พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 285 กระต่ายมรกตตาฟ้า
อสูรเขาเดียวเห็นกู้หลีเดินมาใกล้ หอบหายใจพลางเอาหัวถูไถมือของเขาอย่างว่านอนสอนง่าย ผ่านการปะทะเมื่อครู่ อสูรเขาเดียวถูกกู้หลีกำราบแล้ว
กู้หลียิ้มอย่างอ่อนโยน นิ้วมือที่เรียวยาวสางขนของอสูรเขาเดียวเบาๆ ทีหนึ่ง ต่อจากนั้นไม่คิดว่าน้ำตาลก้อนหนึ่งจะปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ยัดเข้าปากอสูรเขาเดียว
อสูรเขาเดียวร้อง ‘ฮี้’ เบาๆ ทีหนึ่ง เคี้ยวน้ำตาลก้อนดังจ๊วบๆ หรี่ตาขึ้นอย่างเพลิดเพลิน
มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ มองดูหนึ่งคนหนึ่งอสูรที่เข้ากันอย่างมีความสุข ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจรู้สึกอิจฉา รู้สึกว่าตนเองกลับกลายเป็นคนนอกแล้ว
“อาจารย์ หากชีวิตเช่นนี้ทำให้ท่านเป็นอิสระ เช่นนั้นได้โปรดให้อภัยความเอาแต่ใจและการรบกวนของชิงเฉิน ไม่สมหวังเป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง เปลี่ยนมุมมองดู อาจเพราะสิ่งที่ขอมากเกินไป…” มั่วชิงเฉินมองเงาหลังของกู้หลีพลางเอ่ยเงียบๆ
กู้หลีจูงอสูรเขาเดียวลุกขึ้นยืน หมุนตัวมาพอดีเห็นมั่วชิงเฉินมองมาทางเขาพลางยิ้มเบาๆ ทว่ารอยยิ้มนั่น กลับมักรู้สึกว่าต่างจากที่ผ่านมาแล้ว
“อาจารย์ ท่านกำราบม้าขาวนี่แล้วหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วยิ้มว่า
กู้หลีชะงัก ดูเหมือนไม่ค่อยชินกับรอยยิ้มบริสุทธิ์เช่นนี้ของมั่วชิงเฉิน ผ่านไปพักใหญ่ถึงเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่ม้าขาว แต่เป็นอสูรเขาเดียว”
พูดพลางจูงอสูรเขาเดียวเดินเข้ามา ก้มตัวอุ้มมั่วชิงเฉินขึ้น แล้วพลิกตัวขึ้นหลังอสูรเขาเดียว
ครั้งนี้ อสูรเขาเดียวเพียงแต่สะบัดหางอย่างว่าง่าย ตัวไม่ขยับเขยื้อน
กู้หลีตบสะโพกของอสูรเขาเดียว อสูรเขาเดียวก็วิ่งทะยานขึ้นมา
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ นั่งอยู่บนหลังอสูรเขาเดียวทั้งเรียบทั้งนิ่ง ไม่คิดว่าจะสบายกว่านั่งสมบัติวิเศษเหินหาวอีก นึกถึงตรงนี้จู่ๆ ก็นึกถึงสมบัติวิเศษเหินหาวที่สบายไร้เทียมทานของเยี่ยเทียนหยวน ชั่วขณะหนึ่งก็กังวลถึงสวัสดิภาพของเขาขึ้นมาอีก
“ชิงเฉิน เจ้ารู้สึกเช่นไร?” เสียงของกู้หลีดังขึ้นเหนือศีรษะ
มั่วชิงเฉินไม่ได้หันกลับไป เขานั่งอยู่ข้างหลังตนนี่เอง ใกล้อยู่แค่เอื้อม ทว่าแววตาที่เปิดเผยออกมาอย่างไม่ตั้งใจนั่น กลับแยกพวกเขาให้อยู่คนละฟากของขอบฟ้า
“อาจารย์ ชิงเฉินรู้สึกยังไหวเจ้าค่ะ อสูรเขาเดียวตัวนี้สบายกว่าขลุ่ยไผ่ของท่านมากเลย” มั่วชิงเฉินล้อเล่นว่า
กู้หลียิ้ม แล้วตบที่สะโพกอสูรเขาเดียวทีหนึ่ง อสูรเขาเดียวก็วิ่งทะยานขึ้นมา
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นกะทันหันทำให้มั่วชิงเฉินตัวเซ กลับถูกกู้หลีโอบเอวไว้ว่า “ชิงเฉิน เจ้าอดทนหน่อย เราต้องรีบกลับสำนักลั่วสยาให้เร็วที่สุด”
ทั้งสองคนไม่คุยกันอีก อสูรเขาเดียวที่ขี่อยู่วิ่งทะยานไปบนทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ขึ้นสูงฝูงนกโบยบิน
พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้เมืองของผู้บำเพ็ญเพียรมาร เลือกเดินทางกลางป่าที่ไม่มีผู้คนโดยเฉพาะ มีอสูรเขาเดียวเป็นพาหะ จึงไม่ค่อยมีอสูรปีศาจเข้ามาโจมตีอีก
“ชิงเฉิน ชิงเฉิน เจ้าตื่นหน่อย เราใกล้จะออกไปแล้ว” กู้หลีมือหนึ่งโอบกอดมั่วชิงเฉินไว้พลาง เขยิบไปเรียกนางที่ข้างหูพลาง จากนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้าเดิมเป็นสีครามสะอาด ทว่าจู่ๆ ก็มีเมฆดำก้อนใหญ่ๆ ลอยมามากมาย พุ่งไปยังข้างหน้า
เพียงชั่วอึดใจ ข้างหน้าก็เต็มไปด้วยเมฆดำ มืดครึ้มราวกับจะตกลงมา ท่ามกลางทะเลเมฆม้วนทะยาย มีเสียงฟ้าร้องขึ้นรางๆ
กู้หลีสีหน้าเปลี่ยน “แย่แล้ว นี่คือ…มีอสูรปีศาจกำลังพิชิตเคราะห์อัสนีจำแลงกาย!”
ในเวลาเช่นนี้ เขาไม่อยากเจอเหตุการณ์พิเศษใดๆ จริงๆ ร่างกายของมั่วชิงเฉิน รอไม่ไหวแล้ว
อสูรเขาเดียวชะลอลงมา
กู้หลีมือหนึ่งกอดมั่วชิงเฉินไว้แน่น อีกมือหนึ่งปรากฏกระบี่ชิงมู่เล่มหนึ่งขึ้นมาอย่างเงียบๆ เก็บงำกลิ่นอายแล้วเดินหน้าไปช้าๆ
“ผิดปกติ ไม่คิดว่ายังมีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรมารอีก!” สีหน้ากู้หลียิ่งหนักหน่วงขึ้น แอบตบอสูรเขาเดียว อสูรเขาเดียวย่างช้าลงอีก
กู้หลีแอบยื่นจิตตระหนักตรวจสอบขึ้นมา
ด้านหน้าคือป่าทึบที่มองไม่เห็นสุดทาง ตรงที่ที่เป็นแอ่งลงไปท่ามกลางหญ้าที่หนาทึบ กระต่ายขาวดุจหิมะตัวหนึ่งนอนอยู่ไม่ขยับเขยื้อน
กระต่ายหยกตัวนี้ร่างกายโตกว่ากระต่ายทั่วไปสองรอบเต็มๆ ตาไม่ใช่สีแดง หากแต่เป็นสีน้ำเงินไพลิน
เหนือหัวของมัน มีเมฆดำรวมตัวกันหนาทึบแล้ว
และในมุมที่มิดชิดมุมหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะต้นสองคนจ้องตาเป็นมัน สีหน้าเผยความละโมบ
‘เปรี้ยง’ เสียงหนึ่ง ธนูวารีอันหนึ่งบินออกจากปากกระต่ายหยก ระเบิดออกหน้าผู้บำเพ็ญเพียรมารสองคน
ผู้บำเพ็ญเพียรมารทั้งสองกรีดร้องเสียงหนึ่ง แล้วเผ่นพรวดไปข้างหลังอย่างทุลักทุเล
ที่แท้กระต่ายหยกพบร่องรอยของทั้งสองคนนานแล้ว
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร กระต่ายหยกตัวนี้กำลังจะเผชิญกับเคราะห์อัสนีจำแลงกาย เป็นอสูรปีศาจที่อยู่ปลายยอดขั้นเจ็ดแล้ว เทียบเท่ากับตบะระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ของผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะต้นสองคนนั้นย่อมปิดบังมันไม่ได้เป็นธรรมดา
เสียดายเพียงในเวลาสำคัญเช่นนี้ มันกลับไม่มีเวลาสนใจสองคนนี้แล้ว
สายฟ้าที่แสบตาสายหนึ่งแหวกผ่านเมฆดำเป็นชั้นๆ แม้แต่ท้องฟ้าที่ดำมืดไปหมดยังสว่างขึ้นมา ส่วนอัสนีสายแรกก็ผ่าลงมาจากที่ที่สายฟ้าแหวกเปิดไว้ ฟาดลงตรงๆ บนตัวกระต่ายหยก
เคราะห์อัสนีสายแรงเริ่มต้นแล้ว!
ผู้บำเพ็ญเพียรมารสองคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้จากไป กลับเข้าใกล้กระต่ายหยกอย่างช้าๆ ดูสีหน้า ตื่นเต้นอย่างไม่มีอะไรเทียบได้
กู้หลีแอบอยู่ในที่มืด สีหน้าหนักหน่วง
ประสบการณ์ของเขาย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจะเทียบได้ แผนการของผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนี้มองปราดเดียวก็รู้
วิชายุทธ์ของผู้บำเพ็ญเพียรมารเน้นการสำเร็จอย่างรวดเร็วมากกว่า มักมีวิถีที่ต่างจากแบบแผนทั่วไปมาเพิ่มตบะ
เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารสองคนนี้กำลังคิดมิดีมิร้ายกับมุกปีศาจของกระต่ายหยก
ต้องรู้ว่ามุกปีศาจของอสูรปีศาจขั้นเจ็ดคุณภาพสูงมาก หากผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะต้นได้กินละก็ ตบะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน
กู้หลีคาดไว้ไม่ผิด ผู้บำเพ็ญเพียรมารสองคนนี้ผ่านมาทางนี้พอดี พบอสูรปีศาจขั้นเจ็ดตัวหนึ่งกำลังเตรียมพิชิตเคราะห์อัสนีจำแลงกายอย่างไม่คาดคิด ทันใดนั้นจึงดีใจเป็นล้นพ้น
ต้องรู้ว่าปกติพวกเขาไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้อย่างเด็ดขาด วันนี้ถือว่าโชคดีจริงๆ
ขอเพียงสร้างความเสียหายเล็กน้อยในยามที่กระต่ายหยกกำลังพิชิตเคราะห์ ทำให้มันพิชิตเคราะห์ล้มเหลว เช่นนั้นมุกปีศาจของมันก็เป็นของในกระเป๋าแล้วมิใช่หรือ?
อัสนีฟาดลงมาสายแล้วสายเล่า มาถึงเคราะห์อัสนีสายที่ห้าแล้ว หลังจากกระต่ายหยกรับไว้ สามารถเห็นถึงความทุลักทุเลอย่างชัดเจน
“ลงมือหรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่งส่งสายตาให้ผู้บำเพ็ญเพียรมารอีกคนหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งส่ายหน้าว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน รอมันรับเคราะห์อัสนีสายที่หกค่อยว่ากัน”
ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนก่อนหน้าลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยว่า “หากมันทนไม่ไหววิญญาณแตกสลายจะทำเช่นไร เรามิใช่ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำได้แต่ความว่างเปล่าหรือ?”
ผู้บำเพ็ญเพียรมารอีกคนหนึ่งหัวเราะว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าดูสภาพยามนี้ของมันยังไม่ได้ย่ำแย่ถึงเพียงนั้น คาดว่าหลังจากรับเคราะห์อัสนีสายที่หกก็จะร่อแร่พอดีสะดวกให้พวกเราลงมือ”
กระต่ายหยกที่อ่อนเพลียจากการรับมือเคราะห์อัสนีโกรธจนตัวสั่น มันห่างจากการจำแลงกายเพียงแค่ก้าวเดียว ปัญญาวิญญาณย่อมไม่ใช่สิ่งที่อสูรปีศาจทั่วไปจะเทียบได้ ฟังเข้าใจการสนทนาของสองคนนั้นอย่างชัดเจน ยามนี้ดันกลับทำอะไรไม่ได้
หากท่านย่าพิชิตเคราะห์อัสนีสำเร็จ ต้องกลืนพวกเจ้าลงท้องให้อิ่มหนำสำราญสักมื้อแน่!
เสียงเปรี้ยงดังสนั่นหวั่นไหว อัสนีระเบิดลงบนตัวกระต่ายหยก
อสูรปีศาจพิชิตเคราะห์ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียร ที่สามารถเตรียมสมบัติวิเศษมากมายได้ สิ่งที่พวกมันพึ่งพาก็คือร่างกายของตน ฝืนทนให้ถึงที่สุด
เป็นไปตามคาด หลังจากเคราะห์อัสนีสายที่หกมุมปากกระต่ายหยกมีเลือดไหลออกมา ร่อแร่เต็มทน
ผู้บำเพ็ญเพียรมารสองคนสีหน้าปีติ ฉวยโอกาสก่อนที่เคราะห์อัสนีสายสุดท้ายจะฟาดลงมาอัญเชิญสมบัติวิเศษป้องกันออกมาบังข้างบนไว้ จากนั้นขยับร่างจับไปที่กระต่ายหยก
“อ๊าก” เสียงร้องน่าอนาถดังขึ้นสองเสียง ผู้บำเพ็ญเพียรมารสองคนบินออกมาตรงๆ ร่างกายร่วงลงพื้นอย่างหนักหน่วงกระตุกสองสามที แล้วไม่ขยับเขยื้อนแล้ว
ในยามเดียวกันนั้นเอง อัสนีสายที่เจ็ดฟาดลงมา ทำลายสมบัติวิเศษป้องกันสองอันแล้วฟาดลงบนตัวกระต่ายหยก
กระต่ายหยกร้องอย่างเจ็บปวดเสียงหนึ่ง จากนั้นแสงรุ้งเจ็ดสีห่อหุ้มมันไว้ภายใน ผ่านไปครู่หนึ่งแสงสลายไป ปรากฏหญิงสาวร่างเปล่าเปลือยคนหนึ่ง ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาหลังเมฆและอัสนีหายไปร่างเปลือยขาวดุจหิมะแสบตาเป็นพิเศษ
นางนอนคว่ำไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน ดูแล้วร่อแร่เต็มทน
ที่แท้เดิมทีกระต่ายหยกตัวนี้รับเคราะห์อัสนีสายสุดท้ายไม่ไหว ดันบังเอิญสมบัติวิเศษป้องกันของผู้บำเพ็ญเพียรมารสองคนนั้นช่วยมันต้านไว้ทีหนึ่ง ลดพลานุภาพบางส่วนของเคราะห์อัสนีไป เมื่อเป็นเช่นนี้จึงจำแลงกายสำเร็จอย่างไม่คาดฝัน
เพียงแต่เพราะพลังความสามารถไม่พอแต่เดิม ยามนี้จึงไม่เหมือนอสูรปีศาจที่จำแลงกายตัวอื่นที่ดูดซับพลังต้นกำเนิดฟ้าดินยามที่เคราะห์อัสนีสลายไปได้ทันท่วงที หรือก็คือแสงรุ้งเจ็ดสีพวกนั้น ตรงกันข้ามกลับหมดสติไปไม่มีพลังปกป้องตนเองแม้แต่น้อยแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ…” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังขึ้น คนผู้หนึ่งเดินไปถึงหน้ากระต่ายหยกที่จำแลงกาย ยิงแสงสีเลือดตรงเข้าหว่างคิ้วหญิงสาว จากนั้นหันหลังมา ไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์คนหนึ่ง!
“สหายที่หลบอยู่ในที่มืด ออกมาเถอะ”
กู้หลีสีหน้าเปลี่ยนทันที วางมั่วชิงเฉินไว้บนหลังอสูรเขาเดียว มองมั่วชิงเฉินที่หลับตาสนิทอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง ทันใดนั้นยื่นมือตบลงบนสะโพกอสูรเขาเดียวอย่างแรง ใช้จิตตระหนักตะโกนบอกอสูรเขาเดียวว่า “เขาน้อย วิ่งไปทางทิศตะวันออกตลอดทาง!”
ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนั้นเขารู้จัก สองคนกระทั่งยังเคยประมือกัน ตนหากเป็นในยามสภาพพร้อมเต็มที่ยังสามารถรับมือได้บ้าง ทว่าบัดนี้ได้รับบาดเจ็บ เมื่อไรที่สู้ขึ้นมากลับความหวังริบหรี่แล้ว
เห็นอสูรเขาเดียวตัวหนึ่งแบกหญิงคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามา ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนั้นอัญเชิญสมบัติวิเศษโจมตีออกมาทันที กลับได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “ชื่อจู๋ กระต่ายมรกตตาฟ้า!”
เห็นแสงกระบี่สายหนึ่งยิงไปที่หญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น ผู้บำเพ็ญเพียรมารชื่อจู๋สีหน้าเปลี่ยน รีบเก็บสมบัติวิเศษโจมตีกลับมาขวางแสงกระบี่ไว้ทันที ปากตะโกนว่า “กู้เหอกวง เจ้าเอง! สวรรค์มีทางเจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูกลับบุกเข้ามา วันนี้ข้าก็จะฆ่าเจ้ารับความดีความชอบอีกส่วนหนึ่ง เป็นมงคลคู่พอดี!”
ผู้บำเพ็ญเพียรมารชื่อจู๋นับได้ว่าเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในแดนไท่เป๋า ไม่เพียงแต่เพราะฝีมืออำมหิต ยังมีอีกข้อหนึ่งก็คือชอบเลี้ยงอสูรปีศาจที่จำแลงกายแล้ว และใช้เป็นหรูติ่งในการบำเพ็ญเพียรวิชามาร
เมื่อก่อนตบะไม่สูง ที่เขาเลี้ยงล้วนเป็นอสูรปีศาจที่สามารถจำแลงกายได้ล่วงหน้า เช่นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ปกติอยู่ขั้นห้าก็สามารถจำแลงกายได้แล้ว
ตั้งแต่เข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ กลับวางแผนจะจับอสูรปีศาจที่จำแลงกายอย่างแท้จริง กระต่ายมรกตตาฟ้าตัวนี้ ถูกเขาหมายตาไว้นานแล้ว
รอมานาน ในที่สุดวันนี้ก็กำราบกระต่ายมรกตตาฟ้าได้อย่างราบรื่นแล้ว เห็นกู้หลีลงมือเขาย่อมไม่มีเวลาสนใจอสูรเขาเดียวที่แบกมั่วชิงเฉินแล้ว
สองคนโรมรันพันตูขึ้นมาทันที
อสูรเขาเดียวแบกมั่วชิงเฉินวิ่งเร็วปานสายฟ้าแลบ จำคำสั่งของกู้หลีได้อย่างแม่นยำวิ่งไปทางทิศตะวันออก
ผู้บำเพ็ญเพียรมารกลุ่มหนึ่งเหยียบอาวุธเวทเหินหาวมาทางทิศตะวันตก
คนหนึ่งในนั้นชุดขาวสะอาด รูปโฉมไร้เทียมทานจนดูเพศไม่ชัดเจนแล้ว ไม่ว่าใครถ้าได้เห็นสักปราดก็อดรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย ใจเต้นโครมครามไม่ได้
เขาเพียงแต่ยืนอยู่ในมุมอับของกลุ่มกลุ่มนี้อย่างตามสบาย ก็รัศมีสะดุดตา กลายเป็นจุดศูนย์กลางของทั้งกลุ่ม
“หัวหน้ากลุ่มฮวา เจ้าดูข้างล่าง!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่งชี้อสูรเขาเดียวที่โจนทะยานอยู่บนพื้นว่า
ฮวาเชียนซู่ก้มหน้าดู อสูรเขาเดียวสีขาวแบกเงาร่างสีเขียวคนหนึ่งโจนทะยานผ่านไป จึงเปลี่ยนทิศอาวุธเวทเหินหาว ไล่ตามอสูรเขาเดียวไปทันที