พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 270 หลังต้นไม้มีแดนอัศจรรย์
มั่วชิงเฉินขยับมือกระดานหมากรุกอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ นี่คือของที่เยี่ยเทียนหยวนมอบให้นางก่อนไป
กระดานหมากรุกนี้เรียกว่ากระดานคงวิญญาณเจ็ดดาว ทั้งสามารถคงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านอีกทั้งยังสามารถซ่อนความปั่นป่วนของกลิ่นอายผู้บำเพ็ญเพียร ช่างเป็นสมบัติวิเศษสนับสนุนที่มีประโยชน์มากจริงๆ เดิมทีด้วยตบะของมั่วชิงเฉินนั้นไม่อาจใช้ได้
ทว่ากระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวไม่ใช่สมบัติวิเศษจู่โจม อีกทั้งถูกเยี่ยเทียนหยวนหลอมในตันเถียนมาก่อน สื่อใจถึงกัน เขาเอาเลือดจากหัวใจของมั่วชิงเฉินหยดหนึ่งหลอมเข้ากระดานหมากรุกนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้มั่วชิงเฉินมีตบะเพียงระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ก็พอกล้อมแกล้มสำแดงอานุภาพได้สองสามส่วนแล้ว
เมื่อมั่วชิงเฉินคิดถึงยามที่เยี่ยเทียนหยวนขอเลือดจากหัวใจนางหยดหนึ่งหลอมเข้ากระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวในใจก็รู้สึกแปลกๆ ต้องรู้ว่าสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งให้ความสำคัญก็คือสมบัติวิเศษที่ใช้ติดตัว เช่นนี้แล้ววันหลังต่อให้กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวกลับคืนเจ้าของเดิม ใช้ขึ้นมาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะมือเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
มั่วชิงเฉินตีเคล็ดวิชานิ้วออกไปอย่างรวดเร็ว แสงวิญญาณสายหนึ่งหายเข้าไปในกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาว กระดานหมากรุกทั้งอันมืดมนลงทันที กลิ่นอายราบเรียบระลอกหนึ่งคลุมทุกคนไว้ภายใน
มั่วชิงเฉินบอกเป็นนัยให้ทุกคนอย่าขยับส่งเดช แล้วยื่นจิตตระหนักสำรวจขึ้นมา
สภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ยามนี้ต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบยิ่งนัก อีกทั้งยังขึ้นอย่าไม่เป็นระเบียบ มองไปสายตาก็ถูกเถาวัลย์ของพืชสูงใหญ่บดบังหมดแล้ว มั่วชิงเฉินโคจรจิตตระหนักสำรวจ แล้วอดชะงักไม่ได้
เห็นเพียงด้านหลังของต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบ คือพุ่มไม้หนามเตี้ยๆ ผืนหนึ่ง บนพุ่มไม้หนามงอกผลไม้สีแดงขนาดเท่าผลซิ่งแน่นขนัดไปหมด
เลยขึ้นไปจากพุ่มไม้หนาม คือต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้าที่เกรงว่าสิบกว่าคนก็โอบไม่มิดต้นหนึ่ง วานรหลายตัวบนต้นไม้ดึงกิ่งไม้พลางไกวไปไกวมา ทุกครั้งยามที่ไกวไปถึงพุ่มไม้หนามนั่นก็จะยื่นมือดึงผลไม้สีแดงผลหนึ่ง จากนั้นดีใจหน้าบานกัดลงคำหนึ่งแล้วกลับขมวดคิ้ว โยนผลไม้ทิ้งไป
ที่ทำให้มั่วชิงเฉินตะลึงคือวานรวิญญาณพวกนี้เป็นอสูรปีศาจขั้นสี่ที่เทียบเท่าระดับสร้างรากฐานระยะปลายในมนุษย์ ตัวเป็นสีเหลืองทองทั้งตัว มีเพียงขนที่หน้าผากเป็นรูปจันทร์เสี้ยวสีเงิน
หลังจากที่มั่วชิงเฉินฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา จิตตระหนักไม่เพียงแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ที่หายากคือการควบคุมอย่างยิบย่อยทำได้ตามใจนึกมากขึ้น นางบังคับจิตตระหนักสำรวจเหตุการณ์ แม้แต่นักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณก็ยากจะพบพิรุธ
นางค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวานรวิญญาณตรงหน้าในสมองอย่างรวดเร็ว ทว่าเพียงชั่วครู่ก็ส่ายศีรษะเบาๆ
ในม้วนคัมภีร์หยกที่ตนเคยอ่าน ในบรรดาสิ่งมีชีวิตประเภทวานรที่พูดถึงไม่มีที่หน้าตาเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ วานรวิญญาณตรงหน้าพวกนี้ ต้องไม่ใช่อสูรปีศาจที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างแน่นอน
มั่วชิงเฉินหลับตาแผ่วเบา สังเกตวานรวิญญาณพวกนั้นอย่างเงียบๆ
ไยวานรวิญญาณพวกนี้ถึงอาศัยกิ่งไม้ไปเด็ดผลไม้สีแดงบนพุ่มไม้หนามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ได้มาแล้วกินคำหนึ่งก็โยนทิ้งไปอีกนะ?
เรื่องผิดปกติย่อมมีอะไรแปลกๆ ที่พวกมันทำเช่นนี้ต้องมีสาเหตุแน่นอน
จิตตระหนักของมั่วชิงเฉินค่อยๆ ตกลงบนพุ่มไม้หนามที่มีผลไม้สีแดงผืนนั้น
พุ่มไม้หนามผืนนี้เป็นสีสนิม ผลไม้สีแดงสดจนสีแทบจะหยดออกมาได้ กึ่งโปร่งใสภายใต้แสงตะวัน ดูแล้วดึงดูดใจยิ่งนัก
มั่วชิงเฉินแผ่หนวดสัมผัสจิตตระหนักออก รับรู้ถึงผลไม้สีแดงพวกนี้อย่างละเอียด ถึงพบว่าผลไม้พวกนี้แผ่กลิ่นอายประหลาดสายหนึ่ง เพียงแต่เนื่องจากยิบย่อยมาก หากไม่สำรวจอย่างละเอียดเหมือนนางต้องละเลยผ่านไปแน่
จิตตระหนักของมั่วชิงเฉินสามารถทำร้ายคนได้จริงแล้ว นางลองแตะผลไม้ผลหนึ่งดู ผลไม้สีแดงที่สุกงอมก็กลิ้งตกลงพื้นอย่างเงียบๆ
จะใช้จิตตระหนักเอาผลไม้ข้ามมาศึกษาอย่างละเอียดผลหนึ่งดีหรือไม่นะ?
มั่วชิงเฉินรู้สึกลังเลขึ้นมา
เต๋ามารสองฝ่ายวนเวียนอยู่ในหุบเขาลั่วเยี่ยนทุกวัน จุดประสงค์ก็เพื่อค้นหามุกเจ็ดสี ทว่าศึกเต๋ามารมีมาหลายปีแล้ว นอกจากมีข่าวคราวของการเจอมุกเจ็ดสีลือมาจากเนินเซียนมาร สนามรบอื่นไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย มุกเจ็ดสีราวกับจู่ๆ ก็หายสาบสูญไปอย่างไรอย่างนั้น
นางนำทีมย่อยออกมาค้นหาก็มีหลายครั้ง บางทีพบผู้บำเพ็ญเพียรมารบางทีไม่พบ ทว่าตราบใดที่หามุกเจ็ดสีไม่เจอ คนทั้งหมดก็ไม่อาจถอนตัวจากศึกครั้งนี้ได้ ระยะสั้นละก็ถือเป็นการขัดเกลาของทั้งสองฝ่าย นานเข้าละก็กลับเป็นเคราะห์กรรมแล้ว
บัดนี้กว่าจะได้พบความผิดปกติสักนิดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะให้ปล่อยไปทั้งเช่นนี้อย่างไรก็รู้สึกไม่ยอมจริงๆ
นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินตัดสินใจแน่วแน่ ใช้จิตตระหนักดันผลไม้ผลนั้นย้ายมาตำแหน่งที่ตนอยู่ทีละนิดทีละนิด หากคนอื่นประหลาดใจ ก็บอกว่าเป็นคาถาธาตุไม้ชนิดหนึ่งก็แล้วกัน
“นี่ ตกลงเจ้าทำอะไรอยู่กันแน่?” เสียงของหรวนหลิงซิ่วดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหน้าเขียว ถลึงตาใส่หรวนหลิงซิ่วอย่างดุดันปราดหนึ่ง จากนั้นตะโกนว่า “ทุกคนเตรียมตัวสู้ศึก!”
ยามที่เยี่ยเทียนหยวนมอบกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวถึงมือได้กำชับไว้ว่า ตนฝืนใช้ด้วยตบะระดับสร้างรากฐาน ไม่เพียงอานุภาพลดลงไม่น้อย ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกบดบังอยู่ภายในยังไม่อาจขยับส่งเดชได้ ต่อให้ใช้จิตตระหนักส่งเสียงทางจิต ก็อาจทำลายเขตอาคมได้ ทำให้ทุกคนเปิดเผยออกมา
ตนได้เตือนทุกคนแล้ว ไม่คิดว่าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานหรวนหลิงซิ่วกลับทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้ออกมา!
ช่างเป็นการไม่กลัวมีคู่ต่อสู้เก่งกาจเหมือนเทพ แต่กลัวสหายร่วมรบที่เหมือนหมูจริงๆ!
ครึ่งปีมานี้ ทุกครั้งที่ออกรบหากคุณหนูใหญ่คนนี้ไม่สร้างปัญหาให้ก็นับว่าบุญหนักหนาแล้ว อาจารย์อาเยี่ยเอ๋ยอาจารย์อาเยี่ย มิน่าท่านถึงรีบไปปานนั้นนะ
เป็นจริงดังคาด วานรวิญญาณพวกนั้นมือหนึ่งดึงกิ่งไม้ยาวๆ โยกผ่านพุ่มไม้หนาม ทะยานมาทางที่พวกเขาอยู่ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
“สี่ลักษณะป้องกัน กลางสองจู่โจม คนอื่นสังเกตเหตุการณ์เคลื่อนไหวตามสถานการณ์!” มั่วชิงเฉินบ่นอยู่ในใจ ปากกลับพูดอย่างรวดเร็ว
สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันหลายครั้ง ทุกคนค่อนข้างใจตรงกันแล้ว เพิ่งสิ้นเสียงมั่วชิงเฉิน ผู้บำเพ็ญเพียรสี่คนที่ยืนประจำตำแหน่งสี่ลักษณะก็ยกธงในมือขึ้น
ธงเล็กสี่ผืนสีต่างกัน แดงขาวเขียวดำแสงวิญญาณสี่สีพุ่งออกจากธงในทันใด แกะเกี่ยวอยู่ด้วยกันแล้วเปล่งแสงสี่สีออกทันที จากนั้นฝาคลุมป้องกันสีรุ้งอันหนึ่งก็ครอบทุกคนไว้ภายใน
ยามนี้เองของในมือวานรวิญญาณไม่กี่ตัวนั้นก็โยนเข้ามาแล้ว กระทบถูกฝาครอบป้องกันแล้วส่งเสียงก๊องๆ จากนั้นตกลงบนพื้น ไม่คิดว่าก็คือผลไม้สีแดงพวกนั้นนั่นเอง
ตำแหน่งที่กลางสองตั้งอยู่ คือผู้บำเพ็ญเพียรที่ถนัดคาถาธาตุทองและคาถาธาตุไฟ กระบวนท่าจู่โจมของพวกเขาตกลงบนตัววานรวิญญาณพวกนั้นเช่นกัน
วานรวิญญาณพวกนั้นร้องเจี้ยกๆ โวยวายขึ้นทันที จากนั้นใช้ทั้งแขนทั้งขาบุกไปถึงหน้าทุกคน ยื่นมือออกแรงข่วนฝาครอบป้องกัน
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าวานรวิญญาณพวกนี้อาศัยร่างกายเพียงอย่างเดียวก็มีอานุภาพในการจู่โจมถึงเพียงนี้ หลังจากฝาครอบป้องกันนั่นถูกข่วนร้อยกว่าทีก็เกิดส่ายไปส่ายมาแทบร่วงมาลงอย่างไม่คาดคิด
“หน้าสองป้องกัน กลางสี่ หลังสามจู่โจม จำไว้ อย่าลงมือฆ่า!” มั่วชิงเฉินตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“หัวหน้าทีม!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเรียก สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ลงมือฆ่าละก็จะยิ่งลำบาก ต้องรู้ว่าการควบคุมสถานการณ์เทียบกับการสู้อย่างไม่คิดชีวิตแล้วต้องยากกว่ามาก
“จงฟังข้า!” มั่วชิงเฉินเอ่ยยังไม่ลังเล น้ำเสียงเข้มแข็ง ไม่รู้เพราะเหตุใด นางมีลางสังหรณ์ หากฆ่าวานรวิญญาณพวกนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่
ทุกคนถึงลงมือพร้อมกัน ยันต์ คาถา อาวุธเวทซัดเข้าไปที่วานรวิญญาณพวกนี้
“เจี๊ยกๆๆๆ!” วานรวิญญาณถูกลูกหลงคลื่นการโจมตีที่อยู่ทั่วฟ้าไปหมด โวยวายร้อยเจี๊ยกๆ พลางถอยหลังไป ถอยถึงระยะห่างระดับหนึ่งกลับไม่ขยับเขยื้อนอีก ลืมตากลมเล็กๆ กลอกไปกลอกมามองผู้คน อีกทั้งยังยื่นมือออกมาเกาข้างแก้มเป็นระยะๆ
“อู๋เย่ว์ เจ้าไปคุยกับพวกมันที” มั่วชิงเฉินตบถุงอสูรวิญญาณทีหนึ่ง อีกาไฟก็บินออกไปแล้ว
ระหว่างอสูรวิญญาณมีภาษาร่วมกันในการสื่อสาร อีกาไฟบินไปถึงหน้าวานรวิญญาณพวกนั้น ปีกข้างหนึ่งเท้าเอวหยุดอยู่กลางอากาศ พูดแว้ดๆ ขึ้นมา
แล้วก็เห็นวานรวิญญาณพวกนั้นบางทีส่ายหน้า บางทีโบกมือ ในปากร้องเจี๊ยกๆ ไม่หยุดเช่นกัน
“เดรัจฉานพวกนี้พูดอะไรอยู่?” หรวนหลิงซิ่วขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างหมดความอดทน
มั่วชิงเฉินมองไปอย่างเย็นชา เอ่ยเสียงร้ายกาจว่า “หุบปาก!”
หรวนหลิงซิ่วกระทืบเท้าขึ้นมาด้วยความโมโหว่า “เจ้าถือดีเช่นไรบอกให้ข้าหุบปาก…ว้าย!”
เสียงฝ่ามือดังลั่นดังขึ้น ต่อจากนั้นก็เห็นหรวนหลิงซิ่วจับแก้มซ้ายที่บวมสูงขึ้น เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าตบข้า?”
มั่วชิงเฉินแอบทำตาเหลือก ในใจบอกว่าข้าไม่ได้เพิ่งตบเจ้าครั้งแรกเสียหน่อย กลับไม่รู้ว่าที่หรวนหลิงซิ่วถามเช่นนี้ เพราะว่าที่นี่อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นถิ่นของสำนักลั่วสยา นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ายังจะมีคนใจกล้าคลุมฟ้าในถิ่นของตนเช่นนี้
“ข้าขอพูดอีกครั้ง หุบปาก!” มั่วชิงเฉินเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
หรวนหลิงซิ่วยื่นนิ้วมือชี้มั่วชิงเฉิน โกรธจนตัวสั่นขึ้นมาว่า “เจ้า เจ้าถือดี…ว้าย”
เสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าของหรวนหลิงซิ่วปรากฏรอยก้อนอิฐลึกๆ ขึ้นมารอยหนึ่ง หลังจากนั้นหงายหลังหมดสติไป
มั่วชิงเฉินกวาดมองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ก็ถือดีที่ยามนี้ข้าเป็นหัวหน้าทีม!” พูดจบกวาดมองทุกคนปราดหนึ่ง
ทุกคนรีบยืนตัวตรงทันที ปากเอ่ยว่า “หัวหน้าทีม พวกเราไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
“ไม่เห็น?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว
ทุกคนเหงื่อท่วม “หัวหน้าทีม เจ้าบอกว่าเห็นอะไรพวกเราก็เห็นอะไร…”
มั่วชิงเฉินหันหลังไปเงียบๆ แอบว่าตนดุดันปานนี้เลยหรือ กลับไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่นางใช้ก้อนอิฐตบผู้ขอความรักคนแรกสลบเมื่อนานมาแล้ว ลืออย่างบ้าคลั่งว่าตบผู้ขอความรักคนที่สองตาย อีกทั้งยามที่เปลี่ยนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงโฉมงามดุจบุปผาแห่งนิกายเหอฮวนทั้งหมดกลายเป็นหัวหมู ชื่อเสียงความดุดันก็ลึกเข้าไปในใจคนตั้งนานแล้ว
สามารถพูดได้ว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนที่กล้าตอแยกับนางมีไม่มากจริงๆ นี่ก็เป็นสาเหตุที่เมื่อเยี่ยเทียนหยวนมอบหน้าที่หัวหน้าทีมให้นาง นอกจากพวกหรวนหลิงซิ่วไม่กี่คนโวยวายแล้วไม่มีคนกล้าบ่น
“เฝ้าให้ดี ยามจะจากไปอย่าลืมนางไว้ก็พอ” มั่วชิงเฉินปากพูดอยู่กลับจ้องอีกาไฟและวานรวิญญาณตาไม่กะพริบ
ไม่นานนัก อีกาไฟก็บินกลับมาแล้ว
“เป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินถาม
อีกาไฟโบกปีกว่า “แม่นางข้าออกโรงยังมีเรื่องที่ไม่สำเร็จอีกหรือ วานรพวกนั้นพูดแล้ว ขอเพียงพวกเราไป ก็จะไม่สืบสาวราวเรื่องแล้ว”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก นี่มันไร้สาระมิใช่หรือ ประเด็นคือนางไม่อยากไปนี่นา
“เจ้าถามพวกมันว่าเด็ดผลไม้พวกนั้นแล้วไยไม่กินหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถาม
อีกาไฟเดาะปากว่า “ใครจะรู้ล่ะว่าวานรพวกนั้นคิดเช่นไร ข้าถามแล้ว พวกมันก็พูดไม่ถูก บอกเพียงว่าผิดปกติ”
“ผิดปกติ?” มั่วชิงเฉินกวาดมองผลไม้สีแดงบนพื้นปราดหนึ่ง จากนั้นก้มตัวเก็บขึ้นมาผลหนึ่ง ผิดปกติหมายถึงอะไรนะ?
น่าเสียดายที่อสูรปีศาจขั้นสี่ยังไม่อาจพูดภาษาคนได้ ไม่อาจสื่อสารโดยตรง
ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ผลไม้พวกนี้ต้องมีอะไรประหลาดแน่!
มั่วชิงเฉินสัมผัสภายในผลไม้อย่างรวดเร็ว พบว่ากลิ่นอายที่ผลไม้พวกนี้ห่อหุ่มไว้ไม่เพียงแต่มีปราณวิญญาณ หากแต่มีปราณวิญญาณปราณมารผสมปนเปกัน
รู้สึกใจหาย ก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่งแล้วพูดกับวานรวิญญาณพวกนั้นว่า “นี่ ข้าเอาของดีแลกผลไม้พวกนี้ของพวกเจ้าได้หรือไม่?”