พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 254 ได้วิชากลั้นใจ
แม่นางน้อยผู้นี้ดูแล้วอายุไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี ดูบุคลิกท่าทาง อายุจริงเกรงว่าไม่เกินห้าสิบปี
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายอายุไม่ถึงห้าสิบปี ไม่ต้องถามมากต้องเป็นศิษย์หัวกะทิของสำนักใหญ่อย่างแน่นอน มีอาจารย์เป็นเรื่องในความคาดหมาย
เห็นนางท่าทางสีหน้าจริงจัง ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวกลับเกิดอยากแกล้งขึ้นมา จงใจหยอกเล่นว่า “มีอาจารย์แล้วอย่างไร เจ้าย้ายสำนักก็ได้แล้วมิใช่หรือ”
มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างโดยพลัน มองผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวตรงหน้าอย่างงงงัน คนคนนี้คงไม่ได้เสียสติหรอกนะ นี่เหมือนเป็นคำพูดที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพูดหรือไม่? หรือว่า… เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ความระแวงในตามั่วชิงเฉินยิ่งหนักขึ้น พิจารณาคนตรงหน้าอย่างระแวดระวัง
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวแอบตลก ปากกลับว่า “เป็นเช่นไร ศิษย์น้อย พิจารณาถึงไหนแล้ว?”
มั่วชิงเฉินหลุบตาลง แอบว่าหรือว่าเพราะขลุกอยู่กับอู๋เย่ว์นานวันเข้า ไยนับวันถึงยิ่งโชคร้ายขึ้นนะ?
“ผู้อาวุโสพูดเล่นแล้ว ผู้น้อยไม่คิดจะเปลี่ยนอาจารย์เป็นการชั่วคราว” มั่วชิงเฉินแข็งใจพูด
“ฮ่าๆๆๆ…” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวหัวเราะขึ้นมา หัวเราะถึงกลางคันจู่ๆ ก็หยุดลง พิจารณามั่วชิงเฉินด้วยความสงสัยเล็กน้อยว่า “แม่นางน้อย ไยข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าหน้าคุ้นๆ นะ?”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก มองมาที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวด้วยสีหน้าประหลาด หากเป็นชาติที่แล้ว นางอยากพูดจริงๆ ว่า พี่ชาย วิธีจีบหญิงของคุณจะล้าสมัยไปหน่อยมั้ง
เห็นสีหน้าประหลาดของมั่วชิงเฉิน ไม่คิดเลยว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวจะเข้าใจสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ จึงกระแอมอย่างเคอะเขินสองทีว่า “แค่กๆ ข้าน่าจะจำคนผิดแล้ว แม่นางน้อย ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะย้ายสำนักเป็นการชั่วคราว เช่นนั้นข้าก็ไปก่อนแล้ว เอ่อ หากวันหลังเปลี่ยนใจ ไปหาข้าที่โรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋นเมืองหลิวหั่วได้”
พูดจบผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวก็กระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวบินไปไกล
“เมืองหลิวหั่ว โรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋น?” มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ จากนั้นอธิบายความรู้สึกในใจไม่ถูกแล้วยิ้มอ่อนขึ้นมา
ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวผู้นั้นพูดได้ไม่ผิด พวกเขาเคยพบกันมาก่อนจริงๆ!
ปีนั้นนางถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งจับมาปราณภูเขาไฟไหล บังเอิญถูกอาจารย์ช่วยไว้ อาจารย์ก็พานางมาไว้ในโรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋น
ต่อมายามที่อาจารย์พานางจากที่นี่ไป ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรในชุดขาวท่านหนึ่งมาส่งเดินทาง ผู้ที่มาส่งเดินทางนั้นก็คือคนเมื่อครู่นั่นเอง
นี่ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้!
มั่วชิงเฉินทอดถอนใจ กลับยากจะจินตนาการว่าด้วยท่าทางของอาจารย์ ทำอย่างไรถึงกลายเป็นสหายสนิทกับคนเมื่อครู่นั้นได้ล่ะ ไยนางมักรู้สึกว่าคนผู้นั้นค่อนข้าง… ไม่เป็นโล้เป็นพายนะ?
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะกำลังจะกลับเข้าถ้ำฟื้นฟูพลังวิญญาณ กลับจู่ๆ ก็หยุดชะงัก แล้วก้าวเท้าเดินไปที่ที่หนึ่ง
ตรงนั้นชายแต่งตัวด้วยชุดสั้นคล่องแคล่วสีเทาดำคนหนึ่งนอนอยู่ เลือดออกเจ็ดทวาร เห็นชัดว่าตายไปนานแล้ว
มั่วชิงเฉินก้มตัวลง พิจารณาศพของชายแปลกหน้าอย่างละเอียด จากนั้นยื่นมือแตะที่ข้อมือผู้ชายสำรวจดู แล้วขมวดคิ้วยืนขึ้นมา
ไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร!
เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรมารนี่ถึงจู่ๆ มาปรากฏตัวที่นี่ล่ะ? แล้วเขาถูกใครฆ่าอีกนะ?
ระหว่างที่ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินเดาคำตอบได้รางๆ แล้ว
เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้สะกดรอยตามตนมา ตนต้องหลอมโอสถอายุวัฒนะทั้งหมดสามเตา ระหว่างนั้นก็ออกไปเด็ดหญ้าดอกเหลืองสองครั้ง เขาเพิ่งเปิดเผยตัวยามนี้ก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนออกจากถ้ำที่ถูกจับตา
เพียงแต่ทุกครั้งที่ตนออกไปล้วนคอยสังเกตอย่างระมัดระวังแล้ว เขาหลบการค้นของจิตตระหนักได้อย่างไรนะ?
สายตามั่วชิงเฉินตกไปที่ถุงเก็บวัตถุที่เอวของศพ ยกมือขึ้นแล้วจับถุงเก็บวัตถุสีดำไว้ในมืออย่างไม่เกรงใจ ยื่นจิตตระหนักออกไปลบตราประทับที่เจ้าของเดิมทิ้งไว้อย่างง่ายดาย แล้วดูของข้างในรอบหนึ่ง
ทำพวกนี้เสร็จมั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืน สั่งอีกาไฟเผาศพบนพื้นให้เป็นเถ้าถ่านเก็บกวาดที่เกิดเหตุ แล้วหันหลังกลับเข้าถ้ำนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณก่อน
รอพลังวิญญาณในกายฟื้นฟูแล้ว มั่วชิงเฉินถึงหยิบถุงเก็บวัตถุที่ได้มาออกมาอีก เพ่งสมาธิทีหนึ่งบนพื้นก็ปรากฏของกองเบ้อเริ่ม
ก่อนอื่นคือขวดมากมาย แต่ละขวดล้วนติดป้ายไว้ เขียนชื่อของโอสถไว้
บนป้ายชื่อแม้ไม่ได้บันทึกประโยชน์ใช้สอยของโอสถ ทว่ามั่วชิงเฉินนับว่าเป็นคนมากประสบการณ์ในทางแห่งโอสถแล้ว ฤทธิ์ ประโยชน์ใช้สอยของโอสถส่วนใหญ่มองปราดเดียวก็รู้เรื่อง มีเพียงโอสถไม่กี่ชนิดที่นางไม่รู้ประโยชน์ใช้สอย จึงเก็บเข้ากำไลเก็บวัตถุจัดเก็บไว้เฉพาะ เก็บไว้วันหลังค่อยๆ ศึกษา
ต่อจากนั้นอีกก็คือธงเล็กสีดำผืนหนึ่ง กริชเล่มหนึ่ง อาวุธมารหน้าตาเหมือนแส้ยาวเส้นหนึ่ง นอกเหนือจากนี้ก็คือยันต์ไม่กี่ตั้งและคัมภีร์หยกสามม้วน บวกกล่องหยก **บหยกบางส่วน
มั่วชิงเฉินเก็บยันต์ขึ้นมาก่อน ยันต์พวกนี้ผู้บำเพ็ญเพียรล้วนใช้ได้หมด ไม่มีอะไรควรค่าแก่การดู จากนั้นใช้จิตตระหนักกวาดกล่องหยก **บหยกรอบหนึ่ง
ในกล่องหยก**บหยกเก็บวัตถุดิบบางอย่างไว้ รวมทั้งประเภทหินหยกและสมุนไพรที่ไม่รู้จัก ทว่าลักษณะเฉพาะของวัตถุดิบพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเหมาะกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร นางก็ติดมือเก็บขึ้นมา
อาวุธมารแส้ยาวในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรเต๋ายิ่งใช้ไม่ได้ใหญ่ ก็เก็บขึ้นเช่นกัน จากนั้นมั่วชิงเฉินหยิบกริชเล่มนั้นขึ้นมาจับเล่น
กริชเล่มนี้สั้นเล็กแหลมคม ดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร กระทั่งไม่เหมือนอาวุธมารเช่นที่นางคิด และก็ไม่ใช่อาวุธเวทเช่นกัน ตกลงคืออะไรกลับแยกแยะไม่ออก
นึกอะไรขึ้นได้ มั่วชิงเฉินถ่ายพลังวิญญาณเล็กน้อยเข้าไปในกริช พบว่ากริชไม่เปล่งแสงวิญญาณหลังจากถูกพลังวิญญาณกระตุ้นเหมือนอาวุธเวท ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้ มีเพียงนางที่กำกริชไว้ถึงสังเกตเห็นว่า กริชในมือเย็นลงมากอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจู่ๆ ก็มีแววอาฆาตเพิ่มมา
มั่วชิงเฉินหยิบแร่เพชรออกมาก้อนหนึ่ง จากนั้นมือขึ้นมีดลงก็เห็นแร่เพชรถูกแบ่งเป็นสองส่วนอย่างเรียบกริบ ไม่มีเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว
มั่วชิงเฉินอดสูดลมเย็นเข้าไม่ได้ ไม่คิดว่ากริชนี่จะคมกริบเช่นนี้!
แร่เพชรเป็นวัตถุดิบที่แข็งมากชนิดหนึ่ง อาวุธเวทธาตุเหล็กทั่วไปล้วนมีการเสริมแร่เพชรเข้ามาเพื่อเพิ่มระดับความคมและแข็งให้อาวุธเวท ไม่คิดว่าถูกกริชที่ดูแล้วธรรมดาๆ เช่นนี้ตัดขาดได้อย่างง่ายดาย
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ยามที่กริชเล่มนี้จู่โจมไม่มีการผกผันของพลังวิญญาณใดๆ เลย ทำให้คนป้องกันไม่ทัน เป็นผู้ช่วยที่ดีในการลอบฆ่าจริงๆ!
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งต่อผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวผู้นั้นขึ้นมา หากไม่เพราะเขาลงมือฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมาร ด้วยสภาพตนที่เพิ่งหลอมโอสถอายุวัฒนะเสร็จ ต่อให้กินโอสถระเบิดวิญญาณเกรงว่าในเวลาอันสั้นก็จัดการคนคนนั้นไม่ได้
จากของพวกนี้เดาได้ไม่ยากว่าคนคนนั้นต้องเชี่ยวชาญการสะกดรอยลอบฆ่าแน่นอน เมื่อใดที่สู้กันขึ้นมาเขาจะไม่แข็งปะทะแข็ง หากแต่ใช้วิธีพวกนี้ทำให้ตนหมดแรง รอเวลาของโอสถระเบิดวิญญาณผ่านไปเมื่อไร เช่นนั้นตนต้องปล่อยให้คนฆ่าแกงแน่นอนแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวพูดอะไรรับตนเป็นศิษย์พวกนั้น ก็เป็นการล้อตนเล่นน่ะสิ?
นึกถึงท่าทีที่มีต่อผู้มีพระคุณช่วยชีวิต มั่วชิงเฉินละอายใจนัก จากนั้นปลอบใจตนเองว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ใครให้เขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ยังจะหยอกล้อผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ เช่นตนล่ะ
กริชเล่มนี้ใช้ดีเพียงนี้ มั่วชิงเฉินจึงเก็บขึ้นทันทีวางไว้ด้วยกันกับอาวุธเวทที่ใช้บ่อยๆ แล้วเก็บธงเล็กขึ้นมาดู
ก็เห็นมุมล่างสุดของธงเล็ก ปักสัญลักษณ์กริชเล็กๆ ไว้อันหนึ่ง ดูรูปร่างแล้วคือหน้าตาของกริชเล่มเมื่อครู่นั่นเอง
พลิกดูไปมา มั่วชิงเฉินคาดว่าธงเล็กผืนนี้น่าจะเป็นของประเภทเดียวกับป้ายคำสั่งของพรรคเหยากวง ใช้ในการพิสูจน์ฐานะ จึงหมดความสนใจแล้วเก็บขึ้น ถึงหยิบคัมภีร์หยกสามม้วนขึ้นมา
อ่านคัมภีร์หยกสามม้วนจบหมด มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจออกแผ่วเบา
ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนั้นเป็นศิษย์นิกายอั้นหลัว
คัมภีร์หยกเล่มหนึ่งในนั้นก็บันทึกวิชายุทธ์การบำเพ็ญเพียรของนิกายอั้นหลัว คัมภีร์หยกอีกม้วนหนึ่งบันทึกวิชาการโจมตี ที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดกลับเป็นคัมภีร์หยกม้วนที่สาม ไม่คิดว่าข้างในนั้นจะบันทึกวิชากลั้นใจไว้!
วิชายุทธ์การบำเพ็ญเพียรและคาถาโจมตีของนิกายอั้นหลัว เต๋ามารต่างกัน ตนฝึกไม่ได้เลย ทว่าวิชากลั้นใจนี่กลับมีส่วนที่ใช้ด้วยกันได้อยู่
ต้องรู้ว่าไม่ว่าการเก็บงำกลิ่นอายมารหรือเก็บงำกลิ่นอายวิญญาณ เหตุผลล้วนเหมือนกัน
มั่วชิงเฉินตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย วิชากลั้นหายใจที่เคยใช้มานับว่าเป็นของดีที่สุดที่หาซื้อได้ในตลาดแล้ว บวกกับตนจิตตระหนักแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ไม่ว่าซ่อนเร้นตบะหรือเก็บงำกลิ่นอายหลบหลีกการตรวจค้น ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันล้วนไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อใดที่พบผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไม่มีที่ให้หลบแล้ว
ได้วิชากลั้นหายใจระดับสูงของนิกายอั้นหลัวนี่แล้ว ปัญหาก็แก้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว อย่างน้อยยามต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจะไม่ถูกมองทะลุในปราดเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ไม่รีบร้อนออกจากที่นี่ หากแต่ศึกษาวิชากลั้นหายใจที่สูงส่งชุดนี้ขึ้นมาอย่างตั้งใจในถ้ำ หลังจากฝึกฝนวิชากลั้นหายใจเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ จนสำเร็จผลแล้ว ถึงเก็บข้าวของออกจากถ้ำ
บัดนี้มั่วชิงเฉินอายุสี่สิบปีแล้ว ยังมีอีกสองปี หัวหน้าตระกูลหวังต้องมาทวงโอสถอายุวัฒนะแน่นอน นางคิดๆ แล้ว ตัดสินใจกลับสำนักก่อน
ไม่รู้ศึกเต๋ามารจบหรือยัง พรรคเหยากวงถูกลากเข้าไปด้วยหรือไม่ แม้ตนอยากวางตัวเหนือปัญหา ทว่าพรรคเหยากวงมีบุญคุณสั่งสอนตนมา ถึงเวลาสำนักต้องการจริงๆ นั่นก็เป็นความรับผิดชอบที่ปัดไม่ได้ในฐานะศิษย์พรรคเหยากวง
ในโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีเรื่องเอาแต่ได้อย่างเดียวอยู่แล้ว หรือพูดว่า อย่างน้อยที่สุดนางมั่วชิงเฉินดูแคลนเรื่องเช่นนี้
อยู่ในถ้ำมาปีกว่า มั่วชิงเฉินแม้ใจอยากกลับไปดังลูกธนู กลับยังคงบินไปร่อนลงที่เมืองหลิวหั่วพักผ่อนก่อน
มองป้ายร้านของโรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋น นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยังคงเดินเข้าไป
“ท่านเซียนทานข้าวหรือว่าค้างแรม?” ลูกจ้างหน้าตาหัวไวคนหนึ่งเสนอหน้าเข้ามา แล้วถามอย่างนอบน้อม
มั่วชิงเฉินยิ้มละไมว่า “พี่ชาย เจ้าของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?”
ลูกจ้างชะงักงันทันที จากนั้นส่ายศีรษะเหมือนกลองป๋องแป๋ง เอ่ยติดๆ กันว่า “ไม่อยู่ ไม่อยู่”
มั่วชิงเฉินยังคงยิ้มไม่หุบ แล้วยื่นถุงเล็กมาใบหนึ่งว่า “เช่นนั้นรบกวนพี่ชายส่งมอบถุงนี้ให้เจ้าของพวกเจ้า แล้วก็ยันต์สื่อสารนี่ด้วย”
เห็นมั่วชิงเฉินไล่ไปง่ายปานนี้ ลูกจ้างกลับเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จากนั้นรับของมาว่า “ได้ขอรับ เชิญท่านเซียนวางใจ ข้าน้อยต้องส่งมอบให้แน่นอน”
มั่วชิงเฉินเอ่ยขอบคุณ แล้วหันหลังจากไป
สามวันให้หลัง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋นเคาะประตูห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
“เข้ามา” เสียงอันสงบดังมาจากในห้อง
“เจ้านาย นี่เป็นของที่ท่านเซียนคนหนึ่งวานเสี่ยวเอ้อร์ในร้านส่งมอบให้ท่าน” เถ้าแก่พูดอย่างนอบน้อม
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวกวาดถุงเล็กและยันต์สื่อสารปราดหนึ่งอย่างไม่แยแส แล้วเอ่ยอย่างปวดศีรษะว่า “เถ้าแก่หวัง ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าถ้ามีท่านเซียนแม่นางอะไรประเภทนี้มอบของให้ข้า ไม่รับหมดไม่ใช่หรือ?”
เถ้าแก่ลังเลครู่หนึ่งว่า “เจ้านาย เสี่ยวเอ้อร์บอกว่าแม่นางคนนั้นแต่งตัวเรียบง่าย ได้ยินว่าท่านไม่อยู่ก็ไม่ตื๊อ แล้วก็ฝากให้ส่งมอบของให้ท่านอย่างจริงจัง เขาถึงส่งขึ้นมา ท่านว่า…”
ในใจกลับแอบบ่น ท่านตอแยดอกท้อเน่ามามากมายถึงเพียงนี้แท้ๆ หลายปีมานี้ยังมีทีท่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ สองสามวันทีก็มีท่านเซียนเข้าพักในโรงเตี๊ยมไม่ยอมไปไหนแล้ว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป โรงเตี๊ยมของเรานี่ก็ไม่ต้องเปิดแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวโบกมืออย่างรำคาญทีหนึ่ง ถุงเล็กและยันต์สื่อสารก็ร่วงลงในมือ