พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 250 น้ำมาคลองย่อมเกิด
หน้าผาสูงชันและลื่น สูงไม่รู้กี่หมื่นจั้ง พวกมั่วชิงเฉินสองคนบินขึ้นไปช้าๆ หลังจากบินได้ระยะหนึ่งพละกำลังไม่ค่อยไหวแล้ว จึงหยุดพักบนก้อนหินที่ยื่นออกจากหน้าผาก้อนหนึ่ง
ยืนอยู่บนหน้าผาสูงหมื่นจั้งแล้วมองลงไป คือทะเลเมฆที่คลื่นหมอกซัดสาด ในเมฆหมอกที่ทับซ้อนกันมองไม่เห็นหน้าตาของหุบเขาไร้วิญญาณอีก
ไม่แน่ผ่านไปพันปีหมื่นปี โลกภายนอกก็ไม่มีทางรู้ตลอดกาลว่าใต้หุบเหวลึกหมื่นจั้งนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ พวกเขาบำเพ็ญเพียรไม่ได้ อาศัยการล่าสัตว์เก็บผลไม้ป่าอย่างดั้งเดิมที่สุดประทังชีวิต กลับมีความสุขที่เร่าร้อนและง่ายที่สุด
มองไปข้างบน ยังคงเป็นทะเลเมฆ เห็นเพียงสีขาวเวิ้งว้าง ไม่รู้ทางไหนถึงเป็นฝั่ง
มั่วชิงเฉินเกิดทอดถอนใจ ในที่สุดก็เข้าใจความรู้สึกของฝูเฟิงเจินจวินในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มีอิทธิฤทธิ์ในการเหาะเหินเดินอากาศกลับต้องสิ้นหวังเพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว
นึกถึงอีกว่าทั้งสองคนอยู่ในหุบเขาเพียงแค่สามปีก็ได้ผลไม้เซียนผลไม้วิเศษมหัศจรรย์ ถึงออกมาได้ คำสั่งสอนก่อนจากกันของฝูเฟิงเจินจวินก็ดังขึ้นข้างหู
เห็นค่าของบุญ นี่คือการเตือนอย่างจริงใจครั้งสุดท้ายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ถูกกักอยู่ในที่แห่งนี้มานับพันปี
จากการเล่าของฝูเฟิงเจินจวินเดาได้ไม่ยากว่าปีนั้นเขาก็เป็นบุคคลระดับบุตรผู้ได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ ก็เคยเอาแต่ใจอิสรเสรี กระทั่งไม่เห็นทุกอย่างในสายตา สุดท้ายความไม่ยอม เสียดาย สิ้นหวัง คาดหวังทั้งหมดล้วนแปรเปลี่ยนเป็นคำสี่คำส่งให้พวกเขาสองคน ความหมายที่ลึกซึ้งในนั้นคู่ควรที่จะให้พวกเขาไปตริตรองอย่างดี
“ไม่ต้องคิดแล้ว ไปเถอะ” หลัวอวี้เฉิงมองดูมั่วชิงเฉินที่ไม่รู้คิดอะไรอยู่แล้วเอ่ยขึ้น
มั่วชิงเฉินพยักหน้าแผ่วเบา สองคนบินขึ้นข้างบนพร้อมกันอีก
เสียงลมพัดข้างหูดังไม่หยุด พัดเสื้อผ้าของทั้งสองคนพลิ้วไปตามลม
“สหายเต๋ามั่ว เจ้าว่าพวกเราเช่นนี้เหมือนบินสู่โลกเซียนหรือไม่?” จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงก็ออกเสียงถาม
มั่วชิงเฉินชะงัก มองท่าทางจริงจังของหลัวอวี้เฉิงแล้วหัวเราะว่า “หากมีเรื่องดีเช่นนี้ก็ดีน่ะสิ”
ทั้งสองคนไม่พูดต่ออีก แล้วบินขึ้นข้างบนไปเงียบๆ
ไม่รู้บินนานเพียงใด เมฆหมอกข้างบนค่อยๆ บางเบา เผยให้เห็นเงาท้องฟ้าสีคราม
แสงตะวันเป็นสายสาดส่องลงมา ย้อมขอบทองให้เมฆขาว ใบหน้าของทั้งสองคนส่องแสงอันพร่ามัวท่ามกลางเมฆขาวในแสงตะวันเช่นกัน ดูแล้วก็คล้ายเทพเซียนจริงๆ
ในที่สุดก็เห็นพื้นดินแล้ว พวกมั่วชิงเฉินสองคนเหยียบขึ้นไป
เท้าแตะพื้น มั่วชิงเฉินรู้สึกจิตใจสงบผสมผสานกับความรู้สึกหดหู่จากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วยิ้มให้หลัวอวี้เฉิงว่า “สหายเต๋าหลัว ที่แท้ยังเป็นโลกมนุษย์”
หลัวอวี้เฉิงเม้มริมฝีปากบางแผ่วเบา ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
ทั้งสองคนพลางเดินพลางพิจารณา ถึงพบว่าที่นี่คือทิวเขาเรียงราย ต้นไม้เขียวขจี เสียงร้องเบาๆ ของสิงสาราสัตว์ดังมาเป็นระยะ กลับขับให้ที่นี่ยิ่งเงียบสงัดขึ้น
หลัวอวี้เฉิงพิจารณารอบหนึ่งในใจมีความคิดแล้ว แล้วหยุดลงที่ที่หนึ่งว่า “สหายเต๋ามั่ว เราแยกจากกันตรงนี้เถอะ”
มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “ได้”
มองดูใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้ายของมั่วชิงเฉินแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจหลัวอวี้เฉิงรู้สึกผิดหวังรางๆ ตกลงเพราะอะไรกันแน่กลับยากจะอธิบายให้ชัดเจนได้
อาจเพราะตั้งแต่ตนถือกำเนิดมาเป็นครั้งแรกที่ตนอยู่ร่วมกันเช้าเย็นกับหญิงสาวที่ตามฝีเท้าของตนทันนานถึงเพียงนี้กระมัง
นึกถึงตรงนี้เงาร่างในชุดสีแดงสดสายหนึ่งวาบผ่านสมองหลัวอวี้เฉิง รอยยิ้มเย้ยหยันที่เคยชิน โผล่ขึ้นที่มุมปากกอบหมัดใส่มั่วชิงเฉิน แล้วหันหลังจากไป
“สหายเต๋าหลัว…” มั่วชิงเฉินตะโกนตามหลังมา
“มีอะไร?” หลัวอวี้เฉิงหยุดฝีเท้า ในใจรู้สึกปีติอย่างที่ตนก็ไม่เข้าใจ
แล้วก็เห็นมั่วชิงเฉินส่ายม้วนคัมภีร์หยกเล็กๆ ในมือตนเองว่า “สหายเต๋าหลัว อย่าลืมคืนเงิน”
หลัวอวี้เฉิงหน้าบึ้ง ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันปราดหนึ่งแล้วหันหลังเดินไปแล้ว
ว่าแล้วเชียว ข้าไม่ควรตั้งความหวังอะไรกับผู้หญิงบ้าที่ชอบเอาเปรียบคนนี้!
หลัวอวี้เฉิงคิดอย่างโมโหพลางเดินหน้าไป
ไม่ได้ หินวิญญาณมากถึงเพียงนี้หากคืนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ ตนมิต้องขายของทั้งหมดที่มีหรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วหลัวอวี้เฉิงหยุดเดิน หันกลับมาว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าต้องการเพียงหินวิญญาณหรือ? ไม่รู้ใช้ของอย่างอื่นทดแทนได้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่งก่อน จากนั้นยิ้มหวานเหมือนดอกไม้ว่า “สหายเต๋าหลัวหากมีของที่ข้าต้องการ เช่นนั้นย่อมใช้สิ่งของใช้หนี้ยิ่งดี”
“เจ้าต้องการอะไร?” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างซังกะตาย ไม่รู้เพราะเหตุใดมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายแล้วกลับมีความรู้สึกอยากยกเท้าวิ่งหนี
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าต้องการไม้สะกดวิญญาณ หากสหายเต๋าหลัวสามารถเอาไม้สะกดวิญญาณออกมาได้ หินวิญญาณที่เจ้าติดข้าก็หายกัน”
“ไม้สะกดวิญญาณ?” สายตาของหลัวอวี้เฉิงตกไปบนหน้ามั่วชิงเฉิน พึมพำด้วยสีหน้าประหลาด
มั่วชิงเฉินเหลือกตาใส่ “พอแล้ว เจ้าคิดให้มันน้อยหน่อยเถอะ เอาเป็นว่าข้าต้องการแค่ไม้สะกดวิญญาณ หรือไม่เจ้าก็คืนหินวิญญาณ อ้อ ใช่แล้ว ถ้าจะคืนหินวิญญาณละก็ ข้าเก็บดอกเบี้ยนะจะบอกให้”
หลัวอวี้เฉิงหน้าดำทันที เกือบกระอักเลือดออกมา ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันแล้วหันหลังเดินไปแล้ว
มั่วชิงเฉินกลับยิ้มระรื่นแล้วโบกมือว่า “สหายเต๋าหลัว ไว้พบกันใหม่”
หลัวอวี้เฉิงหยุดฝีเท้า จนกระทั่งเดินไปไกลแล้วเสียงนิ่งเรียบถึงลอยมาว่า “ที่นี่คือสถานที่ตัดกันของแดนไท่เป๋าและดินแดนเทียนหยวน เดินไปทางตะวันตกอีกคือป่ากาลี มั่วชิงเฉินรักษาตัวด้วย”
มองเงาร่างสีดำสายนั้นค่อยๆ หายไป มั่วชิงเฉินเบนสายตากลับมา ยื่นมือตบถุงอสูรวิญญาณของตนทีหนึ่ง อีกาอ้วนดำตัวหนึ่งก็บินออกมา
อีกาไฟเพิ่งบินออกมา ก็พุ่งเข้าอ้อมกอดของมั่วชิงเฉินทันที กระพือปีกร้องไห้แว้ดๆ ขึ้นมาว่า “เจ้านาย แว้ดๆ แว้ดๆ อึดอัดจะตายอยู่แล้ว แว้ดๆ…”
มั่วชิงเฉินนวดขมับ ยิ้มอย่างขมขื่นว่า “อู่เย่ว์ ขืนเจ้าพูดมากอีกข้าก็ยังจะโยนเจ้ากลับเข้าไปอีก”
“แว้ด…” อีกาไฟรีบใช้ปีกข้างหนึ่งปิดปากไว้ หยุดเอะอะโวยวาย แล้วใช้ตารื้นน้ำตาจ้องมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตบหัวอีกาไฟอย่างรู้สึกตลก ทันใดนั้นในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างหาได้ยาก แต่กลับพึมพำว่า “ไยผึ้งวิญญาณเลือดมรกตถึงไม่ออกมา?”
พูดพลางยื่นจิตตระหนักเข้าไปดูในถุงอสูรวิญญาณ แล้วกลับต้องตกใจยกใหญ่ เห็นในถุงอสูรวิญญาณมีไข่แมลงสีมรกตขนาดเท่าเมล็ดข้าวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวนั้นไม่ขยับเขยื้อนอยู่ข้างในเฝ้าอยู่ข้างๆ ไข่แมลง เหมือนแม่ไก่ปกป้องลูกไก่อย่างไรอย่างนั้น
ไม่คิดว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกไข่แล้ว!
มั่วชิงเฉินรู้สึกเหนือความคาดหมาย นึกถึงว่าสี่ปีนี้พวกมันได้แต่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณไม่ได้กินอะไรเลย จึงรีบใส่ของที่ปกติพวกมันชอบเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ แล้วถึงเก็บจิตตระหนักกลับมา
อีกาไฟเอาปีกออกจากปาก พูดอย่างน้อยใจว่า “เจ้านายลำเอียง ลำเอียง ข้าขอสาปแช่งให้ไข่พวกนั้นฟักลูกผึ้งออกมาไม่ได้หมดเลย!”
“อู๋เย่ว์! เจ้าแน่ใจ?” มั่วชิงเฉินถามชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าเริ่มดำ
อีกาไฟกลอกกลิ้งตาเล็กๆ ไปมา อ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “โมโหอะไร เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าคนเขาพูดอะไร สิบครั้งมีเก้าครั้งที่ไม่เฮี้ยน…”
มั่วชิงเฉิน…
มีอู๋เย่ว์เป็นเพื่อน เดินอยู่ในเทือกเขาลึกเช่นนี้มั่วชิงเฉินกลับไม่รู้สึกเหงา เดิมทีนางกะจะบินกลับสำนักโดยตรงแล้วกักตนทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะปลาย รอออกจากกักตนค่อยไปปราณภูเขาไฟไหล ทว่าหลังจากฟังการตักเตือนของหลัวอวี้เฉิงแล้วกลับเปลี่ยนความคิดแล้ว
หากจากนี่ไปทางทิศตะวันตกอีกเป็นป่ากาลีละก็ เช่นนั้นตามการชี้นำของแผนที่ ที่นี่น่าจะเป็นเขาอู๋ฉยงที่อยู่ติดกับป่ากาลี
ป่ากาลีและเขาอู๋ฉยงล้วนจัดเป็นสถานที่อันตราย ยิ่งเพราะอยู่ติดกับดินแดนมารจึงทำให้สถานการณ์ซับซ้อน หากนางผลีผลามบินขึ้นเร่งเดินทางละก็ หากเจอสถานการณ์อะไรเข้าก็ยุ่งยากแล้ว
บัดนี้นางเวลาเร่งรีบ ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดมาทำให้เสียเวลาได้อีกแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ ก็หาสถานที่ปลอดภัยสักที่กักตนทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะปลายให้รู้แล้วรู้รอดไป รอหลังจากออกจากกักตนความสามารถเพิ่งขึ้นหนึ่งระดับค่อยเร่งเดินทางจะเหมาะสมกว่า
มั่วชิงเฉินตัดสินใจแล้วก็อดทนค้นหา ในที่สุดก็หาถ้ำที่มิดชิดได้ถ้ำหนึ่ง หลังจากก้มตัวเข้าไปแล้วถึงพบว่าพื้นที่ข้างในก็ไม่เล็ก หากกักตนที่นี่ละก็ไม่อึดอัดเลยสักนิด
มั่วชิงเฉินปล่อยจิตตระหนักสำรวจอย่างละเอียด ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร จึงใช้ก้อนหินเถาวัลย์ผนึกปากถ้ำไว้ เช่นนี้ดูจากข้างนอกแล้วก็เหมือนเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ยากมากที่จะพบว่าหลังเถาวัลย์มีสิ่งซ่อนเร้นอยู่
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างพอใจ คาถาธาตุไม้แม้ไม่ถนัดการโจมตี ปกติกลับใช้งานได้มากกว่า ตนใช้ก้อนหินต้นไม้ใบหญ้าตามธรรมชาติผนึกปากถ้ำไว้ ต้องได้ผลดีกว่าใช้คาถาค่ายกลมาก เพราะอย่างไรเสียคาถาค่ายกลส่วนใหญ่ล้วนไม่ขาดการผันผวนของพลังวิญญาณ
ผนึกปากถ้ำเสร็จ มั่วชิงเฉินวางค่ายสะกดวิญญาณและค่ายป้องกันไว้รอบตัว ถึงนั่งขัดสมาธิลงกลางค่ายกล
นางไม่ได้รีบร้อนกักตน หากแต่ล้วงของที่จำเป็นออกมาทีละอย่างวางไว้ในสถานที่ที่ยื่นถึง ถึงค่อยๆ หลับตาลงสงบจิตใจ
การเดินทางในถนนโคลนตมเกือบหนึ่งปี สามปีของการใช้ชีวิตในหุบเขา ทำให้สภาพจิตใจของมั่วชิงเฉินพัฒนาขึ้นมากอย่างไม่รู้ตัวแล้ว นางขจัดความใจร้อนไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่สภาพสมองว่างเปล่า จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียว
จนกระทั่งถึงตอนนี้ นังยังคงไม่ได้กินโอสถใดๆ ลงไป เพียงแต่ใช้พลังของตนค่อยๆ ชักนำพลังวิญญาณโคจรไปมาในกาย
หลังจากโคจรรอบใหญ่หลายรอบ ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนั้นก็ค่อยๆ กลับมา นางถึงหยิบโอสถรวมจิตออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนลงไปอย่างไม่รีบร้อน
ปราณวิญญาณที่อยู่ในโอสถรวมจิตระเบิดออก ทว่าตันเถียนของมั่วชิงเฉินในยามนี้รับพลังวิญญาณที่มากเกินมาไม่ได้แม้แต่สายเดียว ในชีพจรก็ถูกพลังวิญญาณเติมเต็มเช่นกัน ปราณวิญญาณพวกนั้นไม่มีที่ไป จึงพุ่งชนไปทั่วในตันเถียน
ระยะกลางถึงระยะปลายแม้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานติดอยู่มากมาย ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นการเลื่อนระดับเล็ก ขั้นตอนโดยธรรมชาติแล้วไม่ต่างกับระยะต้นเลื่อนขั้นเข้าระยะกลาง
มั่วชิงเฉินทำตามวิธีเมื่อก่อนอย่างมีแบบแผน ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ยามที่รู้สึกรางๆ ว่าแตะถูกธรณีประตูนั้นแล้วก็ล้วงโอสถลับที่หลอกมาจากคุณชายสิบเจ็ดตระกูลหวังกลืนลงไป
ยามบำเพ็ญเพียรไม่รู้วันเวลาผ่านไปนานเท่าไร เมื่อยามที่มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนให้หลังแล้ว
นางสะบัดฝุ่นดินบนชุดกระโปรงลุกขึ้นยืน แล้วหายใจออกยาวๆ
การเลื่อนขั้นแม้อยู่ในความคาดหมายของนางมานานแล้ว เป็นเรื่องน้ำมาคลองย่อมเกิด แต่เมื่อเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นเช่นนี้จริงในใจยังคงดีใจไม่หาย
“เจ้านาย เจ้าเลื่อนขั้นอีกแล้ว!” อีกาไฟที่ได้โอกาสออกมาร้องเสียงดังว่า
มั่วชิงเฉินตบหัวอีกาไฟพลางยิ้ม
กลับได้ยินอีกาไฟหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เจ้านาย เจ้าเลื่อนขั้นสำเร็จช่างน่ายินดีจริงๆ เลย ไม่สู้เรามาดื่มสุรากันเล็กน้อยฉลองกันสักหน่อยเป็นเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจำใจ เกิดมีอารมณ์แล้วเช่นกัน หนึ่งคนหนึ่งนกจึงดื่มอย่างสะใจยกหนึ่ง
เช้าตรู่วันที่สอง มั่วชิงเฉินเปิดปากถ้ำออก พาอีกาไฟเดินออกไป
“เจ้านาย เราจะไปไหน?” อีกาไฟสะอึก ถามด้วยดวงตาพร่ามัวเพราะความเมา
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก เหตุใดนางถึงลืมไปได้นะว่าเจ้านี่ขวดเดียวล้ม เมื่อวานดื่มไปมากปานนั้นวันนี้ยังไม่สร่างเมา!
จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไปปราณภูเขาไฟไหล!” พูดจบอัญเชิญเรือเล็กออกมาแล้วกระโดดขึ้นไป