พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 295 รีบกอดข้าเร็วๆ
ในม้วนคัมภีร์หยกที่หลัวอวี้เฉิงทิ้งไว้ ไม่เพียงแต่ทิ้งข่าวคราวของไม้สะกดวิญญาณไว้ ยังมีเส้นทางออกจากอีกจวนหนึ่งของตระกูลฮวา มั่วชิงเฉินเดินมาตามเส้นทางนั้น ปลอดภัยตามคาด
เมืองไป๋ซิงเป็นเมืองที่เต๋ามารอยู่ร่วมกัน มั่วชิงเฉินแต่งตัวค้อมต่ำ อีกทั้งเก็บงำกลิ่นอายแสร้งทำเป็นระดับหลอมลมปราณระยะปลาย เดินอยู่บนถนนกลับก็ไม่มีคนสนใจ
มองดูประตูเมือง มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบา ในที่สุดก็ออกจากสถานที่ควรตายนี่ได้แล้ว
“แม่นางช้าก่อน” หน้าประตูเมือง ยามเฝ้าคนหนึ่งจู่ๆ ก็พูดขึ้น เดินขึ้นมาก้าวหนึ่งขวางทางออกไว้
มั่วชิงเฉินชะงัก มองไปอย่างเย็นชา ยามสองคนที่รั้งนางไว้ไม่คิดว่าจะมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะต้นทั้งคู่
“ผู้อาวุโสทั้งสองหมายความว่าเช่นไร?” มั่วชิงเฉินถามนิ่งเรียบ
แม้นางแสร้งทำเป็นระดับหลอมลมปราณระยะปลาย ทว่าเมืองบำเพ็ญเพียรเช่นนี้เน้นการไปมาอย่างอิสระ ไม่มีการใช้กำลังรั้งโดยอาศัยตบะเด็ดขาด หากชื่อเสียงเช่นนี้ลือออกไป ผู้บำเพ็ญเพียรที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวที่สุดพวกนั้นก็ไม่กล้ามาแล้ว
ยามเฝ้าสองคนก็แอบคุยกันอยู่เช่นกัน
“แม่นางคนนี้ดูไม่เหมือนกระมัง ว่ากันว่าเจ้าสาวของคุณชายฮวาเป็นสาวงามหยดย้อยเชียวนะ” ยามเฝ้าคนหนึ่งพลางส่งเสียงทางจิตพลางเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน
ยามเฝ้าอีกคนหนึ่งตอบว่า “ช่างนางเหมือนไม่เหมือน ข้างบนสั่งการแล้วมิใช่หรือ ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าหญิง ก็พากลับจวนเจ้าเมืองไปให้หมด ให้นางทดสอบทีหนึ่ง ถ้าใช่ละก็พาไปก็หมดเรื่อง”
“ว่าไปก็ถูกอีก” ยามเฝ้าคนก่อนหน้าพูดจบแสยะยิ้มให้มั่วชิงเฉินว่า “แม่นาง ไม่ต้องโมโห เจ้าอยู่เมืองไป๋ซิงคิดว่าคงเคยได้ยินเรื่องตระกูลฮวาสินะ พวกเราก็ทำตามคำสั่ง เจ้าเพียงใช้สิ่งนี้ทดสอบทีหนึ่งก็ได้แล้ว”
มั่วชิงเฉินกวาดของในมือของยามเฝ้าปราดหนึ่ง กังวลขึ้นมาทันที ของสิ่งนั้นใช้สำหรับทดสอบผู้บำเพ็ญเพียรว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าหรือมารชัดๆ
แม้จะบอกว่ากดข้อมือของอีกฝ่ายไว้ยื่นจิตตระหนักเข้าไปก็สามารถพบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าหรือผู้บำเพ็ญเพียรมาร ทว่าการกระทำเช่นนี้จะก่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรเกิดความไม่พอใจอย่างไม่ต้องสงสัย ใช้สิ่งนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว
ขอเพียงวางนิ้วมือลงไป ก็จะเปล่งลำแสงออกสายหนึ่งเอง หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร นั่นก็จะเป็นแสงสีดำ หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าละก็ นั่นก็จะเป็นลำแสงของวิชายุทธ์ที่บำเพ็ญเพียร
มั่วชิงเฉินแสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็นกวาดมองของสิ่งนั้นปราดหนึ่ง แล้วถามเสียงกังวานว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้ นี่คือของอะไร ทดสอบเช่นไรน่ะ?”
บัดนี้นางเป็นแม่นางน้องระดับหลอมลมปราณคนหนึ่ง ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เป็นเรื่องปกติ
ยามเฝ้านั้นก็กลับอารมณ์ดี อธิบายว่า “นี่ใช้สำหรับทดสอบฐานะของเจ้า เจ้าเพียงโคจรวิชายุทธ์วางนิ้วมือลงไปก็ได้แล้ว”
“อ้อ สามารถทดสอบว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าหรือผู้บำเพ็ญเพียรมารหรือไม่?” มั่วชิงเฉินเบิกตากว้าง สมองกลับหมุนอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดหาวิธีรับมือ
“ถูกต้อง แม่นางเร็วเข้าเถอะ ข้างหลังยังมีคนรออยู่นะ” ยามเฝ้าอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างหมดความอดทน
มั่วชิงเฉินกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ เอ่ยอย่างขลาดเขลาว่า “ท่านผู้อาวุโส ทดสอบได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าหรือผู้บำเพ็ญเพียรมาร แล้วจะทำอะไรน่ะ? หรือว่าจะจับขึ้นมา? นี่ไม่ได้นะ ข้ายังรอออกไปเก็บหญ้าสมุนไพรกลับมา แลกหินวิญญาณซื้อโอสถให้มารดาข้ารักษาโรคนะ”
“แม่นางเร็วเข้าเถอะ หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร ย่อมปล่อยเจ้าไปอยู่แล้ว หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าละก็ ก็เพียงแค่ไปตรวจสอบอีกทีที่จวนเจ้าเมืองเท่านั้น ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก” ยามเฝ้าที่อารมณ์ร้อนคนนั้นจับนิ้วมือของมั่วชิงเฉินขึ้นโดยตรงกดลงไปบนของที่ใช้ทดสอบให้รู้แล้วรู้รอดไป
ก็เห็นของที่ใช้ทดสอบเปล่งแสงสีดำขึ้นสายหนึ่งทันที จากนั้นมืดมนลง
“เอาล่ะ แม่นาง เจ้าไปได้แล้ว” ยามเฝ้าคนหนึ่งเอ่ย
มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่คนนั้นอย่างโมโห แล้วก้าวเท้าเดินออกไป
จนกระทั่งออกจากเมือง นางถึงเร่งฝีเท้า มุดเข้าในป่าทึบอย่างรวดเร็ว
พิงลำต้นต้นไม้ต้นหนึ่ง มั่วชิงเฉินในที่สุดก็ถอนใจด้วยความโล่งอก เมื่อครู่ช่างเสี่ยงจริงๆ เลย หากไม่เพราะนางไหวพริบดีบีบปราณวิญญาณมารอันน้อยนิดในร่างกายนั่นไปไว้ที่ปลายนิ้ว หลอกผ่านมาได้ เช่นนั้นวันนี้ก็ออกจากเมืองยากแล้ว
สงบใจครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินกดความรู้สึกร้อนใจไว้ไม่อยู่อีกต่อไป บินทะยานขึ้นมา
เพียงแต่นางไม่กล้าใช้อาวุธเวทเหินหาว จึงอาศัยความสามารถในการบินทะลุป่าทึบ แม้ความเร็วไม่นับว่าเร็ว กลับปลอดภัยสบายใจกว่ามาก เหมือนภูตในหุบเขา เที่ยวเล่นในแดนมนุษย์
ปลายเท้าแตะผ่านกิ่งไม้ใบไม้ มั่วชิงเฉินร่อนลงจากยอดต้นไม้ มองไปสุดลูกหูลูกตา
ด้านหน้า ก็คือป่ากาลีแล้ว
ป่ากาลี ต่อให้นางไม่เคยเยือนมาก่อน เฉพาะฟังชื่อก็ไม่ใช่สถานที่ดีอะไรหนักหนา ที่รู้สึกโชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือที่นี่เป็นสนามรบที่รกร้างแล้ว น่าจะไม่เจอผู้บำเพ็ญเพียรอะไรอีกแล้ว
เข้าป่ากาลี มั่วชิงเฉินเดินช้าลง มุ่งหน้าไปอย่างระมัดระวัง
เดินไปๆ นางปลายเท้าแตะพื้น คนทั้งคนก็ลอยขึ้นมา หมุนตัวอย่างสวยงามกลางอากาศรอบหนึ่ง แล้วร่อนลงบนสถานที่ที่ไกลออกไปสามจั้ง
หันกลับไปมองที่เดิมอีกที ไม่คิดว่าจะมีงูหลามสีเขียวลายตัวหนึ่งขดตัวอยู่ กำลังแลบลิ้นสีแดงสดส่ายหัวไปมา ตาที่โตเหมือนลูกกระพรวนจ้องมั่วชิงเฉินไม่กะพริบ
คืออสูรปีศาจขั้นห้างูหลามใบไผ่อย่างคาดไม่ถึง
สีหน้ามั่วชิงเฉินเคร่งเครียดขึ้นมา
แม้นางไม่กลัวอสูรปีศาจขั้นห้า ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นอสูรปีศาจที่เทียบเท่าผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ระดับก่อแก่นปราณระยะต้น เมื่อใดที่ตีกันขึ้นมาสภาพการรบต้องดุเดือดแน่นอน หากดึงอสูรปีศาจอื่นมาอีกก็ไม่ดีแล้ว
แน่นอนนี่ยังไม่ใช่ที่แย่ที่สุด บัดนี้สิ่งที่นางกังวลที่สุดคือการดึงผู้บำเพ็ญเพียรมารมา แล้วเกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก
งูหลามใบไผ่ไม่สนใจพวกนี้หรอกนะ ก่อนหน้านี้ที่นี่มีแต่เงาร่างของมนุษย์เต็มไปหมด มันไม่หลบขึ้นมาชั่วคราวไม่ได้ บัดนี้กว่ามนุษย์พวกนั้นจะหายไปได้ไม่ใช่ง่ายๆ การเจอคนที่อยู่ลำพังคนเดียว มิใช่อาหารรสโอชาที่สวรรค์ส่งมาให้หรอกหรือ?
ต้องรู้ว่ามนุษย์ล่ามุกปีศาจของอสูรปีศาจ อสูรปีศาจกินเลือดเนื้อของผู้บำเพ็ญเพียรเพิ่มกำลังวังชาเช่นกัน เหมือนอีกาไฟกินแก่นทองของอูเย่ว์ ตบะยังเพิ่มพูนมหาศาล
พูดได้ว่า มนุษย์และปีศาจ เป็นคู่ปรับโดยธรรมชาติ แต่ก็แตกต่างกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าและผู้บำเพ็ญเพียรมารอีก
เห็นงูหลามใบไผ่ตามมาไม่ลดละ มั่วชิงเฉินก็ไม่ลังเลอีก พลิกมือกระบี่ชิงมู่ปรากฏขึ้น ตวัดกระบี่บุปผาวิญญาณหลายสีสันเป็นพรวนก็ปรากฏขึ้นทันที กลายเป็นโซ่ดอกไม้พุ่งไปมัดงูหลามใบไผ่
งูหลามใบไผ่ร้องเสียงหนึ่ง อ้าปากลิ้นสีแดงสดก็พองขึ้นทันที ราวกับผ้าแพรที่ลื่นเป็นเงาเส้นหนึ่ง โรมรันกับโซ่ดอกไม้ขึ้นมา ส่วนหางของมันสะบัด ฟาดใส่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงกระโดดตัวขึ้นหลบหางงูออก ยกมือขึ้นเข็มสีเขียวนับไม่ถ้วนก็ยิงออกมาอย่างรุนแรง เมื่อแตะถูกหนังงูที่ลื่นเป็นเงากลับไหลลงมา
งูหลามใบไผ่ไม่เป็นคาถาอาคม กลับคล่องแคล่วโดยธรรมชาติ พลังการป้องกันก็แข็งแกร่งมาก หากแข็งปะทะแข็ง คนที่เสียเปรียบต้องเป็นมั่วชิงเฉินแน่นอน
จิตกระบี่ไหลเวียนอยู่รอบตัวไม่ขาดสาย การเคลื่อนไหวของงูหลามใบไผ่เชื่องช้าลง มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะทีหนึ่ง ถือกระบี่ชิงมู่กระโดดตัวบินขึ้น แทงไปที่จุดตายของงูหลามใบไผ่
งูหลามใบไผ่ขู่ฟ่อเสียงหนึ่ง ร่างกายเลื้อยไปมาไม่หยุด หางดังผลัวะๆ
มั่วชิงเฉินกลับไม่สนใจ เห็นปลายกระบี่กำลังจะแทงเข้าจุดตายของงูหลามใบไม้อยู่แล้ว กลับจู่ๆ ก็รู้สึกเย็นที่ข้อเท้า เมื่อหันกลับไปดู ก็เห็นงูหลามใบไผ่สีเขียวกว่าตัวหนึ่งพันอยู่ที่ข้อเท้านั่น จากนั้นเลื้อยขึ้นมาด้วยความเร็วที่เร็วกว่าฟ้าผ่า เพียงไม่นานก็มัดตัวนางไว้ทั้งตัว
มั่วชิงเฉินรู้สึกหายใจไม่ออก กลับเข้าใจว่าหากหดถอยในเวลาเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นต่อหน้างูหลามใบไผ่สองตัวนางก็ไม่มีกำลังตอบโต้แล้ว จึงอาศัยจิตกระบี่ที่ยังไม่มอดไป แทงกระบี่ชิงมู่เข้าจุดตายของงูหลามใบไผ่ตัวที่หนึ่งตรงๆ
แล้วก็ได้ยินเสียงขู่ฟ่ออย่างโหยหวนสิ้นหวัง งูหลามใบไผ่ตัวนั้นร่วงลงพื้นสั่นเทาขึ้นมา ส่วนงูหลามใบไผ่ที่รัดอยู่บนตัวมั่วชิงเฉินดูเหมือนคลั่งขึ้นมา เลื้อยขึ้นอย่างสุดชีวิตรัดมั่วชิงเฉินแน่นขึ้น แล้วอ้าปากกัดไปที่คอหอยนาง
มั่วชิงเฉินร้อนใจยิ่งนัก มือยื่นออกเหมือนฟ้าแลบ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่ง ในปากที่อ้ากว้างของงูหลามใบไผ่ มีกริชสีเทาทะมึนเล่มหนึ่งเสียบอยู่ตรงๆ ทำให้มันหุบปากไม่ได้
งูหลามใบไผ่ยิ่งรัดยิ่งแน่น หากมีคนอยู่ที่นี่ ก็จะได้ยินเสียงกระดูกมั่วชิงเฉินยังกร๊อบๆ
มั่วชิงเฉินรู้สึกหน้ามืด ราวกับชั่วขณะต่อมาก็จะกระอักเลือดออกมาได้
ถูกงูหลามรัดตัวไว้ ไม่ว่าคาถาอะไรก็ยากจะใช้ได้ เห็นลิ้นของงูหลามใบไผ่กวาดมาหานาง มั่วชิงเฉินจึงลอยขึ้นฟ้าให้รู้แล้วรู้รอดไป บินควงไม่หยุดอยู่บนฟ้า นิ้วมือพลิ้วไหวตีเคล็ดวิญญาณออกมาสายแล้วสายเล่า ต้านการโจมตีจากลิ้นงู
ต่อให้รัดอยู่บนตัวมั่วชิงเฉิน การลอยตัวขึ้นเช่นนี้ยังคงทำให้งูหลามใบไผ่ชะงักงันช่วงสั้นๆ มั่วชิงเฉินจึงอาศัยจังหวะนี้ ใช้เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา คมมีดไร้รูปสายหนึ่งกระแทกลงบนจิตตระหนักของงูหลามใบไผ่อย่างรุนแรง
งูหลามใบไผ่ร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง คลายตัวออกโดยไม่รู้ตัว ตกลงพื้นดังผลัวะแล้วดิ้นขึ้นมา
มั่วชิงเฉินร่อนลงในชั่วพริบตา อัญเชิญกระบี่ชิงมู่ออกอย่างไม่ลังเล ปราณกระบี่สีเขียวสายหนึ่งหายเข้าไปในจุดตายของงูหลามใบไผ่
มองดูงูหลามใบไผ่สองตัวที่หงายท้องขาวขึ้น มั่วชิงเฉินพักหายใจแผ่วเบา เดินสองก้าวไปถึงข้างหน้า หยิบกริชที่ทิ้งไว้ในงูหลามใบไผ่ตัวหนึ่งออกมาก่อน ต่อจากนั้นถลกหนังแล่เนื้อ เอาดีงูและมุกปีศาจออกมา แล้วค่อยม้วนหนังงูที่สมบูรณ์สองตัวขึ้น โยนเข้าไปในกำไลเก็บวัตถุ
มองดูกองเนื้อที่โชกเลือด มั่วชิงเฉินก็ทำใจสิ้นเปลืองไม่ลง ใช้กริชตัดเป็นท่อนๆ อย่างคล่องแคล่ว แอบว่ารออู๋เย่ว์กลับมา ย่างเนื้อร่ำสุราด้วยกัน
เพียงครู่เดียวก็เก็บกวาดทุกอย่างเสร็จ มั่วชิงเฉินมองดูพื้นผิวที่สะอาดสะอ้านแล้วกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
ยังจำได้ที่หุบเขาโยวเล่อในปีนั้น นางฆ่างูเขียวตัวหนึ่งเช่นกัน กลับเพราะขยะแขยงไม่เอาเนื้องู ด้วยเหตุนี้ยังถูกคนอื่นเดาได้ว่าเป็นสตรี วันเวลาหมุนผ่าน บัดนี้ตนคิดจะดื่มสุรากินเนื้อกับอู๋เย่ว์ กลับไม่ได้คิดแม้แต่น้อยว่าเป็นเนื้องูหรือเนื้อกวาง ถึงที่สุดแล้วสภาพจิตใจก็เทียบกันไม่ได้แล้ว
รับมืองูหลามใบไผ่สองตัวพร้อมกัน พูดแล้วง่ายการสิ้นเปลืองกำลังกลับไม่น้อย มั่วชิงเฉินตั้งค่ายกลป้องกันขึ้นกลืนโอสถลงไป ฟื้นฟูกำลังวังชาอย่างรวดเร็วแล้วถึงเดินทางต่อ
ใช้กระบี่ชิงมู่เขี่ยหญ้ารกที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่ามีความรู้สึกที่สนิทสนมมากไหลผ่านหัวใจ
“อู๋เย่ว์?” มั่วชิงเฉินดีใจ
จากนั้นก็เห็นเงาสีขาวเงาหนึ่งพุ่งเข้ามา โผเข้าใส่นางตรงๆ
มั่วชิงเฉินแวบหลบ เงาสีขาวโผได้ความว่างเปล่า แล้วก็ได้ยินเสียงออดอ้อนเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “เจ้านาย…”
ไม่คิดว่าจะเป็นเขาน้อย ยามนี้มันกำลังลืมตาฉ่ำเยิ้มมองมั่วชิงเฉินอย่างน้อยใจ
ยามที่ความรู้สึกผิดปกติแวบขึ้นในใจมั่วชิงเฉินเดิมนึกว่าเป็นอู๋เย่ว์ เมื่อเห็นเขาน้อยแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่ามันเซ็นต์พันธสัญญานายบ่าวกับตนแล้ว
พันธสัญญานี้นางไม่ได้เป็นคนเซ็นต์เอง หากแต่เป็นยามที่กู้หลีสั่งเขาน้อยพานางหนีไป ในชั่วพริบตานั้นอาศัยความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ บังคับเซ็นต์ไว้ เพื่อสะดวกให้เขาน้อยดูแลมั่วชิงเฉินอย่างดี
“เขาน้อย ไยเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้?” มั่วชิงเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
แล้วก็ได้ยินเขาน้อยเอ่ยอย่างออดอ้อนและน้อยใจว่า “เจ้านาย กอดข้าหน่อย”