชายกำยำถือง่ามปลา ดูจำนวนคนแล้วดูเหมือนยังมากกว่าสามวันก่อนเสียอีก
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วจมลงไปอย่างไม่ลังเล
——
[1] บัณฑิตเจอทหาร (เป็นสำนวนละท้าย หรือคำพังเพยเปรียบเทียบชนิดหนึ่ง ซึ่ง แบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันคือ ส่วนแรกและส่วนหลัง ส่วนแรกเป็นส่วนเปรียบเทียบ ส่วนหลังทำหน้าที่อธิบาย) ส่วนหลังคือ มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ หมายถึง บัณฑิตใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ทหารใช้กำลังในการแก้ปัญหา ว่ากันด้วยกำลังบัณฑิตย่อมสู้ทหารไม่ได้ อธิบายเหตุผลไปก็ไม่ฟังและไม่ได้ผล