พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 275 ร่างกายที่แปลกประหลาด
มั่วชิงเฉินตกใจใหญ่ นางเคยเห็นในม้วนคัมภีร์หยกมาบ้าง สมัยบรรพกาลเซียนและเผ่ามารทำศึก ได้ทิ้งสนามรบไว้มากมายในโลกมนุษย์ เช่นเนินเซียนมารหนึ่งในเจ็ดสนามรบใหญ่ในศึกเต๋ามารครั้งนี้ก็คือสถานที่หนึ่งในนั้น
สถานที่เช่นนี้ ปกติมักมีปราณเซียนปราณมารหลงเหลืออยู่ที่ไหนสักที่ ส่วนปราณเซียนมารเนื่องจากไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับไหว ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรแตะถูก ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานสักครา
หากปริมาณปราณเซียนมารมาก ผู้บำเพ็ญเพียรกระทั่งร่างระเบิดจนถึงแก่ความตาย
ปราณเซียนมารกลุ่มนี้แม้มีเพียงกลุ่มเล็กๆ ทว่าเข้าสู่ร่างกายตนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยมาก่อน ด้วยคุณสมบัติของพลังวิญญาณระดับสร้างรากฐานคิดจะบีบมันออกนอกร่างหรือสลาย เกรงว่าจะยากแสนสาหัส
ทว่าที่ทำให้มั่วชิงเฉินไม่เข้าใจคือ หลังจากปราณเซียนมารสายนี้เข้าสู่ร่างกายนางแล้ว กลับไม่ได้พุ่งเข้าเส้นลมปราณตันเถียนอย่างรุนแรงตามที่คิด ตรงกันข้ามกลับจู่ๆ ก็แยกออกไปต่างคนต่างอยู่คนละมุมของตันเถียนแล้วไม่ขยับอีก
เตียงของตนจะปล่อยให้ผู้อื่นนอนได้อย่างไร คำพูดนี้ใช้กับภายในตันเถียนของผู้บำเพ็ญเพียรก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
แม้มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่านี่เรื่องอะไรกันแน่ กลับรีบโคจรพลังวิญญาณในกายขับไล่
ปราณเซียนมารเทียบกับพลังวิญญาณธรรมดาของผู้บำเพ็ญเพียรแล้วไม่รู้สูงส่งกว่ากี่ชั้น มั่วชิงเฉินโคจรพลังวิญญาณทั้งตัวขับไล่ปราณวิญญาณเซียนสีขาวขนาดเท่าเล็บมือกลุ่มหนึ่ง กลับพบว่าปราณวิญญาณเซียนสีขาวกลุ่มนั้นกลับกลืนกินพลังวิญญาณทีละนิดๆ อย่างไม่คาดคิด
ใช้กำลังไปสุดแรงเกิด แล้วมองดูปราณวิญญาณเซียนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มั่วชิงเฉินอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
ปราณวิญญาณเซียนกลุ่มนี้กลืนกินพลังวิญญาณในกายตนไปค่อนใหญ่ ไม่คิดว่าก็ไม่ใหญ่ขึ้น ยังคงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเช่นนั้น นี่หมายความว่าพลังวิญญาณของตนแค่นี้เทียบกับมันแล้ว ยังไม่พอยัดซอกฟันใช่หรือไม่?
ด้วยความจำใจ นางได้แต่ชักนำพลังวิญญาณไปที่ปราณวิญญาณมารสีดำกลุ่มนั้นแทน
ปราณวิญญาณเซียนไล่ไม่ไป ทว่าอย่างไรก็นับว่าเป็นสภาพสูงสุดของปราณวิญญาณ อย่างไรก็ไม่ควรให้ปราณวิญญาณมารกลุ่มนี้ก็อยู่ในร่างตนอย่างสงบเช่นนี้ใช่หรือไม่ นี่ต่างอะไรกับการวางระเบิดเวลาไว้ลูกหนึ่งล่ะ?
ยังดี ปราณวิญญาณมารกลุ่มนี้ไม่ได้กลืนกินพลังวิญญาณในร่างทีละนิดเหมือนปราณวิญญาณเซียน หากแต่อยู่นิ่งดุจขุนเขา
เมื่ออับจนหนทาง มั่วชิงเฉินกัดฟัน โคจรไฟแก้วใจกระจ่างล้อมขึ้นไป
ใครจะรู้ว่าทีนี้กลับแหย่รังแตนแล้ว ปราณวิญญาณมารที่ไม่ขยับเขยื้อนในทีแรกดุจดั่งสัตว์ร้าย แยกเขี้ยวยิงฟันสู้กับไฟแก้วใจกระจ่างขึ้นมาทันที
ไฟแก้วใจกระจ่างเป็นคู่ต่อสู้ของปราณวิญญาณมารที่ไหน ต้านไม่กี่อึดใจก็แพ้ถอยไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ตันเถียนของมั่วชิงเฉินยังถูกปราณวิญญาณมารกลุ่มนั้นชนอย่างแรงทีหนึ่ง นางรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในถูกกระบองเหล็กกวนทันที ปวดลึกไปถึงหัวใจ
“ชิงเฉิน เจ้าอยู่ในห้องหรือไม่?” เสียงของต้วนชิงเกอดังมาจากข้างนอก
ในห้องนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงอันอ่อนแอของมั่วชิงเฉินถึงดังมาว่า “ชิงเกอ ข้าอยู่”
ต้วนชิงเกอหน้าถอดสี นี่ชิงเฉินเป็นอะไรไป หรือว่าเจอปัญหาอะไรเข้า?
คิดถึงตรงนี้ก็ไม่ทันได้สนใจอย่างอื่นแล้ว ผลักประตูเข้าไปโดยตรง แล้วก็เห็นมั่วชิงเฉินล้มนั่งอยู่บนพื้น มือพยุงพนักพิงเก้าอี้กำลังพยายามลุกขึ้นยืน
ต้วนชิงเกอรีบเข้าไปพยุงมั่วชิงเฉินไว้ ถึงพบว่าบนตัวนางเปียกโซกไปด้วยเหงื่อเย็นแล้ว
มองดูสีหน้าซีดเผือดของมั่วชิงเฉิน ต้วนชิงเกอถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ชิงเฉิน นี่เจ้าเป็นอะไรไป?”
“ข้า…ข้าไม่เป็นไร” มั่วชิงเฉินพยายามส่ายหน้า
ต้วนชิงเกอหน้าบึ้งทันที “ชิงเฉิน เจ้าสภาพเป็นเช่นนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก บางเวลา เจ้าไม่ต้องอวดเก่งถึงเพียงนี้จะได้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้น ฝืนยิ้มว่า “ชิงเกอ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าเพียงแต่เกิดผิดพลาดเล็กน้อยยามบำเพ็ญเพียรเท่านั้น ฝึกสักพักก็หายแล้ว”
เรื่องที่ปราณวิญญาณเซียนและปราณวิญญาณมารมุดเข้าร่างนาง ดูท่าทางยังคิดจะอาศัยอยู่อีกนานจะพูดออกมาไม่ได้เด็ดขาด
บนโลกนี้ ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนสามารถเก็บปราณเซียนมารไว้ในตัว ปราณเซียนมารเข้าร่างมีผลลัพธ์เพียงสองอย่าง ไม่ก็ถูกผู้บำเพ็ญเพียรบีบออกนอกร่างหรือสลายไป ไม่ก็ปราณเซียนมารทำลายเส้นลมปราณตันเถียนของผู้บำเพ็ญเพียร ผู้บำเพ็ญเพียรร่างกายระเบิดจนตัวตาย ไม่เคยได้ยินว่าจะตั้งค่ายไว้ในร่างผู้บำเพ็ญเพียรด้วย
ต้วนชิงเกอเพ่งพิศสีหน้ามั่วชิงเฉิน สุดท้ายถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่งว่า “ยังดีที่พวกเราจะกลับไปแล้ว ถึงสำนักลั่วสยา เจ้าก็พักผ่อนแต่โดยดี หากมีใครไม่พกตามาวุ่นวายอีก ข้าจะไม่ละเว้นนางแน่”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าต้วนชิงเกอหมายถึงผู้ใด ความรู้สึกอบอุ่นสายหนึ่งเอ่อขึ้นในใจ จึงพยักหน้าว่า “ชิงเกอ ขอบใจเจ้ามาก”
มั่วชิงเฉินกลืนโอสถเติมวิญญาณลงไป นั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ ทว่าอาการบาดเจ็บที่เกิดจากปราณวิญญาณมาร กลับไม่ใช่จะสามารถหายได้ในชั่วครู่ชั่วยาม เห็นเวลาไม่เช้าแล้ว จึงเดินตามต้วนชิงเกอออกไป
ครั้งนี้ที่กลับสำนักลั่วสยามีสามทีมย่อย ทีมหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสำนักไท่ซวี ทีมหนึ่งคือผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเลี่ยนเป่า ยังมีอีกทีมก็คือผู้บำเพ็ญเพียรพรรคเหยากวง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่เป็นผู้นำมาจากสำนักไท่ซวี สมญานามเต๋านักพรตชิวโฉว เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงท่านหนึ่ง
“มาครบหมดแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะ” นักพรตชิวโฉวกวาดมองทุกคนปราดหนึ่ง เอ่ยนิ่งเรียบว่า จากนั้นเดินไปทางรอยแยกหุบเขา
ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินมักรู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงของสำนักไท่ซวีมีความรู้สึกเหมือนตนเองเหนือกว่า ทว่าคนอื่นจะปฏิบัติตัวเช่นไรก็ไม่ถึงกับต้องให้นางมาวิจารณ์ ยิ่งกว่านั้นคนเขายังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีก
ออกจากรอยแยกหุบเขาที่แคบยาว นักพรตชิวโฉวยกมืออัญเชิญสมบัติวิเศษเหินหาวออกมา แล้วพาทุกคนบินไปสู่ที่ตั้งสำนักลั่วสยา
นั่งอยู่บนสมบัติวิเศษเหินหาว ทุกคนต่างแสดงออกถึงความกระหยิ่มใจ
ในที่สุดก็มีชีวิตรอดกลับไปอีกครั้งแล้ว ไม่พูดถึงอย่างอื่น เพียงข้อนี้ก็คุ้มค่าแก่การดีใจแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนก้มมองทิวทัศน์ข้างล่าง ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนหลับตาพักสายตา ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรบางคนพูดคุยเบาๆ กันขึ้นมา
“ศิษย์น้องหลิว เจ้าดูสิ วันนี้หัวหน้ากลุ่มดูเหมือนไม่ค่อยปกตินะ” ผู้บำเพ็ญเพียรเหยากวงคนหนึ่งพูดกับหลิวต้าฝานว่า
หลิวต้าฝานพยักหน้าว่า “ข้าก็ดูออก หรือว่าได้รับบาดเจ็บ แปลก วันก่อนออกไปไม่เกิดการปะทะอะไรนี่นา”
“ข้าว่า อาจธาตุไฟเข้าแทรกยามบำเพ็ญเพียรกระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรคนก่อนหน้าเอ่ย
หลิวต้าฝานเบิกตากว้าง เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ไม่หรอกกระมัง อยู่แดนวิญญาณปั่นป่วนหัวหน้ากลุ่มยังบำเพ็ญเพียรอีกหรือ?”
มั่วชิงเฉินที่มองออกไปไกลเรื่อยเปื่อยเดิมทีไม่ได้ใส่ใจการสนทนาของทั้งสองคน เพียงแต่ได้ยินคำว่า ‘หัวหน้ากลุ่ม’ ถึงใส่ใจทีหนึ่ง ทว่ายามที่ได้ยินหลิวต้าฝานพูดเช่นนี้ เกิดคิดอะไรได้ เขาประหลาดใจกับการบำเพ็ญเพียรในแดนวิญญาณปั่นป่วนถึงเพียงนี้หมายความว่าเช่นไร หรือว่าปกติพวกเขาล้วนไม่บำเพ็ญเพียรกันหรืออย่างไร?
คำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งลอยเข้าหูมั่วชิงเฉินมาอีกว่า “เหตุใดจะบำเพ็ญเพียรไม่ได้ล่ะ ก็เพียงผลาญหินวิญญาณหน่อยเท่านั้น หัวหน้ากลุ่มเหมือนคนขาดหินวิญญาณเช่นนั้นหรือ?”
หลิวต้าฝานถึงพยักหน้าว่า “ก็ไม่ใช่หรอก ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่านผู้เฒ่าเหอกวง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการหลอมโอสถ พูดเฉพาะที่นางมาถึงแดนวิญญาณปั่นป่วนหินวิญญาณที่ได้จากการฆ่าศัตรู ก็เพียงพอให้บำเพ็ญเพียรได้พักใหญ่ๆ แล้ว ข้าทำใจผลาญหินวิญญาณเช่นนั้นไม่ได้หรอกนะ บำเพ็ญเพียรเพียงครั้งเดียวก็หยุดแล้ว ไหนๆ ศึกเต๋ามารก็ต้องมีวันสิ้นสุด บัดนี้เพิ่มพูนประสบการณ์การรบจริงสักหน่อย อยู่ว่างๆ ฝึกฝนคาถาอย่างตั้งใจก็ไม่นับว่าเสียเวลา”
ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย
มั่วชิงเฉินยิ่งฟังยิ่งสงสัย ที่พวกเขาพูดหมายความว่าเช่นไร การบำเพ็ญเพียรผลาญหินวิญญาณ?
แอบครุ่นคิดอยู่คนเดียวครู่หนึ่งกลับคิดไม่ตก ย้อนนึกถึงสภาพแปลกประหลาดในร่างตน มั่วชิงเฉินตัดสินใจถามให้รู้เรื่อง ทว่านางย่อมไม่มีทางถามสองคนนั้น หากแต่ส่งเสียงทางจิตให้ต้วนชิงเกอเงียบๆ ว่า “ชิงเกอ ถามอะไรเจ้าหน่อย”
“เรื่องอะไร?” ต้วนชิงเกอถามว่า
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินถึงว่า “ชิงเกอ ในแดนวิญญาณปั่นป่วน เจ้าบำเพ็ญเพียรทุกวันหรือไม่?”
ต้วนชิงเกอชะงักทีหนึ่ง ตอบว่า “นานๆ ทีก็จะบำเพ็ญเพียรครั้งหนึ่ง เป็นอันใดหรือ?”
“ไยไม่บำเพ็ญเพียรทุกวันล่ะ?” มั่วชิงเฉินยิ่งมั่นใจว่าตนเองผิดปกติแล้ว ความขยันในการบำเพ็ญเพียรต้วนชิงเกอไม่ด้อยกว่านางแม้แต่น้อย กระทั่งเพราะความแตกต่างของตบะ ปกติยังต้องขยันกว่าเล็กน้อย นางกลับบอกว่านานๆ บำเพ็ญเพียรที นี่ก็ผิดปกติแล้ว
ทว่าเมื่อยามทุกคนผิดปกติ เช่นนั้นก็หมายความว่าคนที่ผิดปกติไม่ใช่คนอื่น หากแต่เป็นตนเอง!
คำพูดต่อมาของต้วนชิงเกอก็พิสูจน์การคาดเดาของมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน ข้าพูดไว้นานแล้ว นักหลอมโอสถเช่นเจ้าช่างมีสมบัติร่ำรวยจนทำให้คนตาร้อนจริงๆ การบำเพ็ญเพียรในแดนวิญญาณปั่นป่วนจะถูกปราณมารรบกวน มีเพียงใช้หินวิญญาณคงปราณวิญญาณรอบตัวถึงสามารถบำเพ็ญเพียรได้ ทว่าการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้สิ้นเปลืองหินวิญญาณเกินไป ความเร็วก็ช้า หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยยังต้องเสี่ยงกับการธาตุไฟเข้าแทรกอีก ช่างได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ ไหนเลยจะเหมือนเจ้า โยนหินวิญญาณออกไปมากมายก็ไม่ปวดใจ”
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เข้าใจว่าตกลงตนต่างกับคนอื่นตรงไหนแล้ว
นางอยู่ที่แดนวิญญาณปั่นป่วนก็รู้สึกไม่สบายตัวเช่นกัน ทว่าวันเวลานานเข้ากลับก็ชินเสียแล้ว พลังความสามารถถดถอยเล็กน้อยก็รู้สึกว่าเป็นปรากฏการณ์ปกติ ส่วนการบำเพ็ญเพียร ยิ่งไม่เคยหยุดเลยสักวัน ทว่ากลับไม่เคยเป็นเหมือนที่พวกเขาพูด จำเป็นต้องสิ้นเปลืองหินวิญญาณเพื่อคงปราณวิญญาณรอบตัว!
หากไม่เพราะ หากไม่เพราะเช้านี้เจอเรื่องประหลาดเข้า และไม่เคยใส่ใจการคุยกันของสองคนนั้น เกรงว่าต่อให้อยู่แดนวิญญาณปั่นป่วนนานหลายปีนางก็ไม่มีทางรู้ว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่นหรอก
“ชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรกันแน่?” ต้วนชิงเกอยิ่งแน่ใจว่ามั่วชิงเฉินผิดปกติ
มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา จึงปิดบังว่า “ไม่มีอะไร เจ้าอย่าคิดมากเลย”
ต้วนชิงเกอมือหนึ่งยันคาง ส่งเสียงทางจิตอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ชิงเฉิน คงไม่ใช่กำลังจะถึงสำนักลั่วสยาเจออาจารย์อาลั่วหยาง เจ้าจึงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกระมัง?”
ที่จริงตามการคาดเดาของนาง มั่วชิงเฉินผิดปกติเช่นนี้กลับเป็นไปได้ว่าเพราะกำลังจะได้พบอาจารย์อาเหอกวง ทว่านางไม่มีทางพูดเช่นนี้หรอก บางเวลาการที่มักเอาเรื่องเรื่องหนึ่งมาพูดบ่อยๆ เรื่องนี้ก็จะประทับลึกลงไปในใจคนคนนั้นอย่างไม่รู้ตัวแล้ว
มั่วชิงเฉินเกือบตกลงไปจากสมบัติวิเศษเหินหาว รีบตั้งตัวให้นิ่งว่า “ชิงเกอ เวลาเจ้าล้อเล่นช่วยบอกก่อนได้หรือไม่?”
ต้วนชิงเกอหัวเราะฟู่ว่า “ชิงเฉิน ชายหนุ่มเช่นอาจารย์อาลั่วหยางนั้นรักเจ้าอย่างลึกซึ้ง ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย!”
มั่วชิงเฉินมองท่าทางยิ้มร่าของต้วนชิงเกอแล้วกระตุกมุมปากว่า “ชิงเกอ เจ้าพูดมั่นใจเกินไปหน่อยแล้ว เจ้าไม่ใช่ข้าเสียหน่อย”
ต้วนชิงเกอมองออกไปไกล ส่งเสียงทางจิตนิ่งเรียบว่า “ทว่าข้าเข้าใจเจ้า ชิงเฉิน บางที ผู้อยู่ในเกมหลง…”
เพิ่งสิ้นเสียงกลิ่นอายสายหนึ่งปั่นป่วนขึ้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็ได้ยินนักพรตชิงโฉวตะโกนว่า “ศัตรูโจมตี ทุกคนเตรียมพร้อม!”
ทุกคนตั้งท่าพร้อมรบทันที ทว่าไม่ทันร่อนลงพื้นดินแล้ว ตามเสียงหัวเราะที่ทำให้คนขนหัวลุก ควันดำหนาทึบสายหนึ่งก็แผ่ซ่านมา