พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 261 ถึงสำนักลั่วสยาครั้งแรก
มั่วชิงเฉินหลบโดยไม่รู้ตัว กลับไม่ว่าอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด จากนั้นสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณพลุ่งพล่านสายหนึ่งพุ่งเข้าร่างจากข้อมือ พลังวิญญาณที่มาจากภายนอกสายนี้ร้อนเป็นพิเศษ ห่อหุ้มไฟจริงไว้พุ่มหนึ่ง
“อาจารย์อาเยี่ย…” มั่วชิงเฉินมองเยี่ยเทียนหยวนด้วยความตกใจ
“อย่าพูด” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยเสียงต่ำ
มั่วชิงเฉินจึงได้แต่หุบปากแต่โดยดี
เยี่ยเทียนหยวนบังคับพลังวิญญาณสายนั้นว่ายไปในร่างมั่วชิงเฉินช้าๆ บีบให้พิษแมงป่องแดงเข้มที่ไหลอยู่ในร่างนางให้ล่าถอยไปยังที่หนึ่ง กลับพบว่าไฟจริงในร่างนางโลดเต้นตามมา พัวพันพลังวิญญาณที่ห่อหุ้มไฟจริงที่เขาถ่ายเข้ามาสายนั้นอย่างคาดไม่ถึง จึงอดมองมั่วชิงเฉินอย่างประหลาดใจปราดหนึ่งไม่ได้
มั่วชิงเฉินถูกเขามองจนขวัญหนีดีฝ่อ แอบรู้สึกโชคดีที่ขอเพียงไฟจริงไม่ปล่อยออก คนอื่นตรวจสอบขึ้นมาจะมองความแตกต่างของเพลิงแก้วใจกระจ่างและไฟจริงปกติไม่ออก
ยามที่พิษแมงป่องถูกบีบไปถึงซอกมุมหนึ่ง พลังวิญญาณที่มาจากข้างนอกคลายออก ไฟจริงที่ห่อหุ้มอยู่พุ่งออกโดยพลัน เผ่าพิษแมงป่องแดงเข้มก้อนนั้นจนไม่เหลือซากในพริบตา
มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างด้วยความตะลึง เพลิงแก้วใจกระจ่างของนางอ่อนโยนสงบ รับมือพิษแมงป่องนี้ไม่ได้เลย กลับไม่คิดว่าไฟจริงของเยี่ยเทียนหยวนจะอานุภาพรุนแรงปานนี้ ไม่คิดว่าจะได้ผลกว่าโอสถน้ำค้างที่ใช้แก้พิษโดยเฉพาะเสียอีก ที่ยิ่งแปลคือรู้สึกว่าไฟจริงนั่นร้อนอย่างไร้เทียมทานชัดๆ ราวกับสามารถเผาทุกสิ่งให้เป็นจุณ แต่กลับไม่สร้างความเสียหายแม้แต่น้อยในร่างกายตน ช่างเป็นความขัดแย้งที่ประหลาดเหลือเกิน
เพราะแรงดึงดูดประหลาดระหว่างทั้งสองคน มั่วชิงเฉินแอบเดาได้แต่แรกแล้วว่าสภาพร่างกายของเยี่ยเทียนหยวนต้องมีที่ที่ต่างจากคนทั่วไปเป็นแน่
เดิมทีนางนึกว่าสาเหตุมาจากร่างหยางบริสุทธิ์ ทว่าต้วนชิงเกอที่ร่างหยินบริสุทธิ์ประจันหน้ากับเขากลับไม่มีความผิดปกติใดๆ การคาดเดานี้จึงถูกลบล้างไป คิดไปคิดมา ในเมื่อความพิเศษของตนคือการมีเพลิงแก้วใจกระจ่าง เช่นนี้ก็เป็นไปได้มากว่าเยี่ยเทียนหยวนก็มีไฟอัศจรรย์เช่นกัน หลายปีมานี้ที่ไม่มีใครรู้น่าจะเพราะตั้งใจปิดบังไว้
เห็นท่าทางตกใจของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนหดมือกลับโดยไม่พูดอะไร ยิ้มๆ อย่างคาดไม่ถึง แล้วเปิดปากว่า “เสร็จแล้ว”
“ชะ…เช่นนี้ก็เสร็จแล้ว?” เดิมทีพิษแมงป่องที่ทำให้นางกังวลเหลือเกินและกระอักกระอ่วนเป็นพิเศษ ไม่คิดว่าก็ถูกถอนรากถอนโคนอย่างง่ายดายเช่นนี้แล้ว ในชั่วขณะหนึ่ง มั่วชิงเฉินยังไม่ได้สติกลับมา
“ศิษย์หลานมั่ว ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนเตือนว่า
ที่จริงที่สามารถแก้พิษแมงป่องได้ง่ายดายเพียงนี้ ความดีความชอบหลักต้องมอบให้ไฟจริงของเขา
เยี่ยเทียนหยวนที่มีร่างหยางบริสุทธิ์ ยังมีความลับที่ไม่มีใครรู้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือขณะเดียวกันเขามีหนึ่งในสามไฟอัศจรรย์เพลิงวาสนาตะวัน และจุดเด่นที่สุดของเพลิงวาสนาตะวันก็คือบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดสะอาดอย่างยิ่งยวด มีอานุภาพในการเผาทุกสิ่งให้เป็นจุณ
ตั้งแต่ยามที่เขาสามารถปล่อยไฟจริงออกพบว่าสีไฟจริงแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป ท่านเทียดเสวียนหั่วเจินจวินก็กำชับเขาไว้เช่นนี้ บอกว่าเขาคือร่างหยางบริสุทธิ์ที่หาได้ยากในพันปีก็เป็นที่อิจฉาของผู้คนแล้ว หากแพร่งพรายเรื่องที่เขามีเพลิงวาสนาตะวันอีก เช่นนั้นก็จะสะดุดตาเกินไป เกรงว่าจะยากสงบสุขได้ ดังนั้นให้เขารักษาความลับนี้ไว้
ดันเขามีรากวิญญาณคู่ทองไฟ รากวิญญาณธาตุไฟโดดเด่นเป็นพิเศษ วิชายุทธ์ที่เหมาะจะฝึกฝนที่สุดก็คือธาตุไฟ หากคิดจะปิดบังไฟจริง ก็ไม่สามารถใช้คาถาธาตุไฟแล้ว
ดีที่เสวียนหั่วเจินจวินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด มีวิธีที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการถึง ไม่รู้เสกคาถาลับอะไรทำให้เขาเสกคาถาธาตุไฟแล้วดูไม่ต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป ดังนั้นหลายปีมานี้จึงไม่มีใครรู้ความลับนี้
“ขอบคุณท่านอาจารย์อาเยี่ย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมีวิธีที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างเช่นพวกเรานึกไม่ถึงจริงๆ มิน่ามีเพียงเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณ ถึงนับได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง” มั่วชิงเฉินถอนใจว่า
เยี่ยเทียนหยวนโยนสมบัติวิเศษรูปใบไม้เขียวมรกตออก ตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินส่องประกายสุกใสอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มเบาๆ ว่า “ศิษย์หลานมั่วก็ต้องมีวันนั้นแน่นอน เราไปกันเถอะ”
มั่วชิงเฉินเบือนสายตาหนีอย่างไม่รู้ตัว นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยเทียนหยวนจึงมั่นใจเช่นนี้ว่านางจะก่อแก่นทองได้สำเร็จ กลับเห็นอย่างชัดเจนว่าในสายตาที่เขามองมามีความคาดหวังและโหยหาที่นางไม่กล้าคิดลึกลงไป
ทั่วทั้งพรรคเหยากวง ที่เชี่ยวชาญหลอมอาวุธที่สุดก็คือศิษย์เขาหลิวหั่ว เยี่ยเทียนหยวนยิ่งเป็นเอกบุรุษในนั้น สมบัติวิเศษเหินหาวชิ้นนี้เขาหลอมด้วยตนเอง วัตถุดิบที่ได้รับและฝีมือการหลอมในยามนี้คุณภาพนับไม่ได้ว่าดีเป็นพิเศษ กลับชนะที่รายละเอียดแต่ละที่ล้วนเป็นตามที่เขาอยากให้เป็น
สองคนนั่งสมบัติวิเศษเหินหาว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ไล่ทันทุกคนของเหยากวงแล้ว
“อ้าว ศิษย์น้องลั่วหยาง พวกเจ้ากลับมาจนได้” นักพรตซานอินเลิกคิ้วขาวดุจหิมะขึ้น เอ่ยสองแง่สองง่าม
นักพรตหานจางแม้นิสัยโผงผาง กลับไม่ได้โง่จริง รู้อยู่แก่ใจว่าเยี่ยเทียนหยวนอนาคตไร้ขีดจำกัดอีกทั้งเป็นทายากสายตรงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด สองคนก็ไม่มีความแค้นอะไรกัน จึงยิ้มเอ่ยว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง”
แน่นอนยามที่มองไปที่มั่วชิงเฉินก็สีหน้าไม่ดีเช่นนั้นแล้ว เขาติดใจมาตลอด หากไม่เพราะยัยเด็กบ้านี่ทำเสียเรื่องในปีนั้น เขาสามารถเอานางหนูร่างหยินบริสุทธิ์นั่นมาเป็นหรูติ่ง บัดนี้ต้องทะลวงระดับก่อแก่นปราณระยะกลางแล้วเป็นแน่ ก็ไม่ถึงกับต้องติดอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นมาร้อยกว่าปี
มั่วชิงเฉินรู้นานแล้วว่าสองท่านนี้ใจมีช่องว่างต่อตน มิใช่พูดดีๆ สักสองประโยคก็สามารถสลายได้ จึงทำจิตใจไม่สะทกสะท้านให้รู้แล้วรู้รอดไป เพียงคารวะทั้งสองคนทีหนึ่งแล้วก็เดินไปหาต้วนชิงเกออย่างใจเย็น
“ศิษย์พี่ทั้งสอง เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้าง?” เยี่ยเทียนหยวนถาม
มั่วชิงเฉินฝีเท้าชะงัก นางนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนหยวนจะถามเรื่องนี้ จากที่นางมอง ด้วยนิสัยของเยี่ยเทียนหยวนควรจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้นี่นา
นางกลับลืมแล้วว่ายามนี้ต่างจากยามนั้น ฐานะตำแหน่งที่แตกต่าง บางทีก็ตัดสินความแตกต่างของสภาพจิตใจ การกระทำของคนคนหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนเดิมเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ อีกทั้งมีเพลิงวาสนาตะวัน ที่ฝึกฝนยิ่งเป็นวิชายุทธ์ธาตุไฟชั้นสูง ว่าตามหลักแล้วนิสัยเขาไม่น่าเย็นชาเช่นนี้ เพียงแต่ตั้งแต่ยามเป็นเด็กหนุ่มก็เจอกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนับไม่ถ้วนที่เพียงเห็นเขาก็สองตาส่องประกายเหมือนหมาป่า ลองคิดดู ต่อให้เป็นใครยามอายุสิบกว่าปียิ้มให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่ง สุดท้ายผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นก็ร้องห่มร้องไห้บอกจะมอบกายให้เขา เกรงว่าวันหลังอย่างไรเสียก็ต้องมีเงามืดในใจใช่หรือไม่ล่ะ
เยี่ยเทียนหยวนที่น่าอนาถก็บำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้
ถึงระดับก่อแก่นปราณ ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดก็คือผู้บำเพ็ญเพียรต่ำกว่าระดับก่อแก่นปราณเห็นเขาแล้วไม่มีการกระทำอันบ้าคลั่งเหมือนแต่ก่อน ล้วนเสงี่ยมขึ้นมา นี่ทำให้เยี่ยเทียนหยวนโล่งอกมาก เวลาสองปีกว่า ตามท่าทีที่ต่างออกไปของคนอื่น ท่าทีของเขาย่อมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเช่นกัน
เพียงแต่มั่วชิงเฉินกักตนบำเพ็ญเพียรมาตลอด สำหรับการนี้กลับไม่ค่อยเข้าใจ เพียงรู้สึกว่าเยี่ยเทียนหยวนดูเหมือนต่างจากเมื่อก่อนไปบ้างแล้ว เพิ่มความสุขุมสง่างามเฉพาะตัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นมา ลดความแข็งกระด้างเย็นชายามอยู่ระดับสร้างรากฐานลงไป
“ศิษย์ระดับสร้างรากฐานตายไปสามคน บาดเจ็บสองคน” นักพรตซานอินเอ่ยนิ่งเรียบ จากนั้นกวาดมองต้วนชิงเกอปราดหนึ่งว่า “ดีที่ศิษย์หลานต้วนเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ ศิษย์สองคนที่บาดเจ็บล้วนไม่เป็นไรมากแล้ว”
ต้วนชิงเกอตั้งแต่เข้าเขารั่วสุ่ยก็เปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุน้ำ แล้วเกิดสนใจในทางแห่งผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา หลายปีมานี้นอกจากบำเพ็ญเพียร ฝึกตนแล้วก็ค้นคว้าทางแห่งผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาโดยเฉพาะ ถึงบัดนี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จบ้างแล้ว
ทุกคนรวบตัวกันแล้ว จึงบินไปข้างหน้าต่อ หลังจากบินอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ถึงเขตแดนเทือกเขาหมิงสยาที่สำนักลั่วสยาตั้งอยู่แล้ว
“ดูเร็ว นั่นก็คือเขาลั่วสยาใช่หรือไม่?” มีศิษย์เอะอะขึ้นมา
“ว้าย สวยจังเลย” ศิษย์หญิงไม่น้อยชื่นชมว่า
นั่งสมบัติวิเศษเหินหาวยิ่งบินยิ่งใกล้ ความงามของเทือกเขาลั่วสยาปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
หากบอกว่าเทือกเขาฟางจูที่พรรคเหยากวงตั้งอยู่ก็งดงามเช่นกัน เพียงแต่ความงามของเทือกเขาฟางจู คือความงามที่งามสง่า กลิ่นอายเซียนขจรขจาย ส่วนเทือกเขาหมิงสยากลับแตกต่างกันมาก
เทือกเขาหมิงสยาที่มองไม่เห็นที่สิ้นสุด ทั่วทั้งภูเขาสะพรั่งไปด้วยดอกอิงภูเขาสีขาวสีแดงเต็มไปหมด ทอดยาวไปตามเทือกเขาราวกับห่มเสื้อผ้าบางสีสดเย้ายวนชั้นหนึ่ง เคียงคู่กับลมเย็นในหุบเขา สีสันดั่งน้ำค้าง ย้อมจนรอยต่อของท้องฟ้าสีครามและเทือเขาสีแดงฟุ้งไปด้วยหมอกสีชมพู ดุจอยู่ในความฝัน เหมือนแสงรุ้งที่งดงามที่สุดบนฟ้าหยุดฝีเท้าที่ตรงนี้ มิอยากจากลา
สำนักลั่วสยา ก็ตั้งอยู่บนเทือกเขาสีชมพูที่ดุจดั่งแดนฝันเช่นนี้
“อย่าเอะอะ” นักพรตซานอินตะคอก จากนั้นยกมือโยนยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งออกไป
ไม่นานนัก ประตูสำนักสำนักลั่วสยาเปิดออก ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนออกมาต้อนรับ
คนด้านหน้าถือพัดขนนกโพกแพรพรรณ ใบหน้าหล่อเหลา ดูแล้วงามสง่าอย่างบอกไม่ถูก ยังไม่ถึงตรงหน้าก็อมยิ้มว่า “นักพรตซานอิน นักพรตหานจาง จากกันเกือบร้อยปี พวกเราพบกันอีกแล้ว เอ่อ ศิษย์น้องผู้นี้คือ…”
“ข้าน้อยลั่วหยาง” เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าแผ่วเบา
คนผู้นั้นอดมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวเรียบง่ายผู้นั้น ก็คือนักพรตรั่วซีที่ไม่ได้กลับเหยากวงมานาน
นักพรตรั่วซีมองเยี่ยเทียนหยวนแล้วกลับไม่เห็นจะกระตือรือร้นสักเท่าไร เพียงแต่เอ่ยต่อผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นว่า “ศิษย์น้องลั่วหยางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนใหม่ของพรรคเรา อายุน้อยมีความสามารถ เป็นทายาทของเสวียนหั่วเจินจวิน”
“เอ่อ?” ได้ยินว่าเยี่ยเทียนหยวนเป็นทายาทของเสวียนหั่วเจินจวิน ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นตาเป็นประกาย เห็นชัดว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาเป็นใคร ยามที่มองมาอีกทีจึงเพิ่มความสนใจขึ้นหลายส่วน “ข้าน้อยไป๋จั๋ว เป็นผู้ดูแลสำนักลั่วสยา ศิษย์น้องลั่วหยาง ข้าได้ยินมานานแล้วว่าคนรุ่นใหม่ของเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรที่พรสวรรค์รอบด้าน บัดนี้ดูแล้ว ช่างสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ ทุกท่านรีบเข้ามาเร็ว”
สำนักลั่วสยาต่างจากสำนักอื่น เจ้าสำนักเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ฐานะเสมือนผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งของสำนักอื่น ปกติไม่สนใจเรื่องในสำนัก เสมือนเจ้าสำนักเพียงในนาม คนที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในสำนักก็คือผู้ดูแล ซึ่งเหมือนเจ้าสำนักของสำนักอื่น
“อาจารย์” ทุกคนของเหยากวงเดินขึ้นหน้ามา ต้วนชิงเกอมองนักพรตรั่วซีแล้วเอ่ยอย่างดีใจ
นักพรตรั่วซีสีหน้าอ่อนโยนลงทันที “ชิงเกอ เจ้ามาแล้ว”
ต้วนชิงเกอเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งแนบชิดนักพรตรั่วซี เผยท่าทีของสาวน้อยออกมาอย่างหายาก “อาจารย์ หลายปีมานี้ท่านสบายดีหรือไม่ ศิษย์พี่มั่วล่ะเจ้าคะ?”
นักพรตรั่วซีกำลังจะตอบ ผู้ดูแลสำนักลั่วสยานักพรตไป๋จั๋วก็มองมาว่า “ท่านเซียนรั่วซี นี่คือศิษย์รักของท่าน?”
นักพรตรั่วซีพยักหน้าว่า “นี่คือศิษย์คนสุดท้ายของข้า”
สายตาของนักพรตไป๋จั๋วกวาดผ่านหน้าต้วนชิงเกอแผ่วเบา แล้วชมว่า “ศิษย์ของท่านเซียนรั่วซีโดดเด่นทุกคน ศิษย์น้องช่างอิจฉาจริงๆ”
นักพรตรั่วซีอมยิ้มส่ายหน้าว่า “ผู้ดูแลไป๋จั๋วชมเกินไปแล้ว เพียงแต่นางหนูนี่กลับสุขุมกว่านางหนูมั่วมากเลย”
ทุกคนพูดพลางเดินเข้าสำนัก ในเวลานี้เองลำแสงหลายสายร่อนลงจากฟ้า ผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนหลังจากร่อนลงพื้นแล้ววิ่งมาหาทุกคนอย่างทุลักทุเลฝีเท้าโซเซ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” นักพรตไป๋จั๋วหน้าถอดสี
หนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนที่วิ่งมาบนใบหน้าเลอะคราบเลือดว่า “ผู้ดูแล แย่แล้ว พวกเราถูกผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ซุ่มอยู่ลอบทำร้าย อาจารย์อาเฟยอวิ๋นดับสูญแล้ว!”