พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 267 ถึงหุบเขาลั่วเยี่ยน
แลกเปลี่ยนวิชา? นักพรตผิงชวนแอบกระตุกมุมปาก ทว่าหรวนหลิงซิ่วพูดเช่นนี้กลับทำให้เขาโล่งอก ในที่สุดก็ไม่ต้องจัดการเรื่องยุ่งยากเรื่องนี้แล้ว ปากยิ้มว่า “ศิษย์หลานหรวน ศิษย์หลานมั่ว พวกเจ้าแลกเปลี่ยนวิชากับศิษย์สำนักอื่นเป็นเรื่องดี เพียงแต่ก็ต้องระวังความเหมาะสม พวกเจ้าดูในตลาดนี่ผู้คนไปมาขวักไขว่ หากหลงทำร้ายผู้อื่นเข้าก็ไม่ดีแล้ว”
หรวนหลิงซิ่วกระตุกมุมปากด้วยความรำคาญว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์อาหม่า เช่นนั้นพวกเราไปได้แล้วนะ” พูดจบก็ไม่สนใจพวกสวี่เซี่ยวถันสองคน กวาดมองพวกมั่วชิงเฉินสามคนอย่างดุดันปราดหนึ่งแล้วตรงจากไป
พวกมั่วชิงเฉินสามคนอยู่ในตลาดนี่ก็ไม่อาจพูดอะไรมาก จากไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน
นักพรตผิงชวนมองทิศทางที่ทั้งสามคนจากไปแล้วหรี่ตา กวักมือเรียกศิษย์ผู้ดูแลสองสามคน
“ท่านเจ้าโถง มีอะไรจะสั่งการขอรับ?” ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งถามอย่างนอบน้อม
นักพรตผิงชวนไม่ได้เบือนสายตากลับมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ไปสืบดูหน่อยผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพรรคเหยากวงสองคนนั้นมีที่มาอย่างไร”
“ขอรับ”
พวกมั่วชิงเฉินสามคนเดินออกจากตลาด เดินออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล
ต้วนชิงเกอมองพี่น้องสองคนที่ไม่พูดไม่จา ตาฉ่ำวาวเป็นประกายยิ้มหวานว่า “ชิงเฉิน จะออกศึกแล้วข้าขอไปเก็บของสักหน่อย รอเจ้าอยู่ที่โถงข้างนะ” พูดจบอัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวออก พยักหน้าให้มั่วเฟยเยียนแล้วบินไปแล้ว
มั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนต่างคนต่างมองหน้ากัน
“พี่เก้า ข้า ข้าจะไปหุบเขาลั่วเยี่ยนแล้ว” มั่วชิงเฉินทำลายความเงียบลงก่อน
ความตื่นเต้นเมื่อแรกเริ่มผ่านไปแล้ว อย่างไรเสียทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันหลายสิบปี ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“หุบเขาลั่วเยี่ยน?” มั่วเฟยเยียนขมวดคิ้ว จากนั้นเอ่ยนิ่งเรียบว่า “หุบเขาลั่วเยี่ยนก็เป็นสถานที่ฝึกตนที่ดีทีเดียว น้องสิบหก เจ้ากลายเป็นศิษย์พรรคเหยากวงแล้วหรือ?”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าด้วยนิสัยของมั่วเฟยเยียน สามารถพูดมากได้ถึงเพียงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว จึงไม่ถือสาน้ำเสียงนิ่งเรียบของนาง พยักหน้าว่า “อืม ปีนั้นข้าและท่านปู่มาถึงเมืองเทียนเหยาที่อยู่ใกล้ๆ พรรคเหยากวงอย่างไม่คาดคิด อยู่ที่นั่นหลายปีรอพรรคเหยากวงเปิดประตูรับศิษย์ จึงเข้าพรรคเหยากวง”
“เช่นนั้นท่านปู่ห้าล่ะ? บัดนี้ท่านสบายดีหรือไม่?” พูดถึงมั่วต้าเหนียน นัยน์ตาที่เย็นชาของมั่วเฟยเยียนในที่สุดก็มีความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินกัดปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านปู่เสียแล้ว”
มั่วเฟยเยียนชะงัก แล้วหลุบตาลง
ในเวลานี้เอง เสียงระฆังทุ้มต่ำสงบดังขึ้น
มั่วชิงเฉินเงยหน้ามองไปตามทิศทางที่เสียงระฆังลอยมา แล้วมองมั่วเฟยเยียนอย่างไม่เข้าใจ
มั่วเฟยเยียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย รีบเอ่ยว่า “น้องสิบหก ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าร่วมศึกทุกสามเดือนจะกลับสำนักจัดทัพหนึ่งครั้ง สามเดือนให้หลังข้าจะรอเจ้าที่สำนัก มีเรื่องปรึกษาด้วย” พูดถึงตรงนี้อัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวออกมาแล้วกระโดดขึ้นไป ไม่คิดว่ายังไม่ได้คำตอบจากมั่วชิงเฉินก็หายไปแล้ว
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง เดิมนางมีคำพูดมากมายจะพูดกับมั่วเฟยเยียน ใครจะรู้ว่าสถานการณ์คับขัน พี่น้องสองคนแม้แต่เวลาคุยกันสักครู่ก็ไม่มี เห็นเวลาใกล้เที่ยงตรงจึงโยนเรือเล็กออกเช่นกันแล้วรุดไปโถงข้าง สำหรับเสียระฆังนั้นตกลงหมายถึงอะไรกันแน่กลับไม่รู้แล้ว
ถึงโถงข้างกระโดดลงจากเรือเล็ก ได้มีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยรออยู่ที่นั่นแล้ว
หลังจากคนมาพร้อมเพรียงกันแล้ว ภายใต้การนำทางของศิษย์ผู้ดูแลสำนักลั่วสยา ต่างคนต่างตามผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่เป็นผู้นำไปจุดหมายปลายทางของตน
ทีมของพวกมั่วชิงเฉินจำนวนคนไม่มาก มีเพียงยี่สิบกว่าคน ในนั้นนับนางด้วยกลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายสี่คน นอกนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางล้วนๆ จากการนี้จะเห็นถึงความอันตรายของหุบเขาลั่วเยี่ยน
บินได้สองวันกว่า หน้าผาสูงหมื่นจั้งลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
ผู้ดูแลจางยื่นมือชี้ว่า “นักพรตลั่วหยาง ทุกท่าน หุบเขาลั่วเยี่ยนก็อยู่ตรงหน้าแล้ว”
สองวันนี้ฟังผู้ดูแลจางแนะนำ ทุกคนถึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเต๋ามารสองฝ่ายถึงสู้กันอย่างดุเดือนในสนามรบทั้งเจ็ดนี้
ที่แท้ยามที่กุญแจลับที่ใช้เปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตูจมลงแม่น้ำอิ้งสยา มุกเจ็ดสีที่ห้อยอยู่ใต้กุญแจลับก็กระจายหล่นลงเจ็ดที่นี้ ที่เต๋ามารสองฝ่ายสู้กันอย่างไม่ล่าถอยในเจ็ดสนามรบนี้ก็เพื่อชิงมุกเจ็ดสี ฝ่ายไหนได้มุกครบแล้ว ถึงสามารถได้เบาะแสชี้ไปหากุญแจลับ จากนั้นกุมแดนสวรรค์มี่หลัวตู
ระหว่างหน้าผามีรอยแยกแคบยาวซอกหนึ่ง ให้คนสองคนเดินเรียงหน้ากระดาษผ่านได้ ทุกคนของเหยากวงก้าวเข้ารอยแยกท่ามกลางการนำทางของผู้ดูแลจาง
ตามที่ยิ่งเดินยิ่งลึกเข้าไป ทุกคนค่อยๆ รู้สึกได้ว่ากระแสอากาศรอบตัวปั่นป่วนขึ้นา ถึงตอนหลังไม่สามารถเดินหน้าอย่างตามสบายแล้ว จำเป็นต้องโคจรพลังวิญญาณต้านทานไว้
“แดนวิญญาณปั่นป่วน?” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วแผ่วเบา แล้วมองไปที่ผู้ดูแลจาง
มั่วชิงเฉินตกใจ ที่ว่าแดนวิญญาณปั่นป่วนหมายความว่าเช่นไร หรือว่ามีความเกี่ยวข้องกับแดนไร้วิญญาณ?
แล้วก็ได้ยินผู้ดูแลจางกอบมือว่า “นักพรตลั่วหยางช่างความรู้ไม่ธรรมดาจริงๆ ถูกต้อง หุบเขาลั่วเยี่ยนตั้งอยู่ในแดนวิญญาณปั่นป่วนนั่นเอง”
“อะไรคือแดนวิญญาณปั่นป่วนน่ะ?” เกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของตน มีผู้บำเพ็ญเพียรทนไม่ไหวถามขึ้นมาแล้ว
ผู้ดูแลจางถือเข็มทิศอันหนึ่งในมือ พลางเดินเข้าข้างในพลางว่า “ที่จริงข้าน้อยก็เพราะศึกเต๋ามารครั้งนี้ถึงรู้ว่าอะไรคือแดนวิญญาณปั่นป่วน ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าหุบเขาลั่วเยี่ยนมาตลอด เพราะตั้งอยู่ที่จุดตัดของแดนไท่ไป๋และดินแดนเทียนหยวน ศิษย์ของเต๋ามารสองฝ่ายหาน้อยที่จะย่างกรายเข้ามา เมื่อก่อนปราณวิญญาณที่นี่แม้ปั่นป่วน กลับไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ ตั้งแต่หนึ่งในมุกเจ็ดสีตกลงที่นี่สภาพแวดล้อมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เคยเกิดปราณวิญญาณโกลาหลพายุกระหน่ำติดต่อกันนานเจ็ดๆ สี่สิบเก้าวัน เต๋ามารทั้งสองฝ่ายไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้แต่ก้าวเดียว รอยามที่ค่อยๆ เสถียรลงมายามที่เข้ามาอีกครั้งถึงพบว่าที่นี่กลายสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว
ผู้ดูแลจางอธิบายการเกิดของแดนวิญญาณปั่นป่วนแล้ว กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรเอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “ผู้ดูแลจาง พูดไปพูดมาตกลงแดนวิญญาณปั่นป่วนนี่มีผลกระทบเช่นไรต่อพวกเราผู้บำเพ็ญเพียร?”
ผู้ดูแลจางกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่งว่า “ทุกท่านต่างรู้ดี ปราณวิญญาณ ปราณมารต่างๆ ในฟ้าดินแม้ปนอยู่ที่เดียวกันกลับไม่ได้วุ่นวายไร้รูปแบบ ยามที่เราดูดซับปราณวิญญาณจากนอกแดน ปราณวิญญาณในฟ้าดินที่เข้ากับวิชายุทธ์ในกายย่อมพุ่งเข้าร่างด้วยตัวเอง ทว่าที่นี่ยามที่เจ้าโคจรวิชายุทธ์ แม้แต่ปราณมารก็จะพุ่งเข้ามาด้วย!”
“อะไรนะ!” ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยอุทานออกมา
ปราณมารและปราณวิญญาณเป็นของที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารดูดปราณวิญญาณเข้าไปหรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าดูดปราณมารเข้าไป ล้วนสร้างความเสียหายต่อร่างกายตน ขั้นเบาการร่ายคาถาได้รับผลกระทบกระเทือน ขั้นหนักธาตุไฟเข้าแทรก เอาเป็นว่านี่เป็นเรื่องต้องห้ามก็แล้วกัน
“ไม่เพียงเท่านี้ หุบเขาลั่วเยี่ยนยังมีลมพายุไร้ราก ทุกวันปรากฏขึ้นที่ใดไม่อาจคาดคะเนได้เลย หากพบเข้านั่นก็โชคร้ายแล้ว” ผู้ดูแลจางเสริมว่า
ไม่ต้องให้เขาอธิบายมาก ทุกคนต่างเข้าใจถึงความร้ายกาจของลมพายุ
ลมพายุเดิมเกิดข้างบนฟ้าสูง อานุภาพมหาศาล หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานฝืนค้ำไว้ในลมพายุ เพียงชั่วครู่ร่างกายก็จะถูกฉีกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่สามารถอยู่นานได้เช่นกัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรมีอาวุธเวทเหินหาวกลับไม่สามารถบินบนที่สูงได้ตามใจ
ลมพายุเช่นนี้แม้ทำให้คนสะพรึง ทว่าเพราะทุกคนต่างรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของพวกมัน ขอเพียงไม่รนหาที่ก็ไม่เป็นไร ทว่าหากเป็นลมพายุไร้ราก ปรากฏขึ้นได้ทุกที่ตามโอกาส นั่นเป็นเรื่องที่ป้องกันไม่ได้เชียวนะ ไม่แน่ชีวิตน้อยๆ ก็ถูกแย่งไปแล้ว
ระหว่างที่พูดทุกคนก็มาถึงสุดทางแล้ว ผู้ดูแลจางเตือนสติทุกคนให้หยุดเดิน ปากบ่นพึมพำยกเข็มทิศในมือขึ้น ทันใดนั้นเข็มทิศเปล่งแสงสว่างขึ้นสายหนึ่งยิงไปบนฟ้า แล้วก็เห็นคลื่นพลังวิญญาณสายหนึ่ง จากนั้นกลับคืนสู่ความสงบ
ผู้ดูแลจางถึงว่า “นักพรตลั่วหยาง พวกเราเข้าไปได้แล้ว”
ในหุบเขากว้างจนมองไม่เห็นขอบ ทางด้านที่อยู่ใกล้ทางเข้าสร้างบ้านไม้ไว้มากมาย ผู้ดูแลจางเตือนสติทุกคนว่าอีกด้านหนึ่งของหุบเขามีผู้บำเพ็ญเพียรมารปักหลักอยู่เช่นกัน ทว่าเพราะหุบเขาใหญ่เกินไปจึงไม่เจอกัน มีเพียงยามที่คนของสองฝ่ายค้นหามุกเจ็ดสีไปทั่วถึงประมือกัน
“เขตแดนนี้ชิงตู้เจินจวินตั้งค่ายกลไว้แล้ว การคุกคามของแดนวิญญาณปั่นป่วนที่มีต่อทุกคนน้อยลงไปมาก ปกติทุกคนล้วนพักผ่อนที่นี่ อยู่ในหุบเขาห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ ทุกอย่างต้องเชื่อฟังคำสั่ง” ผู้ดูแลจางชี้ขอบเขตที่เขตอาคมคลุมไว้ บ้านไม้เหล่านั้นอยู่ในขอบเขตนี้พอดี
มั่วชิงเฉินแอบตกใจ พวกเขาเดินอยู่ในรอยแยกหุบเขาแคบๆ ก็รู้สึกว่ากว่าจะเดินได้ก้าวหนึ่งก็แสนลำบากแล้ว ไม่คิดว่าที่นี่ยังตั้งค่ายกลป้องกันอีก ความเลวร้ายของสภาพแวดล้อมของแดนวิญญาณปั่นป่วนนั่นเป็นเช่นไรคิดดูก็รู้แล้ว
ยามนี้เองผู้บำเพ็ญเพียรท่านหนึ่งเดินออกจากห้อง เอ่ยปากว่า “ผู้ดูแลจางหรือนี่!”
มั่วชิงเฉินยกตามองไป พบว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่ง ดูใบหน้าแล้วคุ้นเคยอยู่บ้าง ส่วนเคยพบกันที่ไหนกลับนึกไม่ออกแล้ว
“นักพรตคงฉวน ผู้น้อยพาสหายร่วมอุดมการณ์เหยากวงทุกท่านมาแล้ว นี่คือนักพรตลั่วหยาง” ผู้ดูแลจางแนะนำว่า
ได้ยินชื่อ ‘นักพรตคงฉวน’ นี้ มั่วชิงเฉินนึกออกทันทีว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านนี้คือผู้ใดแล้ว
ปีนั้นเข้าร่วมการทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อ ผู้นำการทดสอบของสำนักไท่ซวีก็คือนักพรตคงฉวนผู้นี้แล้ว ในเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่คุมหุบเขาลั่วเยี่ยนคือชิงตู้เจินจวินแห่งสำนักไท่ซวี นักพรตคงฉวนอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลกแล้ว
สำนักไท่ซวีและพรรคเหยากวงเป็นเพื่อนบ้านกัน อีกทั้งนักพรตคงฉวนก็เป็นบุคคลที่ละมุนละม่อมไปทั่วทุกด้าน กลับไม่เคยได้ยินสมญานามเต๋า ‘นักพรตลั่วหยาง’ นี้ ทันใดนั้นจึงมองไปอย่างสงสัย เห็นใบหน้าเยี่ยเทียนหยวนแล้วรู้สึกสงสัยเล็กน้อยก่อน จากนั้นกลับตกใจยกใหญ่ “สหายน้อยเยี่ย เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะก่อแก่นปราณแล้ว!”
เยี่ยเทียนหยวนทักทายอย่างใจเย็นว่า “ศิษย์พี่คงฉวน”
นักพรตคงฉวนถึงรู้สึกตัวว่าตนเสียกิริยา รีบเอ่ยว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง รีบเชิญข้างในเร็ว”
เยี่ยเทียนหยวนตามนักพรตคงฉวนไปคารวะชิงตู้เจินจวิน ผู้ดูแลจางจัดแจงที่พักทุกคนเสร็จก็ขอตัวแล้ว
สถานการณ์ตึงเครียดกว่าที่ทุกคนคิด พวกเขาเพิ่งพักผ่อนได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ถูกเรียกตัวแล้ว ต้องค้นหามุกเจ็ดสีต่อจากทีมย่อยที่กลับมา ผู้นำทีมของทีมพวกเขานี้คือเยี่ยเทียนหยวนนั่นเอง
เดินออกจากขอบเขตป้องกันของค่ายกล ปราณวิญญาณ ปราณมารผสมปนเปอยู่ด้วยกันห้อมล้อมทุกคนไว้ ร่างกายไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มดูดปราณวิญญาณเลยเพียงแต่เดินอยู่ในนั้นก็รู้สึกถึงความไม่สบายตัวอย่างที่สุด
เยี่ยเทียนหยวนไม่ใช่คนพูดมาก เห็นดังนั้นจึงหยิบสมบัติวิเศษหน้าตาเหมือนกระดานหมากรุกออกมาอันหนึ่ง เคลื่อนพลังวิญญาณให้กระดานหมากรุกเปล่งแสงวิญญาณห้าสีออกบนฟ้า ทุกคนรู้สึกหายใจคล่องขึ้นทันที
“อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่ ดังนั้นกระดานคงวิญญาณนี้ข้าจะเอาออกมาใช้สองสามวันแรกเท่านั้น” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยนิ่งเรียบ
ทีมนี้ของเขาล้วนเพิ่งมาถึง หากจู่ๆ พบผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่ได้แล้วเกิดประมือขึ้นมาต้องเสียหายไม่น้อยเป็นแน่ มีกระดานคงวิญญาณก็จะชดเชยความเสียเปรียบได้ทีหนึ่ง ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ใช่แผนระยะยาว วิธีที่พื้นฐานที่สุดยังคงคือการปรับตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่ตนสามารถทำเพื่อพวกเขาได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย เดินไม่นานเท่าไรเยี่ยเทียนหยวนก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดเดิน บอกเป็นนัยว่าข้างหน้ามีความเคลื่อนไหว