พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 262 สามนงคราญพานพบอีกครั้ง
“อะไรนะ!” นักพรตไป๋จั๋วหน้าถอดสี เสียงที่พูดก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายส่ายไปมาอย่างไม่รู้สึกตัว จากนั้นกอบมือใส่ทุกคน แล้วเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ศิษย์หลานจาง เจ้านำสหายร่วมทางเหยากวงทุกท่านไปพักผ่อนในสำนักก่อน จัดแจงให้ดี ทุกท่าน ขออภัยที่ข้าต้อนรับไม่ทั่วถึง” พูดจบก็กอบมือใส่ทุกคนอีกครั้ง แล้วนำผู้บำเพ็ญเพียรลั่วสยาที่บาดเจ็บหลายคนบินไปแล้ว
ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่ท่านที่ออกมาต้อนรับนอกจากนักพรตรั่วซีและนักพรตไป๋จั๋วผู้ดูแลลั่วสยาแล้ว ที่เหลือล้วนแต่งตัวด้วยชุดผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสีขาวนวล ที่หน้าอกปัก ‘ลั่วสยา’ สองคำ ใต้ตัวอักษรมีดอกอิงภูเขาห้อมล้อมหลายดอก สัญลักษณ์เช่นนี้แม้ปักอยู่บนเครื่องแต่งกายชาย กลับไม่ทำให้รู้สึกว่าสำอาง ก็นับว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครแล้ว
มั่วชิงเฉินคอยสังเกตตั้งนานแล้ว เครื่องแต่งกายของสองสามคนที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้สวมใส่สีและแบบต่างกันไป ส่วนสองสามคนนี้กลับแต่งตัวเหมือนกัน คิดว่ากฎเกณฑ์ของสำนักลั่วสยาและพรรคเหยากวงต่างกัน ศิษย์ทั่วไปสามารถแต่งตัวอิสระได้ ส่วนสองสามคนตรงหน้าน่าจะมีฐานะเป็นศิษย์ผู้ดูแล
เป็นไปตามคาดผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งในนั้นเอ่ยปากว่า “ท่านนักพรต ศิษย์พี่น้องทุกท่าน ข้าน้อยคือศิษย์ผู้ดูแลแห่งสำนักลั่วสยา แซ่จาง บัดนี้สถานการณ์การรบคับขันผู้ดูแลยากจะปลีกตัว ขอให้ทุกท่านให้อภัยด้วย ทุกท่านเชิญตามข้ามา”
กิริยาสุขุม วางตัวได้เหมาะสมต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ มีความงามสง่าของศิษย์ผู้ดูแล
“ศิษย์น้องทั้งสาม ไปเถอะ” นักพรตรั่วซีขมวดคิ้วโก่งอันงดงามแน่น แล้วเอ่ยว่า
ทุกคนเดินตามกันเข้าไปข้างใน
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าเหตุใดถึงไม่เห็นอาจารย์ ในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่ควรออกเสียง จึงได้แต่เดินตามเงียบๆ แล้วก็ได้ยินเสียงคุยกันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามท่านข้างหน้าดังมา
“ศิษย์พี่รั่วซี ไม่ทราบนักพรตเฟยอวิ๋นผู้นั้นคือใคร?” นักพรตซานอินถาม
นักพรตรั่วซีถอนใจว่า “นักพรตเฟยอวิ๋นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักลั่วสยา ตบะระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง นาง… คือคู่บำเพ็ญเพียรคู่ของนักพรตไป๋จั๋ว”
“หา” ผู้คนของเหยากวงที่เพิ่งมาได้ยินแล้วต่างร้องเสียงเบาทีหนึ่ง
นักพรตคิ้วขาวกลับไม่ได้ใส่ใจว่าฐานะของนักพรตเฟยอวิ๋นเป็นเช่นไร ถามอีกว่า “ศิษย์พี่รั่วซี นักพรตเฟยอวิ๋นผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง ไม่คิดว่าจะดับสูญอย่างง่ายดายเช่นนี้?”
นักพรตจื่อซีส่ายหน้าว่า “ศิษย์น้องซานอินเกรงว่าจะประมาณระดับความโหดร้ายของศึกเต๋ามารครั้งนี้ต่ำไป”
“ขอให้ศิษย์พี่รั่วซีเล่าเรื่องการศึกในยามนี้ให้พวกเราฟังสักหน่อย” นักพรตซานอินกอบมือ
นักพรตหานจางที่อยู่ข้างๆ ตะขิดตะขวงใจต่อนักพรตรั่วซีเพราะเรื่องของต้วนชิงเกอในอดีตอยู่ จึงไม่พูดอะไรมาตลอด เพียงแต่ฟังเงียบๆ เยี่ยเทียนหยวนยิ่งเพราะเรื่องปฏิเสธการแต่งงานถูกนักพรตรั่วซีดูแคลนไว้ไม่น้อย หากชวนคุยละก็ไม่ต่างอะไรกับการหาแกว่งเท้าหาเสี้ยน ย่อมก็ไม่พูดอะไรสักคำเป็นธรรมดา
“บัดนี้แบ่งสนามรบสำคัญเป็นเจ็ดสนาม แต่ละสนามรบมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคอยคุม ตามสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรมที่ต่างกันมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจำนวนแตกต่างกันให้การสนับสนุน สนามรบที่น้อยที่สุดก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแปดคน ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จำนวนยิ่งมาก นอกจากนั้นยังมีทีมเล็กสิบทีมรับผิดชอบการรบแบบกองโจร แต่ละทีมเล็กนำโดยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในทีมล้วนนับได้ว่าเป็นหัวกะทิที่ตบะโดดเด่น” นักพรตรั่วซีเอ่ยเนิบๆ
นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุก “ไม่คิดว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงมากมายถึงเพียงนี้!”
นักพรตรั่วซีถอนใจว่า “ศิษย์น้องซานอิน นับพวกเจ้าสามคน เฉพาะเหยากวงเราก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมาสิบเอ็ดคนแล้ว ศึกเต๋ามารครั้งนี้นอกจากสี่สำนักแปดนิกาย สำนักไม่น้อยก็ถูกพัวพันเข้ามา มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงมากปานนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ต่อให้เป็นเช่นนี้ การรบกับพรรคมารก็ไม่ได้ได้เปรียบ!”
“หา ทางด้านพรรคมารพลังความสามารถแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว?” นักพรตซานอินสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
ในเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลางสามารถดับสูญได้ ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายจะเป็นเช่นไรอีก เขาไม่สุขุมไม่ได้แล้ว
นักพรตรั่วซีพยักหน้าว่า “ทางด้านพรรคมารนั้นมีเพียงสำนักใหญ่สี่สำนัก จำนวนคนของแต่ละสำนักกลับยังมากกว่าสำนักอย่างพวกเรานี้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการวางแผนร่วมมือกลับได้เปรียบกว่าทางด้านเรานี่ บวกกับคนของผู้บำเพ็ญเพียรมารเลื่อนขั้นเร็ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานของพวกเขาต้องมากกว่าทางเราไม่น้อย ต่อให้เขตแดนตบะเดียวกัน พลังความสามารถกลับเหนือว่าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าขั้นหนึ่ง หากไม่เพราะทางเรามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมากกว่าหนึ่งท่าน สถานการณ์การรบเกรงว่ายิ่งไม่ดี”
คำพูดนี้ของนักพรตรั่วซีทำให้อารมณ์ของผู้คนของเหยากวงที่เพิ่งมาหนักหน่วงขึ้นมา คนไม่น้อยเก็บความรู้สึกตื่นเต้นในเริ่มแรกขึ้น สีหน้าเคร่งเครียด
ต้องรู้ว่าการฝึกฝนขัดเกลาเป็นเรื่องดี ทว่าหากโหดร้ายเกินไปจนต้องทิ้งชีวิต เช่นนั้นทุกอย่างก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว
ในยามนี้ผู้คนของเหยากวงได้ถูกศิษย์ผู้ดูแลของสำนักลั่วสยาจัดแจงไปไว้ในโถงข้างๆ แห่งหนึ่ง นักพรตรั่วซีสั่งให้พวกเขาถอยลงไป แล้วมองทุกคนปราดหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “ทว่าพวกเจ้าก็ไม่ต้องท้อใจ เข้าร่วมการศึกเช่นนี้แม้อันตรายรอบด้าน กลับเป็นที่ที่ดีที่สุดในการขัดเกลาตนเอง หลายปีมานี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยที่ทะลวงอุปสรรคที่แต่ก่อนทะลวงไม่ได้เสียที จนได้เลื่อนขั้น ยิ่งมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อแก่นปราณได้สำเร็จ ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาหากเป็นในยามปกติ คิดจะทะลวงระดับก่อแก่นปราณอย่างน้อยยังมีอีกหลายปี ยิ่งกว่านั้นจะสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นหรือไม่ก็ยังไม่อาจรู้ได้”
เมื่อนักพรตรั่วซีพูดเช่นนี้ บรรยากาศในโถงก็ร้อนแรงขึ้นมาทันที ศิษย์ไม่น้อยสองตาส่องประกาย
นักพรตรั่วซีแอบพยักหน้า เอ่ยต่อว่า “บัดนี้สถานการณ์การศึกบ้าระห่ำ สำนักมากมายสนับสนุนด้วยกำลังทั้งสำนัก และตกรางวัลอย่างหนักให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฆ่าศัตรูได้ ทุกครั้งที่ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานได้คนหนึ่ง ให้รางวัลหินวิญญาณหนึ่งพันถึงห้าพันก้อนแตกต่างกันไปตามระยะต้น กลาง ปลาย หากฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้คนหนึ่ง ให้รางวัลหินวิญญาณอย่างน้อยห้าหมื่นก้อน!”
“หา มากเพียงนี้เชียว!” กลางโถงอึกทึกขึ้นมาในทันใด ต้องรู้ว่าแม้แต่สำนักระดับแนวหน้าร่ำรวยเช่นเหยากวง ปีหนึ่งก็ให้หินวิญญาณแก่ศิษย์ระดับสร้างรากฐานแค่ห้าร้อยก้อน ศิษย์ก้นกุฏิของผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณได้มากหน่อย ก็ไม่เกินแปดร้อยก้อนเท่านั้นเอง
ศิษย์ไม่น้อยคำนวณขึ้นมา ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแม้แต่คิดก็ไม่กล้าคิด ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็ยาก ทว่าฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นโอกาสสำเร็จมีมากทีเดียวเลยนะ คนหนึ่งหินวิญญาณหนึ่งพันก้อน สิบคนก็หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน ทีนี้ก็เท่ากับของใช้ในสำนักยี่สิบปีแล้ว จิ๊ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ อย่างน้อยภายในสิบปีก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหินวิญญาณสำหรับการบำเพ็ญเพียรแล้ว
เหล่าศิษย์เหยากวงได้ฟังคำพูดของนักพรตรั่วซีแล้วอารมณ์คึกคักขึ้นมาทันที แต่ละคนอยากลองขึ้นมา แทบอยากกระโดดเข้าสนามรบทันทีสู้ให้สะใจสักครั้ง
มั่วชิงเฉินแอบถอนใจ ใต้รางวัลงามย่อมมีผู้กล้า ของรางวัลทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าสมบูรณ์เช่นนี้ จากการนี้จะเห็นได้ว่าทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรมารก็ไม่น้อยหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เต๋ามารเมื่อพบหน้ากัน นั่นต้องเป็นเกมการรบที่ไม่ตายไม่เลิกราแน่นอน ความโหดร้ายของสภาพการรบ เกรงว่าจะไกลเกินที่ทุกคนจะจินตนาการได้
กลับไม่รู้ว่าบรรดาศิษย์พี่น้องร่วมสำนักที่อยากลองแทบทนไม่ไหวพวกนี้ สุดท้ายที่สามารถกลับสำนักได้จะมีสักกี่คนแล้ว รวมทั้งตนเองด้วย
นึกถึงพวกนี้ มั่วชิงเฉินอดเป็นห่วงกู้หลีขึ้นมาไม่ได้ น่าเสียดายที่นักพรตรั่วซีตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ของผู้บำเพ็ญเพียรเหยากวงที่มาถึงก่อน หากแต่เอ่ยต่อว่า “คิดว่าพวกเจ้ารู้หมดแล้ว ความขัดแย้งของศึกเต๋ามารครั้งนี้ ก็คือกุญแจลับแดนสวรรค์มี่หลัวตูที่ปรากฏขึ้นที่เมืองลั่วหยางเล็กๆ ที่เป็นจุดตัดของแดนไท่ไป๋และดินแดนเทียนหยวน ขอเพียงทางเราแย่งกุญแจลับเข้าแดนสวรรค์มี่หลัวตูได้ ผลประโยชน์ที่ได้จะมีไม่รู้จบ ถึงเวลาศิษย์เต๋าทั้งหมดล้วนได้รับประโยชน์ ดังนั้นครั้งนี้พวกเราไม่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือสำนักลั่วสยา หากแต่เพื่อพวกเราเอง ทุกคนเข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว” เหล่าศิษย์ตะโกนอย่างตื่นเต้น แม้ไม่รู้ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูมีอะไรกันแน่ ทว่าเมื่อใดที่แดนลี้ลับเช่นนี้ปรากฏ ข้างในต้องมีสมบัติวิเศษฟ้าดินเหลือคณานับเป็นแน่ กระทั่งยังมีขุมทรัพย์ที่ผู้บำเพ็ญเพียรบรรพกาลทิ้งไว้ ผลประโยชน์ในนี้ ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่อาจไม่หวั่นไหวได้
มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกว่าเรื่องเกรงว่าจะไม่ง่ายดายเช่นนี้ แดนสวรรค์มี่หลัวตูหากเป็นเพียงแดนลี้ลับธรรมดา เกรงจะไม่มีค่าให้สำนักระดับแนวหน้าของเต๋ามารสองฝ่ายพวกนี้สู้กันอย่างดุเดือดเช่นนี้ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่หาน้อยจะเข้าร่วมการแก่งแย่งก็ออกโรงแล้ว
ต้องรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อใดที่ถึงระดับก่อกำเนิดแล้ว อายุขัยมีสองพันปีเต็มๆ มีพลังอันยิ่งใหญ่ในการเคลื่อนภูผาพลิกทะเล หากไม่เพราะแย่งชิงของวิเศษที่สามารถเลื่อนขั้นได้ จะไม่ลงมือง่ายๆ ยิ่งไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ส่งเดช ถึงระดับเช่นพวกเขาแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยากจะสั่นสะเทือนพวกเขาได้อีกแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แดนสวรรค์มี่หลัวตูนี่ต้องมีวัตถุที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหวั่นไหวแน่
มั่วชิงเฉินคาดเดาเช่นนี้ กลับเข้าใจแล้วว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมากมายถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้ที่มีเพียงนางที่คิดได้เช่นนี้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้เท่านั้น ขอเพียงตนเองได้ผลประโยชน์ที่พอเพียงก็พอแล้ว อีกอย่างว่าไปแล้วบุญคุณการชุบเลี้ยงของสำนักยากจะปฏิเสธได้ ปกติผู้ที่บำเพ็ญเพียรอิสรเสรี ยามที่สำนักต้องการกลับไม่อาจปฏิเสธได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอับอาย
ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนเพื่อหินวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนเพื่อสำนัก ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนเพื่อขัดเกลาตนเอง หรือสาเหตุพวกนี้ล้วนมีส่วน ไม่ว่าอย่างไร ศึกเต๋ามารครั้งนี้ ก็ยากจะลอยตัวเหนือปัญหาแล้ว
ในเวลานี้เอง เสียงดังมาจากนอกโถงว่า “นักพรตรั่วซี ห้องจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“ผู้ดูแลจาง เชิญเข้ามาเถอะ” นักพรตรั่วซีเอ่ยนิ่งเรียบ
ผู้ดูแลจางนำศิษย์ผู้ดูแลสองสามคนเดินเข้ามาแล้วคารวะก่อนหนึ่งทีจากนั้นว่า “ทุกท่าน โถงด้านข้างจัดไว้ให้สำนักท่านโดยเฉพาะ ห้องหับไม่นับว่ามาก ดังนั้นได้แต่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทนลำบากสี่คนหนึ่งห้องแล้ว” พูดพลางมองนักพรตรั่วซีปราดหนึ่ง
นักพรตรั่วซีเอ่ยปากว่า “ยามฉุกเฉิน ทุกคนเข้าใจด้วย เอาล่ะ ทุกคนพักผ่อนวันหนึ่งก่อน พรุ่งนี้เกรงว่าต้องเข้าร่วมการรบแล้ว พรุ่งนี้ยามเหม่าตรงมารวมตัวกันที่นี่ ถึงเวลาจะจัดที่ไปของแต่ละคน”
“ขอรับ/ เจ้าค่ะ” ทุกคนรับเสียงนอบน้อม จากนั้นไปที่ของแต่ละคนภายใต้การนำของศิษย์ลั่วสยา
“ชิงเกอ เจ้าจัดของเสร็จแล้วมานี่หน่อย” นักพรตรั่วซีลูบเส้นผมต้วนชิงเกออย่างรักใคร่
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่า มิน่าใครๆ ก็บอกว่านักพรตรั่วซีขึ้นชื่อในเรื่องรักศิษย์และเข้าข้างกัน บัดนี้นับว่าได้เห็นแล้ว เมื่อนึกถึงอาจารย์ของตนอีก ในใจก็อดเสียใจไม่ได้ เขาเป็นอาจารย์ที่ดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว ทว่าตนกลับไม่อยากได้!
ศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่เหยากวงส่งมาทั้งก่อนและหลังมีร่วมสองร้อยคน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกลับมีเพียงไม่กี่สิบคน ที่พักที่จัดสรรให้อยู่ใกล้สวนดอกไม้ด้านหลัง ก็เงียบสงบสง่ากว่าของผู้ชายมากทีเดียว
มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอความสัมพันธ์ใกล้ชิด ไม่ต้องถามมากย่อมอาศัยอยู่ที่เดียวกันอยู่แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือสองคนกลับไม่ค่อยได้ข้องแวะด้วยเท่าไร เพียงแค่คุ้นหน้าเท่านั้น
ทั้งสี่คนเพิ่งเข้าห้องที่ศิษย์ผู้ดูแลจัดให้ จู่ๆ คนคนหนึ่งก็บุกเข้ามา เอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ผู้ดูแลจาง ข้าจะอยู่ห้องเดียวกับพวกนางสองคน รบกวนเจ้าเปลี่ยนให้ที”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนเพ่งมองไป ไม่คิดว่าคือมั่วหลีลั่วที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี นางใส่ชุดนักพรตสีเขียวของเหยากวง กลับดูสดใสยิ่งกว่าหลายปีก่อนเสียอีก
“หลีลั่ว (ศิษย์พี่มั่ว)!” พวกมั่วชิงเฉินสองคนเรียกขึ้นพร้อมกัน อดก้าวขึ้นหน้าไปจับมือของนางไว้ไม่ได้
มั่วหลีลั่วเพ่งพิศมั่วชิงเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แล้วตบไหล่นางอย่างแรงว่า “ดีนี่ ชิงเฉิน เจ้าเลื่อนขั้นระยะปลายแล้วจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ต้องเรียกเจ้าศิษย์พี่แล้วสิ?”
“ก็ได้” มั่วชิงเฉินยิ้มระรื่นว่า
“ฝันไปเถอะ!” มั่วหลีลั่วค้อนนางทีหนึ่ง จากนั้นเบือนหน้าไปว่า “ผู้ดูแลจาง…”
ผู้ดูแลจางคนนั้นเห็นชัดว่าเคยได้รับการชี้แนะถึงความร้ายกาจของมั่วหลีลั่วมาก่อน รีบพยักหน้าว่า “ได้ ได้”