พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 288 ฤดูใบไม้ผลิผ่านไป หน้าเยาว์วัยเฒ่าชรา
“คุณชายฮวา เจ้าคงไม่ได้พูดเล่นนะ?” มั่วชิงเฉินหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว ถึงปิดบังความเคียดแค้นในแววตาไว้ได้
ฮวาเชียนซู่ยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งขึ้น “แม่นางกู้ เชียนซู่ไม่เคยพูดเล่น”
ความเงียบเข้าปกคลุม
สีหน้าประหลาดใจที่วาบหายไปในพริบตาของฮวาเชียนซู่ถูกมั่วชิงเฉินเห็นจนหมด ในใจยิ้มเยาะขึ้นมา กลับไม่พูดอะไรสักแอะ
ในยามที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ทางที่ดีที่สุดก็คือรอให้คนอื่นพูด
“แม่นางกู้ไม่เต็มใจเช่นนั้นหรือ?” แสงบนหน้าของฮวาเชียนซู่มืดมนลงมา เผยให้เห็นความผิดหวังที่ยากจะบรรยายเป็นคำพูด ตื้นมาก กลับเพียงพอที่จะปลุกปั่นใจของหญิงสาวทุกคน
ฮวาเชียนซู่ผู้นี้ คงไม่ได้ฝึกฝนวิชาเสน่ห์กระมัง? มั่วชิงเฉินบ่นในใจ แล้วพูดหยั่งเชิงว่า “คุณชายฮวา เต๋ามารต่างหนทางกัน อาจารย์ข้าเกรงว่าจะไม่รับปาก ข้าอยากย้อนกลับสำนักก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ไม่ปฏิเสธ และก็ไม่รับปาก
ฮวาเชียนซู่ยิ้มว่า “แม่นางกู้เกรงว่าจะไม่รู้ นอกจากหุบเขาลั่วเยี่ยน มุกเจ็ดสีที่อยู่อีกหกที่ล้วนถูกหาพบแล้ว บัดนี้เต๋ามารทั้งสองฝ่ายต่างรวมตัวกันอยู่ที่หุบเขาลั่วเยี่ยน ศึกเต๋ามารมาถึงเวลาที่ดุเดือดที่สุดแล้ว แม่นางกู้เดิมเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า จากไปเพียงลำพังต้องมีอันตรายรอบด้านเป็นแน่น เชียนซู่จะทำใจได้เช่นไร หรือไม่รอให้คลื่นลมครั้งนี้สงบก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
คำพูดที่นุ่มนวลมาก มั่วชิงเฉินฟังแล้วกลับหนาวเป็นระลอกๆ ฮวาเชียนซู่พูดได้น่าฟัง ทว่ากลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ตนจากไป หากตนยืนกรานจะจากไป ทั้งสองคนเกรงว่าต้องประจันหน้ากันแล้ว เช่นนั้นยิ่งไม่เป็นผลดีกับตน
“ขอบคุณคุณชายฮวาที่เป็นห่วง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอรบกวนอีกสักระยะ เพียงแต่การบำเพ็ญเพียรคู่เป็นเรื่องใหญ่ เกรงว่าชั่วขณะหนึ่งชิงเฉินยากจะตัดสินใจได้” มั่วชิงเฉินแก้มแดงเรื่อ
ฮวาเชียนซู่สายตาร้อนแรง เสียงกลับนุ่มนวลจนทำให้คนใจเต้น “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แม่นางกู้พวกเรากลับจวนเถอะ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า เดินตามฮวาเชียนซู่กลับจวนฮวา
กลับถึงห้อง มั่วชิงเฉินเตะรองเท้าทิ้งพลิกตัวขึ้นเตียง กอดเข่าครุ่นคิดขึ้นมา
ฮวาเชียนซู่มีตบะของระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ นางก็เช่นกัน หากตีกันขึ้นมาจริงๆ กลับไม่กลัวทว่าตนหมดสติอยู่ในจวนฮวาครึ่งค่อนปี ครึ่งปีนี้เพียงพอให้เขาเล่นตุกติกกับร่างกายตนเองมากมายแล้ว หากตีกันขึ้นมาลูกไม้ที่วางไว้กำเริบ เช่นนั้นก็ติดปีกก็ยากจะบินหนีแล้ว
ยิ่งกว่านั้นวันนี้เดินอยู่ในเมืองไป๋ซิง นางกลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณรางๆ ในเมืองไป๋ซิงนี่ต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคุมอยู่แน่ ดีไม่ดีก็คือผู้อาวุโสในสำนักของฮวาเชียนซู่
ฮวาเชียนซู่ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?
มั่วชิงเฉินมองดูนิ้วมือที่ผอมแห้งของตน ในใจเกิดความคิดขึ้นมา เขารู้ว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า เช่นนั้นย่อมต้องตรวจสอบสภาพร่างกายแน่นอน เช่นนั้นจะคลำอายุกระดูกไปด้วยหรือไม่นะ?
บัดนี้ตนอายุสี่สิบห้าปีพอดี ก็เพราะอายุและตบะเช่นนี้ จึงทำให้เขาเกิดใจละโมบขึ้น?
มั่วชิงเฉินไม่ได้คิดไปในด้านของเพลิงแก้วใจกระจ่าง ก็แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นอาจารย์และอูเย่ว์ยังตรวจสอบไฟอัศจรรย์ในกายตนไม่ได้ ฮวาเชียนซู่จะตรวจรู้ได้อย่างไร
“คุณหนูกู้ พวกเราเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ?” เสียงของลั่วเหมยดังมาจากหน้าประตู
“เข้ามาเถอะ”
สาวใช้สองคนคนหนึ่งยกกะละมังน้ำ อีกคนหนึ่งยกผ้าเช็ดหน้าสีขาวเดินเข้ามาช้าๆ ลวี่เอ้อร์อมยิ้มว่า “คุณหนูกู้ ได้เวลาเช็ดตัวแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าทำเองเถอะ พวกเจ้าออกไปได้แล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
มือที่ยกกะละมังน้ำของลวี่เอ้อร์สั่น ลั่วเหมยยิ่งคุกเข่าลงตุ๊บ เอ่ยด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “คุณหนูกู้ หรือว่ามีที่ที่บ่าวรับใช้ไม่ทั่วถึงเจ้าคะ?”
“ไม่มี เพียงแต่ข้าไม่ชินเท่านั้น” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างสงบ ในใจกลับมีความคิดแวบหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด นางมักรู้สึกว่าสาวใช้คนนี้ดูแล้วคุ้นหน้าเล็กน้อย จะบอกว่าเคยเห็นที่ไหน กลับเป็นไปไม่ได้
ลั่วเหมยเอ่ยเหมือนจะร้องไห้ว่า “คุณหนูกู้ บ่าวสองคนรับคำสั่งจากคุณชายให้ปรนนิบัติท่าน หากท่าน ท่านไม่ต้องการให้พวกเราปรนนิบัติ เช่นนั้น…” เอ่ยถึงตรงนี้เผยอปาก กลับเอ่ยไม่ได้อีก
“เอาเถอะ พวกเจ้าเริ่มเถอะ” มั่วชิงเฉินมีความคิดอย่างอื่น ก็ขี้เกียจทำให้สาวใช้สองคนบลลำบากใจ
“ลั่วเหมย ลวี่เอ้อร์ ชื่อของพวกเจ้าก็ไพเราะดี หรือว่าคุณชายฮวาเป็นคนตั้งให้?” มั่วชิงเฉินปล่อยให้ทั้งสองคนเช็ดตัวให้พลาง ถามอย่างเอ้อร์ระเหย
ลวี่เอ้อร์มือชะงัก ยิ้มว่า “บ่าวมีเกียรติเช่นนั้นที่ไหนเจ้าคะ ชื่อของบ่าวท่านป้าผู้ดูแลเป็นคนตั้งให้ ส่วนพี่ลั่วเหมย กลับเป็นท่านย่าของนางตั้งให้”
“เอ่อ ข้ายังนึกว่าพวกเจ้าเข้าจวนฮวาแล้ว ล้วนต้องเปลี่ยนชื่อเสียอีก” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“คุณหนูกู้ พวกเราเป็นบ่าวที่เกิดในจวนฮวาเจ้าค่ะ” ลั่วเหมยเอ่ยเสียงเบา
ลวี่เอ้อร์เห็นชัดว่าร่าเริงกว่า ยิ้มว่า “คุณหนูกู้ท่านไม่ทราบ เดิมทีสาวใช้เช่นพวกเรายามที่ถูกจัดสรรให้ไปทำงานตามที่ต่างๆ ท่านป้าผู้ดูแลจะตั้งชื่อใหม่ให้เราทั้งหมด เพียงแต่ท่านย่าของลั่วเหมยเป็นคนมีหน้ามีตาในจวน ท่านป้าผู้ดูแลย่อมไม่กล้าข้ามหน้าข้ามตาแล้ว”
“ลวี่เอ้อร์ เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!” ลั่วเหมยถลึงตาใส่ปราดหนึ่ง
“ฮวาลั่วเหมย เป็นชื่อที่ดีจริงๆ ลั่วเหมย ท่านย่าของเจ้าต้องเป็นคนสง่าแน่นอนสินะ?” มั่วชิงเฉินยิ้มเบาๆ
ลั่วเหมยเม้มปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านย่านางน้อยมากที่จะเอ่ยเรื่องของตนเองกับพวกเรา เช็ดเสร็จแล้ว คุณหนูกู้ พวกบ่าวขอตัวแล้ว”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า เห็นสาวใช้สองคนถอยออกไป กลับแอบยื่นจิตตระหนักออกไป
“พี่ลั่วเหมย ลวี่เอ้อร์รู้สึกว่าท่านย่าเจ้าเร้นลับมากมาตลอดเลยนะ” ลวี่เอ้อร์เอ่ย
ลั่วเหมยมองลวี่เอ้อร์ปราดหนึ่งไม่พูดอะไร
ลวี่เอ้อร์ผลักนางทีหนึ่ง เสียงอ้อนว่า “ไอยา พี่สาวคนดี เจ้าก็เล่าหน่อยสิ ตั้งแต่อยู่ที่คุณหนูกู้นั่นข้าก็อยากรู้อยากเห็นแล้ว เพียงแต่ไม่เหมาะจะถามมาก”
“เล่าอะไร?” ลั่วเหมยขมวดคิ้ว
“ท่านย่าเจ้าน่ะสิ ข้าฟังท่านแม่ข้าบอกว่า ท่านย่าเจ้าเป็นอนุของคุณชายท่านหนึ่งในจวนแน่ะ คุณชายท่านนั้นแม้ดับสูญไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นคนมีรากวิญญาณ ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นพวกเราจะเทียบได้ มิเช่นนั้นน้องสาวบ้านอารองเจ้า ไยถึงมีรากวิญญาณล่ะ?” ลวี่เอ้อร์ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย
ลั่วเหมยกลับไม่ค่อยพอใจว่า “ลวี่เอ้อร์ เรื่องบ้านข้ามีอะไรน่าเอาออกมาพูด ท่านย่าข้าไม่ชอบคุยเรื่องพวกนี้เสมอมา ตั้งแต่หลายปีก่อนก็ตั้งโถงพระเองไหว้พระแล้ว แม้แต่พวกเราอยากพบสักครั้งยังยากเลย”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่พูดก็ไม่พูด เจ้าอย่าโกรธ พี่ลั่วเหมย ข้าว่าคุณหนูกู้เป็นนายหญิงของพวกเราดีออก แม้นางจะเป็นคนนิ่งๆ กลับอ่อนโยนมาก ไม่เหมือนพวกท่านเซียนที่มีรากวิญญาณตั้งหลายคน มองพวกเราก็เหมือนมองมดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง” ลวี่เอ้อร์ยื่นนิ้วก้อยออกส่ายไปมาอย่างซุกซน
ทั้งสองคนมาถึงทางแยก ก็ต่างคนต่างแยกกันแล้ว
มั่วชิงเฉินพลิกตัวลงจากเตียง ผลักหน้าต่างออกพลิกตัวบินออกไป แอบตามลั่วเหมยไป
พื้นที่ที่จวนฮวาครอบครองกว้างมาก ทว่าสถานที่ที่มีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่มาก ที่ที่ลั่วเหมยเดินยิ่งอยู่ห่างจากที่อยู่ของผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นไปไกล
มั่วชิงเฉินในใจกระเ**้ยนกระหือรือ อยากบินออกจากกำแพงสูงนี่ไปจากตระกูลฮวาแทบทนไม่ไหว เพียงแต่นางเข้าใจดี ในเมื่อฮวาเชียนซู่อยากได้นางก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้นางไปไหนมาไหนอย่างอิสระ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังไม่สู้พิสูจน์สิ่งที่คาดเดาในใจก่อนค่อยว่ากัน
ลั่วเหมยเดินวนไปวนมา เข้าไปในลานบ้านปกติแห่งหนึ่ง
สถานที่แถบนี้เป็นลานบ้านเล็กๆ เช่นนี้ทั้งหมด เดาไม่ยากว่าจวนฮวาเตรียมไว้ให้คนรับใช้ที่มีหน้ามีตาบางคน อาศัยอยู่สามรุ่นก็ไม่เป็นปัญหา
“ลั่วเหมยกลับมาแล้วหรือ อ้าว ยกน้ำแกงบัวหิมะนี่ไปให้ท่านย่าเจ้า นี่เป็นของที่คุณชายแปดให้รางวัลท่านพ่อเจ้า เขาเสียดายไม่ยอมกินนำกลับมา” หญิงอายุเลยสามสิบคนหนึ่งยื่นกล่องอาหารใบหนึ่งให้ลั่วเหมย
ลั่วเหมยลังเลครู่หนึ่ง
“รีบไปสิ เด็กคนนี้นี่ ก็มีแต่อาหารที่เจ้าส่ง ท่านย่าเจ้าถึงนานๆ ทีจะยอมรับสักครั้งสองครั้ง” หญิงคนนั้นเอ็ดว่า
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ลั่วเหมยรับกล่องอาหารมา เดินทะลุผ่านประตูจันทราในลานบ้านเข้าลานบ้านด้านหลัง ยืนเคาะประตูอยู่ด้านนอก
“ท่านย่า ลั่วเหมยส่งน้ำแกงบัวหิมะมาให้ท่านแล้ว”
ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงมีเสียงที่เฒ่าชราดังขึ้น “ลั่วเหมยเอ๋ยเจ้ากลับไปเถอะ ย่าไม่กิน”
“ท่านย่า…” ลั่วเหมยเรียกอีกครั้งหนึ่ง
“กลับไปเถอะ” เสียงข้างในยิ่งเงียบสงบขึ้น
หลังจากนั้นไม่ว่าลั่วเหมยจะเรียกอย่างไร ก็ไม่มีเสียงอีก
ลั่วเหมยส่ายศีรษะอย่างจำใจ หันหลังจากไป
มั่วชิงเฉินผลักประตูออกดังเอี๊ยด เดินเข้าไปเบาๆ
หญิงผู้หนึ่งใส่ชุดสีเทาเข้มนั่งหันหลังให้ ผมขาวโพลนแล้ว กลางโถงตั้งพระพุทธรูปไว้องค์หนึ่ง ควันธูปคละคลุ้ง
“ลั่วเหมย ย่าบอกแล้วไม่กินมิใช่หรือ เด็กคนนี้ไยถึงเข้ามาอีก?” หญิงชราไม่แม้แต่จะหันมา ในน้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความคาดไม่ถึง
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง
หญิงชรารู้สึกผิดปกติ รีบหันหน้ามาโดยพลัน อาจเพราะไหว้พระเป็นเวลานาน จึงกลับเป็นปกติจากความตื่นตะลึงอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยอย่างสงบว่า “เจ้าเป็นใคร?”
มั่วชิงเฉินเพ่งพิศใบหน้าของหญิงชรา สีหน้าเหลืองคล้ำ หน้าผากหางตาเต็มไปด้วยรอยย่น ไรผมสองข้างเป็นสีขาวแล้ว ดูแล้วอายุเกินห้าสิบแล้ว
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” หญิงชราถามอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ อีกทีหนึ่งว่า “ภูเขามีต้นไม้หนอต้นไม้มีกิ่ง พึงใจท่านหนอท่านไม่รู้…”
หญิงชราหน้าถอดสี ริมฝีปากที่แห้งผากสั่นไม่หยุด “ท่าน ท่าน…”
“พี่อวิ๋นจือ ข้าคือชิงเฉินไงล่ะ” มั่วชิงเฉินอธิบายความรู้สึกในใจไม่ถูก เอ่ยเสียงเบาว่า
จากกันเกือบสี่สิบปี เด็กสาวเหมือนดอกไม้แรกแย้มในวันวานกลายเป็นหญิงชราผมสองข้างขาวโพลนหน้าตาแห้งเ**่ยวในวันนี้
“ชิงเฉิน…” หญิงชราชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนยังไม่ได้สติกลับมา มองลักยิ้มเล็กๆ ข้างริมฝีปากของมั่วชิงเฉินแล้วจู่ๆ เสียงก็สั่นเครือว่า “ท่าน ท่านคือคุณหนู!”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า
“คุณหนู คือท่านจริงๆ หรือเจ้าคะ อวิ๋นจือไม่ได้ฝันไปนะ?” หญิงชราลุกขึ้นยืน โซซัดโซเซวิ่งมาหามั่วชิงเฉิน กลับเพราะลุกขึ้นมาแรงเกินไปอีกทั้งเพราะตื่นเต้นมากจึงรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา หน้ามืดขึ้นมาตัวทิ่มลงล่าง
มั่วชิงเฉินแวบมาถึงหน้าอวิ๋นจือ พยุงนางไว้ ส่งพลังวิญญาณเข้าไปหล่อเลี้ยงชีพจรหัวใจ อวิ๋นจือลืมตาขึ้นช้าๆ
อวิ๋นจือมองมั่วชิงเฉินที่อยู่ตรงหน้าพลาง จับนางไว้ น้ำตาไหลพรากลงมา เอ่ยสะเปะสะปะว่า “ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน ข้าไม่ได้ฝันไป…”
มั่วชิงเฉินไม่ได้เร่งรัดนาง ผ่านการตรวจสอบเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าบัดนี้ร่างกายของอวิ๋นจือนับไม่ได้ว่าดีจริงๆ บวกกับอายุมากแล้วอีก อารมณ์ขึ้นลงรุนแรงเช่นนี้ไม่ดีต่อร่างกายเป็นพิเศษ
รออวิ๋นจือค่อยๆ กลับมาสงบ มั่วชิงเฉินถึงค่อยๆ เปิดปากว่า “พี่อวิ๋นจือ ไยเจ้าถึงมาอยู่นี่ได้?”
อวิ๋นจือตัวสั่น สีหน้าเผยให้เห็นความร้อนใจ “คุณหนู ท่าน ท่านคงไม่โทษอวิ๋นจือนะเจ้าคะ?”
มั่วชิงเฉินตบมืออวิ๋นจือเป็นการปลอบโยน “พี่อวิ๋นจือ เจ้าค่อยๆ พูด ไม่ต้องคิดมากเกินไป”
อวิ๋นจือถึงใจเย็นลง นิ้วมือปัดลูกประคำที่พันอยู่ที่ข้อมืออย่างไม่รู้ตัวอ้าปากว่า “ปีนั้น คุณหนูอนุญาตให้ลา อวิ๋นจือจึงกลับหมู่บ้านตระกูลมั่ว…”