พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 263 พบหรวนหลิงซิ่วอีก
ห้องที่มั่วหลีลั่วอยู่ก่อนหน้านี้เดิมทีก็มีเพียงสองคน นางยื่นข้อเสนอนี้ออกมาก็จัดการได้ไม่ยาก สุดท้ายจัดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนนั้นไปห้องเดิมที่นางอยู่ นางเก็บข้าวของแล้วก็ย้ายมาอย่างดีอกดีใจแล้ว
“ศิษย์พี่มั่ว ชิงเฉิน อาจารย์ให้ข้าไปหาสักครา พวกเจ้าคุยกันไปก่อน” จัดข้าวสักครู่ แล้วต้วนชิงเกอก็เอ่ย
นัยน์ตาสุกใสของมั่วหลีลั่วเหลือบมา แล้วโวยวายว่า “เฮ้อ อาจารย์ช่างลำเอียงจริงๆ เลย ปกติก็เอาแต่คิดถึงเจ้า บัดนี้พอเจ้ามาปุ๊บ ข้าก็ยิ่งถูกตีเข้าตำหนักเย็นแล้ว”
“ศิษย์พี่มั่ว!” ต้วนชิงเกอต่อว่าคำหนึ่ง แล้วหมุนตัวออกไปแล้ว
มั่วหลีลั่วถึงจ้องมั่วชิงเฉินด้วยดวงตากลมโต จากนั้นยื่นมือออกมาข้างหนึ่งว่า “เอามา!”
“หา?” มั่วชิงเฉินกะพริบตา
“อย่าแกล้งโง่ น้ำผึ้งดอกท้อ” มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ พูดพลางยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้
มั่วชิงเฉินอมยิ้มส่ายหน้า แล้วยื่นน้ำผึ้งดอกท้อข้ามไปขวดหนึ่ง
มั่วหลีลั่วเปิดผนึกออก หยิบช้อนเล็กๆ คันหนึ่งตักขึ้นมาช้อนหนึ่งกินลงไป ถึงถอนใจว่า “ชิงเฉินเอ๋ยเจ้าไม่รู้อะไร ข้าอยู่ทางนี้ที่คิดถึงที่สุดก็คือสิ่งนี้แล้ว”
มั่วชิงเฉินเป็นห่วงสวัสดิภาพของกู้หลี จึงเอ่ยตรงๆ ว่า “หลีลั่ว เจ้าอย่าเพิ่งมัวแต่กิน รู้หรือไม่ว่าอาจารย์ข้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”
“อาจารย์อาเหอกวง?” มือที่ถือช้อนของมั่วหลีลั่วหยุดกึก สีหน้าประหลาดขึ้นมา
มั่วชิงเฉินตกใจ รีบผลักนางทีหนึ่งว่า “เอ๊ะ หลีลั่ว เจ้าพูดสิ”
มั่วหลีลั่วเม้มปาก มองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าประหลาด พักหนึ่งถึงเอ่ยว่า “อาจารย์อาเหอกวง ยังไม่เลว”
มั่วชิงเฉินชะงัก เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หลีลั่ว เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร อะไรเรียกว่ายังไม่เลว?”
มั่วหลีลั่วถึงเล่าอย่างละเอียดขึ้นมาว่า “สนามรบที่อาจารย์อาเหอกวงอยู่คือป่ากาลี ผู้ที่คุมป่ากาลีกลับไม่ใช่หรูอวี้เจินจวิน ชิงเฉิน เจ้าเดาสิเจินจวินระดับก่อกำเนิดที่คุมป่ากาลีคือผู้บำเพ็ญเพียรสำนักใด?”
เพ่งพิศสีหน้าประหลาดของมั่วหลีลั่วพลาง ในใจมั่วชิงเฉินเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น จึงหลุดปากออกมาว่า “คงไม่ใช่นิกายเหอฮวนกระมัง?”
มั่วหลีลั่วตบไหล่มั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้าช่างฉลาดจริงๆ ฮ่าๆ”
มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ ไยเจ้ายังพูดว่าอาจารย์ข้าไม่เลวอีก?”
ปีนั้นกู้หลีท้าประลองกระบี่กับนิกายเหอฮวน ผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งแห่งนิกายเหอฮวนโกรธเคืองเหลือคณา บัดนี้เขาอยู่ใต้บังคับบัญชาเจินจวินระดับก่อกำเนิดแห่งนิกายเหอฮวน ยากจะรับประกันว่าเขาจะไม่โดนกลั่นแกล้ง ต้องรู้ว่า ผู้หญิงแค้นฝังใจที่สุด โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีพลังความสามารถ!
เสียงมั่วหลีลั่วเบาลงมา เอ่ยอย่างเร้นลับว่า “ชิงเฉิน ข้าพูดแล้วเจ้าอย่าตกใจเชียวนะ ที่อาจารย์อาเหอกวงไม่ถูกผู้หญิงกลุ่มนั้นทำให้ลำบากใจ เป็นเพราะศิษย์คนสุดท้ายของเจินจวินระดับก่อกำเนิดท่านนั้นแรกพบต่ออาจารย์อาเหอกวง…”
มั่วชิงเฉินชะงักงัน ชั่วขณะหนึ่งไม่ได้สติกลับมา
ลองคิดดูดีๆ อาจารย์เป็นชายที่เก่งกาจมากจริงๆ ทว่าเพราะเหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบ นางถึงไม่เคยคิดว่าจะมีผู้หญิงอื่นพึงใจต่อเขานะ โดยเฉพาะฉากถูกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไล่ตามอย่างไม่ลดละเหมือนเช่นเยี่ยเทียนหยวนนั้น หากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์แล้วนางกระทั่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล?
“เอ๊ะ ชิงเฉิน เจ้าบื้อไปแล้วหรือ?” มั่วหลีลั่วผลักมั่วชิงเฉินดู
มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา เสียงนิ่งเรียบลงมาว่า “ไม่นี่ เพียงแค่ประหลาดใจเกินไปเท่านั้น”
“นี่มีอะไรประหลาดล่ะ อาจารย์อาเหอกวงพรสวรรค์ขจรทั่วทุกสารทิศ นิสัยก็ดี มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชอบเป็นเรื่องปกติจนไม่รู้จะปกติอย่างไรแล้ว” มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างไม่ไยดี
มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “ทว่าหลายปีมานี้ที่อยู่ในเหยากวง ก็ไม่เห็นมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนไหนเป็นเช่นนี้…”
มั่วหลีลั่วยื่นนิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องจิ้มหน้าผากมั่วชิงเฉินทีหนึ่งว่า “ชิงเฉิน ข้าว่าเจ้าเลอะเลือนแล้ว เจ้าอย่าลืมนะ อาจารย์อาเหอกวงอายุหกสิบแปดก็ก่อแก่นปราณนะ บัดนี้ก็เพียงแค่ร้อยปีเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณของเราพวกนั้น อย่างน้อยต้องมากกว่าอาจารย์อาเหอกวงกว่าร้อยปี สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแล้ว มีคนไหนเต็มใจหาคนที่อายุน้อยกว่าตนร้อยกว่าปีอีกล่ะ พวกนางต่างเห็นอาจารย์อาเหอกวงโตมากับตาเลยนะ! ได้ยินว่าในอดีตยามที่อาจารย์อาเหอกวงยังไม่ก่อแก่นปราณ ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานไม่น้อยแอบมอบใจให้ คนที่ใจกล้าไล่ขอความรักก็มีมากมาย ทว่าเมื่ออาจารย์อาเหอกวงก่อแก่นปราณแล้ว ความแตกต่างของเขตแดนของตบะวางอยู่ตรงนั้น จะมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนไหนแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีก เช่นนั้นจะไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าละเมอเพ้อพกหรอกหรือ!”
คำพูดยืดยาวพูดจนมั่วชิงเฉินชะงัก ลองคิดอีกทีก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนห่างไกลไม่พูดถึงก็พูดถึงเยี่ยเทียนหยวนแล้วกัน ตั้งแต่ก่อแก่นปราณแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานพวกนั้นก็ไม่กล้าเหยียบกับระเบิดแม้แต่ก้าวเดียวแล้ว
นึกถึงตรงนี้ จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็นึกถึงตนเอง ที่อาจารย์หลบทำเป็นไม่เห็นความรู้สึกของตนเอง นอกจากถูกฐานะศิษย์อาจารย์ห้ามไว้แล้ว ยังมีความแตกต่างของเขตแดนตบะด้วยใช่หรือไม่นะ?
ตนเองข้ามมิติมาจากโลกที่ขนานนามว่าทุกคนเท่าเทียมกันใบนั้น มักนึกว่าหากชอบด้วยความจริงใจแล้ว เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวกับอย่างอื่น ไม่ว่าความเป็นจริงเป็นเช่นไร ในด้านจิตวิญญาณคนสองคนนั้นเท่าเทียมกัน
ทว่าบัดนี้คิดดูแล้ว อาจไม่ง่ายดายเหมือนที่ตนคิดก็ได้
“ชิงเฉิน ชิงเฉิน…” มั่วหลีลั่วผลักมั่วชิงเฉินว่า “ไยเจ้าเหม่อลอยเรื่อยเลยนะ เอ่อ ข้ารู้แล้ว หรือว่ากำลังกังวลว่าเมื่อการรบสิ้นสุดแล้ว อาจารย์อาเหอกวงจะพาอาจารย์หญิงกลับมาให้เจ้าคนหนึ่ง?”
มั่วหลีลั่วเดิมแค่ล้อเล่น ทว่าเมื่อคำพูดนี้เข้าหูมั่วชิงเฉิน กลับเหมือนเข็มแทงลงบนหัวใจ เจ็บตงิดๆ นางกลับไม่กล้าแสดงออกมา ถามเลยตามเลยว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่พึงใจต่ออาจารย์ตบะขั้นไหน?”
“ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง สมญานามเต๋านักพรตซู่ฉิง อยู่ในนิกายเหอฮวนก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ลือกันว่าปีนั้นยามที่อาจารย์อาเหอกวงท้าประลองกระบี่กับนิกายเหอฮวนนางกำลังกักตนทะลวงระยะกลางพอดี หลังจากออกจากกักตนได้ยินเรื่องนี้แล้วรู้สึกไม่ยอมมาตลอด ครั้งนี้มาสำนักลั่วสยาทั้งสองคนก็ถูกจัดให้อยู่ที่เดียวกันอีก จึงไปหาเรื่องอาจารย์อาเหอกวงโดยตรง ไม่คิดว่าเมื่อไปถึงก็แอบถูกใจเข้าแล้ว เอาล่ะ ชิงเฉิน เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรกังวล ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กเยี่ยเทียนหยวนนั่นก็ก่อแก่นปราณแล้ว?” มั่วหลีลั่วถามขึ้น
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม”
มั่วหลีลั่วถอนใจทีหนึ่งว่า “ทีนี้ก็หมดกัน ต่อไปคิดจะหาเรื่องเขาก็ไม่มีทางแล้ว”
มั่วชิงเฉินไม่อยากพูดถึงเยี่ยเทียนหยวนมาก จึงถามว่า “หลีลั่ว บัดนี้เจ้าอยู่สนามรบไหนน่ะ?”
มั่วหลีลั่วตอบว่า “ข้าอยู่เขาอู๋ฉยง เจ้าอาจไม่รู้ เขาอู๋ฉยงเป็นค่ายกลมหึมาตามธรรมชาติค่ายหนึ่ง เพราะข้าศึกษาเกี่ยวกับค่ายกล จึงถูกส่งไปที่นั่น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ข้าและชิงเกอจะถูกจัดไปอยู่ที่ใด” มั่วชิงเฉินเอ่ยเบาๆ
มั่วหลีลั่วส่ายศีรษะว่า “น่าเสียดายผู้ดูแลจางคนนั้นปกติพูดง่าย แต่ในด้านการจัดสรรสนามรบกลับไม่ผ่อนผันให้เลย ยามเพิ่งเริ่มยังพยายามจัดคนสำนักเดียวกันไปอยู่ที่เดียวกัน ทว่าต่อมาตามที่เหล่าสำนักยิ่งเพิ่มยิ่งมาก จัดขึ้นมาก็ไม่เพียงแค่ดูสำนักแล้ว ยังต้องดูตบะและความถนัดด้วย”
มั่วชิงเฉินย่อมอยากถูกจัดไปอยู่ที่เดียวกับกู้หลีเป็นธรรมดา ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ต่อให้ให้ความสำคัญต่อคนและสิ่งของมากเพียงใดก็จะไม่ถือความรักชายหญิงเกินไป พรุ่งนี้ถูกจัดไปไหนล้วนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มีโอกาสก็ไปพบอาจารย์ก็แล้วกัน
หลังจากนั้นไม่นานต้วนชิงเกอก็ย้อนกลับมา ทั้งสามคนคุยกันอย่างสนุกสนานพักหนึ่งก็ต่างคนต่างพักผ่อน ถึงเช้าวันที่สองมั่วหลีลั่วก็ออกเดินทางไปก่อนแล้ว มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอไปโถงข้างพร้อมกัน
นักพรตรั่วซีเห็นคนมาพร้อมหมดแล้ว จึงเริ่มจัดจุดหมายของแต่ละคน
นักพรตเฟยอวิ๋นที่ดับสูญเมื่อวานเป็นผู้นำทีมเล็กแบบกองโจรทีมหนึ่ง ในผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่านที่มาใหม่นักพรตซานอินตบะสูงสุด จึงเข้าแทนที่ตำแหน่งที่ว่างลงของนักพรตเฟยอวิ๋น ส่วนเยี่ยเทียนหยวน ถูกจัดไปอยู่สถานที่ที่เรียกว่าหุบเขาลั่วเยี่ยน มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอก็ถูกจัดไปที่นั่นด้วยกัน
ที่จริงสนามรบพวกนี้แม้แบ่งเขตแล้ว ตรงชายขอบล้วนติดกันไม่ก็ตัดกัน จุดศูนย์กลางของทั้งเจ็ดสนามรบก็คือเมืองลั่วหยาง บัดนี้ที่นั่นได้กลายเป็นศูนย์กลางของพายุแล้ว ทั้งสองฝ่ายขิงก็รา ข่าก็แรงไม่ว่าใครก็ยากจะเข้าใกล้อีกฝ่ายได้แม้ก้าวเดียว
“เอาล่ะ ทุกคนจำที่ที่ตนเองต้องไปให้ดี อีกสักครู่แยกย้ายแล้วพวกเจ้าไปดูที่ตลาดลั่วสยาได้ จัดหาของที่จำเป็น ถึงยามเที่ยงตรงค่อยรวมตัว จะมีผู้ดูแลนำพวกเจ้าไป” นักพรตรั่วซีเอ่ยนิ่งเรียบ
“ขอรับ” เหล่าศิษย์รับคำ แล้วเดินออกไปกันเป็นกลุ่มก้อน
เมื่อวานมั่วชิงเฉินก็ได้ยินมั่วหลีลั่วพูดถึงตลาดของสำนักลั่วสยา
เพราะสำนักใหญ่น้อยล้วนส่งศิษย์เข้าร่วมศึกเต๋ามาร บัดนี้ตลาดของสำนักลั่วสยาครึกครื้นไม่มีอะไรเทียบได้ ชนิดของสิ่งของยิ่งหลากหลาย เพียงแต่ราคาของโอสถและอาวุธเวทบางอย่างกลับสูงลิบลิ่ว
ฝีมือการหลอมโอสถมั่วชิงเฉินนับวันยิ่งเก่งกาจ อีกทั้งมีสวนสมุนไพรพกพา สองปีมานี้รู้ว่าอาจต้องเข้าร่วมศึกจึงหลอมโอสถไว้ไม่น้อย บัดนี้โอสถเพียงพออีกทั้งได้อาวุธเวทที่ถนัดมือ ก็ไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ
เพียงแต่คิดว่าตลาดแห่งนี้ต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรมาจากสุดหล้าฟ้าเขียวไม่น้อย ของที่นำมาหลากหลาย ไม่แน่ก็อาจมีไม้สะกดวิญญาณก็ได้
วิญญาณที่เหลืออยู่ของท่านปู่อยู่ในมุกหยินมาตลอดแม้ยังสามารถอดทนได้หลายสิบปี ทว่าหาไม้สะกดวิญญาณได้เร็วขึ้นวันหนึ่งก็สบายใจได้เร็วขึ้นวันหนึ่ง ไม่ว่าใครก็บอกไม่ได้ว่าศึกเต๋ามารครั้งนี้จะจบเมื่อไร อนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
พวกมั่วชิงเฉินสองคนเพิ่งก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก เงาคนสีเลือดหมูสายหนึ่งก็บุกเข้ามาเหมือนลมพายุหมุน
“อาจารย์อารั่วซี ข้าจะไปหุบเขาลั่วเยี่ยน!” เงาร่างสีเลือดหมูสายนั้นเพิ่งร่อนลง ก็หอบแฮ่กๆ ว่า จากนั้นสายตาก็มองตรงไปที่แห่งหนึ่งแล้ว
มั่วชิงเฉินไม่ต้องดูก็รู้ว่าคนที่คนนี้มองคือเยี่ยเทียนหยวน คนที่มาก็คือคุณหนูใหญ่เอาแต่ใจคนนั้นหรวนหลิงซิ่ว!
พริบตาเดียวไม่เจอกันหลายปี นางยังคงมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลาง กิริยาท่าทางไม่เพียงไม่เห็นความสุขุม ตรงกันข้ามกลับยิ่งไร้เหตุผล
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรวนหลิงซิ่วเป็นบุตรสาวที่รักเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักลั่วสยา บิดามารดารักกันลึกซึ้ง ยามที่มารดาใกล้หมดอายุขัยถึงให้กำเนิดนาง พูดได้ว่าเป็นบุตรที่ได้มายามชรา จากนั้นก็จากโลกนี้ไป การที่หรวนหลิงซิ่วถูกตามใจก็เป็นเรื่องในความคาดหมาย
“หลิงซิ่ว เจ้าอย่าเหลวไหล” นักพรตรั่วซีขมวดคิ้วอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า
หรวนหลิงซิ่วในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ย่อมเข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วยเป็นธรรมดา เพียงแต่สนามรบที่อยู่กลับเป็นที่ที่คุมโดยชูจี้เจินจวินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแห่งสำนักลั่วสยา พูดได้ว่าปลอดภัยไร้กังวล
ส่วนหุบเขาลั่วเยี่ยนไม่เพียงแต่ภูมิประเทศอันตราย การต่อสู้ก็ดุเดือดที่สุด เมื่อวานหากไม่ใช่ชิงเกอขอร้องนางอย่างสุดความสามารถนางก็ไม่เต็มใจให้ศิษย์ตนไปเช่นกัน หรวนหลิงซิ่วไปหุบเขาลั่วเยี่ยนหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เช่นนั้นจะบอกอาจารย์อย่างไร
“อาจารย์อารั่วซี อย่างไรข้าก็จะไป หากท่านไม่รับปาก ข้าก็ยังไปอยู่ดี” หรวนหลิงซิ่วเสียงอ่อนลงออดอ้อนว่า สีหน้ากลับยิ่งมุ่งมั่นขึ้น มองที่ที่เยี่ยเทียนหยวนอย่างเคลิบเคลิ้ม
เยี่ยเทียนหยวนหน้าดุจน้ำแข็งเหมันต์ เม้มริมฝีปากบางแน่ไม่พูดสักคำ ความอบอุ่นเล็กน้อยที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณกวาดเกลี้ยงไปในพริบตา คนทั้งคนก็เหมือนกระบี่เหล็กไหลเล่มหนึ่ง ส่งกลิ่นอายที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน
นักพรตรั่วซีมองเยี่ยเทียนหยวน แล้วแอบพูดว่าเวรกรรม ก็ไม่รู้เจ้าเด็กนี่ดวงขัดกับเขารั่วสุ่ยใช่หรือไม่ กลับรู้ว่าดึงดันสู้หรวนหลิงซิ่วไม่ได้ อีกทั้งสงสารที่นางจิตใจรักมั่น จึงได้แต่รับปากไว้
หรวนหลิงซิ่วดีใจเหลือคณา ยิ้มหวานให้เยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง สายตาสอดส่องกลับตกไปที่หน้ามั่วชิงเฉิน