พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 298 กลับสำนักลั่วสยาอีกครั้ง
ข้างลำคลองเล็กๆ ที่ใสจนเห็นก้น อสูรเขาเดียวขาวดุจหิมะตัวหนึ่งก้มหน้าจิบน้ำ เขาทองบนหน้าผากเห็นลายเป็นวงๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ราวกับรวบรวมแสงอาทิตย์หยดสุดท้ายไว้ โดดเดี่ยวและแสบตา
ไม่ไกลออกไป คือผู้บำเพ็ญเพียรสองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิง
ชายหนุ่มอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ หญิงสาวเพิ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น หน้าตามีส่วนที่คล้ายกันอยู่ ทำให้คนมองดูก็รู้ว่ามีความเกี่ยวพันทางสายเลือด
นี่คือพี่น้องคู่หนึ่ง
มั่วชิงเฉินยืนอยู่ข้างต้นเหมยขาวต้นหนึ่งอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง สิ่งที่เห็นก็คือภาพวิวทิวทัศน์นี้
“น้องเล็ก อสูรเขาเดียวนี่เป็นอสูรปีศาจขั้นห้า ข้าว่าอย่างไรก็ช่างเถอะ ฟ้ามืดแล้ว พวกเรารีบกลับไปดีกว่า อย่างไรเสียเขาอู๋ฉยงก็ไม่ใช่ที่ที่อยู่นานได้” เสียงชายหนุ่มอ่อนโยน เผยให้เห็นความเอ็นดูที่ยากจะปิดบัง
หญิงสาวกลับเชิดคาง กระทืบเท้า เอามือแกว่งแขนของชายหนุ่มว่า “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าอสูรเขาเดียวนิสัยอ่อนโยน ไม่มีพลังโจมตีอะไร ท่านจับมาให้น้องหน่อยสิ ไม่เช่นนั้น ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจท่านสามวันนะ…”
ในคำพูดดูออกว่าค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นเด็กสาวที่ถูกตามใจจนโต
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดีตามคาดว่า “ได้ ได้” พูดพลางลุกขึ้นเดินไปหาอสูรเขาเดียว
“สหายเต๋าเชิญรอสักครู่” มั่วชิงเฉินออกเสียงเรียก
ผู้ไม่รู้ไม่ผิด สองพี่น้องนี้แม้จ้องอสูรวิญญาณของนางอยู่ กลับไม่รู้ว่าอสูรเขาเดียวจำนายแล้ว นางย่อมไม่ชอบไม่เกลียดสองคนนี้เป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉวยโอกาสที่ชายหนุ่มยังไม่ลงมือก็พูดให้รู้เรื่อง อีกสักครู่จะได้ไม่น่าเกลียด เกิดปัญหา
พี่น้องสองคนจึงหันไปตามเสียงโดยพลัน
ข้างต้นเหมยขาว หญิงสาวชุดเขียวสะโอดสะองคนหนึ่งยืนอยู่ ผมยาวดุจหมึก รัดง่ายๆ ไว้ข้างหลัง ผมข้างหน้าหนาเตอะบังหน้าตาไว้ กลับบังใบหน้าที่ขาวสะอาดจะแทบใสแจ๋วไม่มิด
ลมหนาวพัดขึ้น พัดชุดเขียวปลิวเป็นจีบ โชยเหมยขาวที่อยู่ข้างๆ เหมยที่ร่วงหล่นติดอยู่บนกระโปรงเหมือนหิมะ กลิ่นหอมจางๆ โถมมา
ในสถานที่เช่นนี้ จู่ๆ มีหญิงแปลกหน้าโผล่ออกมาคนหนึ่ง พี่น้องสองคนย่อมไม่มีกะจิตกะใจชื่นชม หญิงสาวตะโกนเสียงหนึ่งว่า “เจ้าเป็นใคร?”
ชายหนุ่มไม่ส่งเสียง กลับหยิบอาวุธออกมาอย่างเงียบๆ จ้องใบหน้ามั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน
เขาน้อยเงยหน้าขึ้น เห็นเป็นมั่วชิงเฉินตาโตฉ่ำเยิ้มคู่นั้นแวววาวขึ้นมาในทันใด วิ่งเข้ามาถลาเข้าอ้อมกอดนางถูไถขึ้นมา
มีคนนอกอยู่ มันไม่ได้พูด
มั่วชิงเฉินลูบหัวของเขาน้อยอย่างปลอบโยน จากนั้นยกตายิ้มให้ทั้งสองคนอย่างนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋าทั้งสอง นี่คืออสูรวิญญาณของข้า ต้องขออภัยด้วย”
พูดพลางพยักหน้าให้ทั้งสองคนอีกครั้ง แล้วพลิกตัวขึ้นหลังเขาน้อยกำลังจะจากไป
“ช้าก่อน” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น
มั่วชิงเฉินหยุดนิ่ง มองไปที่หญิงสาวด้วยหน้าไร้ความรู้สึก
“อสูรเขาเดียวนี่พวกเราเป็นคนพบ เจ้าบอกว่าเป็นอสูรวิญญาณของเจ้าก็ใช่หรือ?” เสียงหญิงสาวใสแจ๋ว กลับแผงไว้ด้วยการบังคับขู่เข็ญคนเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลงมา ไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่าการแสดงออกของเขาน้อยแล้ว หญิงสาวคนนี้พูดเช่นนี้ นางได้แต่เข้าใจว่าเป็นการตั้งใจท้าทาย
โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรตัดสินกันที่พลังความสามารถ นางจึงมองไปที่ชายหนุ่มอย่างใจเย็น ดูว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์คนนี้มีอะไรจะพูดหรือไม่
ชายหนุ่มดูเหมือนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เบือนหน้าว่า “น้องเล็ก อย่าเหลวไหล” พูดจบกอบหมัดใส่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋า น้องข้าอายุยังน้อย โปรดให้อภัยด้วย”
มั่วชิงเฉินส่องสายตาไป กวาดมองหญิงสาวปราดหนึ่ง อายุน้อยหรือ? หึๆ เกรงว่าอายุที่แท้จริง จะน้อยกว่าตนไม่กี่ปีกระมัง
ในเมื่อชายหนุ่มแสดงทีท่าอย่างชัดเจนแล้ว นางก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด จึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าทีหนึ่ง สองขาออกแรงหนีบส่วนท้องของเขาน้อยทีหนึ่ง เขาน้อยรับรู้ วิ่งทะยานขึ้นมา
“อวี้…” ด้วยความคับขัน มั่วชิงเฉินยังคงเห็นอสูรเขาเดียวเป็นม้า เรียกให้หยุด
เขาน้อยจำใจ กลับยังคงหยุดลงมาอย่างเชื่อฟัง
หญิงสาวเท้าเหยียบอาวุธเวทเหินหาวรูปร่างเหมือนตะกร้าดอกไม้ ขวางอยู่ข้างหน้า
“สหายเต๋าหมายความว่าเช่นไร?” มั่วชิงเฉินสีหน้ายังคงสงบ ในใจกลับโกรธเล็กน้อยแล้ว นางไม่อยากเกิดปัญหาไม่คาดคิด กลับไม่ใช่เพราะกลัวสองคนนี้ ยิ่งกว่านั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นคนหนึ่งเอะอะโวยวายต่อหน้าตน นึกว่าตนกินเจจริงๆ หรือ
“เจ้าทิ้งอสูรเขาเดียวไว้ เราก็จะปล่อยเจ้าไป!” หญิงสาวเชิดคางขึ้นสูง เอ่ยอย่างชัดเจน สีหน้าเอาแต่ใจเช่นนั้น ทำให้มั่วชิงเฉินนึกถึงหรวนหลิงซิ่วอย่างไม่คาดคิด
ว่าไปแล้วหรวนหลิงซิ่วนอกจากเจอเรื่องที่เกี่ยวกับเยี่ยเทียนหยวนจะดันทุรังเกินไป แต่ก็ไม่ทำเรื่องใช้กำลังแย่งชิงของผู้อื่นเช่นนี้ ธิดาเจ้าสำนักสำนักลั่วสยา ถึงที่สุดก็มีความเย่อหยิ่งของตนเอง
ส่วนหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ หากคาดไม่ผิดละก็ น่าจะมาจากตระกูลบำเพ็ญเพียร ถึงถูกปกป้องอย่างดีเช่นนี้ ดีถึงขนาดทำให้นางอยากดึงก้อนอิฐออกมาตบ
“อาศัยอะไร?” มั่วชิงเฉินถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ชายหนุ่มตามมาถึงแล้ว เอ่ยอย่างจำใจว่า “น้องเล็ก…”
หญิงสาวกระทืบเท้าว่า “พี่ใหญ่ คนเขาอยากได้อสูรเขาเดียวตัวนี้นี่นา ท่านรับปากว่าวันเกิดจะมอบของขวัญให้ข้านะ อ้าว นี่ก็มีของสำเร็จรูปอยู่แล้วมิใช่หรือ”
“อสูรเขาเดียวตัวนี้มีเจ้าของแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอดทนว่า เห็นชัดว่ารักเอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก
หญิงสาวไม่ยอมเลิกราว่า “พี่ใหญ่ มีเจ้าของแล้วยังเปลี่ยนได้นี่นา นางอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ ท่านก็ใช่ อีกอย่างยังมีข้านี่นา หรือว่าท่านยังกลัวนางหรืออย่างไร?”
ในที่สุดสีหน้าของชายหนุ่มก็บึ้งตึงขึ้นมาว่า “น้องเล็ก เจ้าเอาแต่ใจเกินไปแล้ว”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าเสียเวลา เมื่อตบหลังของเขาน้อย เขาน้อยก็ขยับตัวขึ้นมา กลับได้ยินเสียงของชายหนุ่มลอยมาว่า “สหายเต๋า โปรดหยุดก่อน”
“สหายเต๋า น้องเล็กพูดจาโผงผาง ขออย่าได้ถือสา” ชายหนุ่มคำพูดอ่อนโยน อมยิ้มมองมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วอย่างไม่ให้เห็นร่องรอยว่า “สหายเต๋ามีอะไรไม่สู้พูดมาตรงๆ เถอะ ข้ายังต้องรีบทำเวลา”
ชายหนุ่มชะงักทีหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “สหายเต๋า ไม่ทราบอสูรเขาเดียวของเจ้าตัวนี้ จะตัดใจได้หรือไม่?”
“ตัดใจ?” มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลง ถามอย่างใช้ความคิด
ชายหนุ่มรีบเอ่ยว่า “สหายเต๋าอย่าเข้าใจผิด ข้าน้อยหมายถึง เต็มใจใช้หินวิญญาณหรือหญ้าทิพย์สมุนไพรทิพย์แลกอสูรเขาเดียวตัวนี้ ไม่ทราบสหายเต๋ามีความเห็นเช่นไร?”
“สหายเต๋า อสูรเขาเดียวตัวนี้เซ็นต์พันธสัญญานายบ่าวกับข้าไว้แล้ว อยู่ด้วยกันมานานผูกพันกันลึกซึ้ง เรื่องตัดใจนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด สหายเต๋าเชิญตามสบายเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ พูดพลางหมุนตัวไป
“นี่ มีอะไรดีนักหรือไร เราใช้หินวิญญาณซื้อถือว่าเกรงใจพอแล้ว เจ้าอย่าทำดีด้วยแล้วไม่เห็นค่า!” หญิงสาวตะโกนเสียงดัง จากนั้นดึงแขนเสื้อของชายหนุ่ม ออดอ้อนว่า “พี่ใหญ่…”
มั่วชิงเฉินแม้แต่มองก็ขี้เกียจมองหญิงสาว เพียงแต่ดูว่าชายหนุ่มจะพูดเช่นไร ต่อให้สู้กัน ก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นคนหนึ่ง ก็เพียงแค่ยุ่มย่ามวุ่นวายเท่านั้น
ชายหนุ่มใบหน้าฉายแววลำบากใจขึ้นแวบหนึ่ง กลับทนการตื๊อของน้องสาวไม่ได้ จึงอ้าปากว่า “สหายเต๋า น้องสาวข้าถูกใจอสูรเขาเดียวของเจ้าตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ ข้าน้อยยอมให้ราคาสูง ขอสหายเต๋ายอมตัดใจด้วย…”
มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ขึ้นมาเบาๆ ว่า “สหายเต๋า ข้าก็ถูกใจน้องสาวเจ้าตั้งแต่แรกเห็นเช่นกัน ไม่ทราบสหายเต๋ายอมตัดใจได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มอึ้งเบาๆ สีหน้าอดบึ้งตึงขึ้นไม่ได้
“เจ้ายัยผู้หญิงบ้า…” ยังไม่สิ้นเสียงหญิงสาว ก็เห็นก้อนอิฐเป็นประกายสีทองระยิบระยับฟาดไปที่นาง
มั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้ว พลังความสามารถของทั้งสองห่างกันราวฟ้าดิน ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าหญิงสาวที่เมื่อครู่ยังคุยกันอย่างสงบจู่ๆ จะโมโหขึ้นมา ช่วงเวลาที่ตะลึงเพียงเท่านี้ ก้อนอิฐก้อนนั้นก็ฟาดใส่หน้าหญิงสาวแล้ว
หญิงสาวกรีดร้องเสียงหนึ่ง ตัวอ่อนยวบล้มลงไป
ชายหนุ่มหน้าถอดสี เข้าไปโอบตัวหญิงสาวไว้ แล้วมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ต่อให้สหายเต๋าไม่ยอมตัดใจ แล้วไยต้องลงมือกับคนระดับสร้างรากฐานระยะต้นอีกเล่า?”
พูดเช่นนี้ ก็หมายความว่ามั่วชิงเฉินเลือกเล่นงานคนอ่อนหัด
มั่วชิงเฉินเก็บก้อนอิฐกลับอย่างไม่ยินดียินร้าย แอบว่าไม่ได้เอาก้อนอิฐตบคนมานานแล้ว อย่างไรเสียก็อันนี้สะใจกว่าจริงๆ แล้วมองไปที่ชายหนุ่มอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “สหายเต๋าจำได้ว่าน้องสาวเจ้าอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น เกรงว่าน้องสาวเจ้าคงลืมไปนานแล้วกระมัง?”
ชายหนุ่มชะงัก น้องสาวท้าทายผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ไม่หยุดหย่อน เป็นฝ่ายไม่มีเหตุผลจริงๆ เพียงแต่อย่างไรเสียก็เป็นน้องเล็กที่รักเอ็นดูมาตลอด ถูกสั่งสอนต่อหน้าเขาเช่นนี้ เขาจะกล้ำกลืนฝืนทนได้อย่างไร
เห็นชายหนุ่มสีหน้าเย็นชาลง มั่วชิงเฉินไม่คิดมากอีกให้รู้แล้วรู้รอดไป ประจันหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณนางยังแลกมาแล้วเลย ยังจะต้องกลัวผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งหรือไร?
เห็นข้าเป็นสุนัขไม่มีเจ้าของจริงๆ หรือไร ใครเห็นใครก็เข้ามาเหยียบ?
คิดเช่นนี้พลาง ชักกระบี่ชิงมู่ออกมาช้าๆ ว่า “สหายเต๋า จะตีหรือจะเลิก พูดมาประโยคหนึ่งให้สะใจไปเลยดีกว่า ข้าไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้ามากถึงเพียงนั้น”
ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มองดูรอยก้อนอิฐที่ชัดเจนบนหน้าน้องสาวที่อยู่ในอ้อมกอด แล้วมองดูมั่วชิงเฉินที่อมยิ้มเยาะที่มุมปากอีก
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เขาน้อยก็ร้องเสียงยาวขึ้นเสียงหนึ่ง ขาหน้าสองข้างยกสูงขึ้น
ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้ง สุดท้ายกอบหมัดใส่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋า ล่วงเกินแล้ว”
พูดจบอุ้มหญิงสาวก้าวขึ้นอาวุธเวทเหินหาวหนีไปไกล
“เขาน้อย ดูไม่ออกว่าเจ้าก็หัวไวดีนี่นา” มั่วชิงเฉินใช้มือแปรงขนอ่อนนุ่มที่ขาวดุจหิมะของเขาน้อยทีหนึ่ง
แม้นางไม่กลัวการปะทะ กลับก็ไม่ใช่คนบ้าการต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นเพิ่งผ่านศึกอันตรายมาศึกหนึ่ง สามารถไม่ลงมือได้ก็สบายใจ
เขาน้อยแกว่งหางอย่างได้ใจทีหนึ่งว่า “เขาน้อยย่อมฉลาดมากอยู่แล้ว เจ้านาย ท่านมาแล้ว ช่างดีเหลือเกิน เขาน้อยกลัวมากเลยว่าจะเหลือตัวคนเดียว ต่อจากนี้พวกเราจะไปไหน?”
“ไปสำนักลั่วสยา เขาน้อย เจ้ามาอยู่ในถุงอสูรวิญญาณก่อนดีกว่า”
มั่วชิงเฉินเคยเดินผ่านเขาอู๋ฉยงครั้งหนึ่ง รู้ว่าที่นี่เกิดจากค่ายกลตามธรรมชาติ เข้าไปอยู่ข้างในแล้วหลงทางได้ง่าย จึงบินขึ้นบินลงเหมือนคราวที่แล้ว เวลาส่วนใหญ่อยู่กลางอากาศ บินอยู่เกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงออกไปได้
เท้าสัมผัสพื้นจริง มองภูเขาเขียวน้ำใสที่อยู่ไกลออกไป มั่วชิงเฉินอดถอนใจยาวเสียงหนึ่งไม่ได้ ดินแดนเทียนหยวน ในที่สุดตนก็กลับมาแล้ว
ในใจอารมณ์พลุ่งพล่าน แต่ก็อดมองเขาอู๋ฉยงที่อยู่ข้างหลังอีกปราดหนึ่งไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าบัดนี้อาจารย์เป็นเช่นไรบ้างแล้ว ยังมีอาจารย์อาเยี่ยอีก ได้ตามอีกาไฟย้อนกลับสำนักลั่วสยาหรือไม่นะ?
นึกถึงตรงนี้ จึงรุดไปตามทิศทางที่สำนักลั่วสยาตั้งอยู่อย่างควบคุมตนเองไม่ได้
ร่อนลงหน้าประตูสำนักของสำนักลั่วสยา มองดูประตูสำนักที่เรียบง่าย มั่วชิงเฉินลังเลเล็กน้อย จากนั้นซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้ แล้วยืดตัวตรงเดินเข้าไป
ยื่นป้ายประจำตัวข้ามไป ผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าประตูดูแล้วดูอีก อุทานว่า “มั่วชิงเฉิน? ท่าน ท่านคือมั่วชิงเฉินผู้นั้น?”
ฟังพูดเข้าสิ หรือว่ายังมีมั่วชิงเฉินหลายคนหรืออย่างไร?
แล้วก็เห็นมือของผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าประตูสั่นเทาขึ้นมาว่า “ท่านคือมั่วชิงเฉินแห่งพรรคเหยากวง?”
“ถูกต้อง” มั่วชิงเฉินรู้สึกตลกเล็กน้อย
แล้วก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นเอ่ยด้วยสีหน้ารีบร้อนว่า “อาจารย์อา ท่าน ท่านรอก่อน ข้าจะรีบไปรายงาน”