พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 312 หิมะวันแดดจ้า
“วิธีอันใด?” ทุกคนถามขึ้นพร้อมกัน
ปลายนิ้วมั่วชิงเฉินปาดผ่านกำแพงภูเขาช้าๆ เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ส่งข่าว”
“ส่งข่าว?” ทุกคนต่างมองหน้ากันปราดหนึ่ง นี่มันวิธีอะไรกัน?
มั่วชิงเฉินยิ้มระทมว่า “ที่จริงนี่นับไม่ได้ว่าเป็นวิธี หากแต่เราจำเป็นต้องทุบหม้อข้าวจมเรือ ฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้!”
“หัวหน้ากลุ่ม เราควรทำเช่นไร?” หลิวต้าฝานถามขึ้น น้ำเสียงหนักแน่นแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนและความเชื่อถือที่มีต่อมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินมองแววตาเชื่อมั่นที่ไม่ปิดบังของทุกคนชาวเหยากวง ในใจทั้งอบอุ่นทั้งเศร้าใจ ไม่รู้ว่าเหล่าศิษย์ร่วมสำนักที่อยู่ด้วยกันมาเช้าเย็น สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานี้ ถึงเวลาจะเหลือรอดกี่คน
“หัวหน้ากลุ่ม เจ้าก็พูดเถอะ พวกเราฟังเจ้า” ซุนอาหนิวเห็นมั่วชิงเฉินไม่พูดเสียที นึกว่ากำลังลำบากใจ จึงตบอกว่า
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ถึงเอ่ยว่า “สถานการณ์ทุกคนรู้กันแล้ว เมื่อไรที่อสูรปีศาจฝูงนั้นทำสำเร็จ ผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิดได้ เมื่อครู่ข้าไปสำรวจมา พบว่าในอสูรปีศาจฝูงนั้นมีอสูรปีศาจขั้นหกสองตัว อสูรปีศาจขั้นห้าสองตัว ที่เหลือเป็นขั้นสามสี่ สามารถแน่ใจได้ว่า ด้วยกำลังของเราในยามนี้ รับมือไม่ไหวเด็ดขาด ดังนั้นวิธีเพียงหนึ่งเดียว ก็คือแตกขบวนออก ต่างคนต่างหนี ไปส่งข่าวให้พันธมิตรผู้บำเพ็ญเพียรที่ต่อต้านวิกฤตอสูร”
ทุกคนนิ่งเงียบขึ้นมา แตกขบวนออก นั่นหมายถึงต่อให้หนีออกจากที่นี่ ก็ต้องเผชิญหน้ากับอสูรปีศาจนับพันนับหมื่นโดยลำพัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างไรภายใต้การไล่โจมตีของอสูรปีศาจขั้นหกสองตัว และอสูรปีศาจขั้นห้าสองตัว
“ข้าน้อยเห็นด้วยกับวิธีการของสหายเต๋ามั่ว ต่อหน้าพลังความสามารถที่แตกต่างกันมาก พวกเราคนกลุ่มหนึ่งและคนคนหนึ่งแทบไม่มีอะไรแตกต่าง ตรงกันข้าม พวกเรามีสิบสี่คน หากแยกกันหนีละก็ อสูรปีศาจขั้นสูงสี่ตัวนั้นไล่ฆ่าได้เพียงสี่คนในนี้ ถึงสุดท้ายคนที่หนีออกไปได้ไม่แน่ยังอาจมากหน่อย” จู่ๆ โจวเหิงเอ่ยปากขึ้น
พูดถึงที่สุด นี่ก็คือการพนันด้วยชีวิต ของเดิมพันเพียงหนึ่งเดียวของทุกคน ก็คือโชค!
มีความหวังเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าสิ้นหวัง เมื่อทุกคนลองคิดดูก็เข้าใจเหตุผลนี้ ต่างพยักหน้า
“สหายเต๋าโจว เจ้ามีแผนที่ของทางนี้หรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามขึ้น
โจวเหิงพยักหน้าว่า “มี”
“เช่นนั้นก็ดี รบกวนเจ้าคัดลอกแผนที่ออกมา แจกให้คนละใบ ระวัง โดยเฉพาะสถานที่บางที่ที่อาจมีพันธมิตรผู้บำเพ็ญเพียร ต้องระบุจุดสำคัญออกมา” มั่วชิงเฉินเอ่ย
โจวเหิงพยักหน้าว่า “ได้ ข้าจะทำเดี๋ยวนี้”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า มองไปที่ทุกคนว่า “ทุกท่าน เรารักษาเทือกเขาหลางหยานี้มาสามปี บัดนี้ในที่สุดก็รักษาต่อไปไม่ได้แล้ว ทว่าทุกคนไม่ต้องท้อใจเกินไป ต่อให้พวกเราหนีออกจากที่นี่ อสูรปีศาจพวกนั้นก็ไม่มีเวลาสนใจคนธรรมดาที่เมืองหลางหยาแล้ว พวกมันต้องเร่งทำลายค่ายกลพิชิตมังกรอย่างแน่นอน ในพวกเราหากมีคนหนีรอดออกไป ส่งข่าวได้ทันท่วงที ย่อมต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงมาจัดการพวกมัน คนธรรมดาที่เมืองหลางหยาก็จะอยู่รอดปลอดภัย หากไม่มีคนหนีรอดไปได้…”
มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดต่อ ทุกคนกลับเข้าใจหมดทุกอย่าง หากไม่มีคนบุกออกไปส่งข่าว เช่นนั้นอย่าว่าแต่คนธรรมดาที่เมืองหลางหยาเลย แม้แต่สิ่งมีชีวิตภายในรัศมีหมื่นลี้ล้วนต้องถูกทำลายล้าง
ไม่ว่าการปักหลักในวันนั้น หรือการจากไปในยามนี้ พวกเขาล้วนไม่ได้ทำผิดต่อคำสั่งของสำนัก
รอโจวเหิงแจกม้วนคัมภีร์หยกที่บันทึกแผนที่ไว้ให้ทุกคน สายตาของทุกคนมองไปที่มั่วชิงเฉินอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินรู้สึกคอแห้งผาก พูดไม่ค่อยออก ออกแรงอ้าปากว่า “ทุกท่าน ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็ควรโดยเร็ว พวกเราออกจากที่นี่กันเถอะ”
พูดจบหยิบระเบิดสะท้านฟ้าออกจากำไลเก็บวัตถุ แจกให้ทุกคน
โจวเหิงรับระเบิดสะท้านฟ้ามา ลังเลครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นว่า “สหายเต๋ามั่ว เขาพิชิตเซียนมีพลังทำให้อสูรปีศาจสับสน ถึงเวลาข้าเป่าเขาพิชิตเซียน น่าจะทำให้อสูรปีศาจขั้นสาม ขั้นสี่พวกนั้นสับสนได้ช่วงสั้นๆ แม้แต่อสูรปีศาจขั้นห้า ขั้นหก ไม่แน่ก็อาจเลือนรางชั่วครู่” พูดถึงตรงนี้หยุดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่อว่า “สหายเต๋าทุกท่านก็หยิบฉวยโอกาสนั้นให้มั่นหนีเอาตัวรอดเถอะ”
“สหายเต๋าโจว…” ทุกคนซาบซึ้ง
ใครไม่รู้บ้าง ว่าเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้นเวลาชั่วพริบตาก็สามารถเปลี่ยนความเป็นความตายของคนคนหนึ่งได้ โจวเหิงทำเช่นนี้ นับได้ว่าสละตนเองเพื่อนคนอื่นโดยสิ้นเชิงแล้ว
มั่วชิงเฉินสะเทือนใจ ยากจะอธิบายเป็นคำพูด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในใจผู้บำเพ็ญเพียร ก็คือโลกที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม กระทั่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรและผู้บำเพ็ญเพียรก็ยิ่งเย็นชา เพื่อผลประโยชน์แล้วทำได้ไม่เลือกวิธีการ
ศึกเต๋ามาร ก็แสดงความโหดร้ายของนิสัยมนุษย์เช่นนี้ออกมาอย่างเต็มที่
ทว่าเมื่อต่างเผ่าเข้ารุกราน ก็มักจะมีคนอยู่ส่วนหนึ่ง ต่อให้ปกติดูแล้วไม่มีอะไรโดดเด่น กลับแสดงออกให้เห็นถึงแสงสว่างที่เจิดจ้าที่สุดของนิสัยมนุษย์ในชั่วพริบตานั้น
นึกถึงตรงนี้ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งเขี่ยสายพิณในใจของมั่วชิงเฉิน เสียงติ๊งดังขึ้นเสียงหนึ่ง
ใช่แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรก้าวขึ้นหนทางแห่งอายุยืนยาวไปทีละก้าว กลับลืมไปนานแล้ว ว่าพวกเขาบำเพ็ญเพียรอยู่นะ ไม่ใช่เข้าสู่ทางมาร!
ยินดี โกรธเกรี้ยว โศกเศร้า กลัว รัก ชัง ตัณหา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ฤทธิ์ อารมณ์ทั้งเจ็ดกิเลสทั้งหกล้วนคือการยึดติด ข้ามจักเป็นมาร
บำเพ็ญเพียร บำเพ็ญเพียร ก็คือต้องกำจัดอารมณ์ทั้งเจ็ดกิเลสทั้งหก บำเพ็ญเพียรให้ได้ทางไร้รักหรือ?
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างสงบในใจมั่วชิงเฉิน “ไม่ถูก หากบอกว่าการบำเพ็ญเพียรก็คือดับสิ้นอารมณ์ทั้งเจ็ดกิเลสทั้งหก ละทิ้งความยึดติดทุกอย่าง เช่นนั้นการบำเพ็ญเพียรเอง ก็คือความยึดติดที่รุนแรงที่สุดน่ะสิ เช่นนั้นควรทำอย่างไรอีกล่ะ?”
ใจมั่วชิงเฉินค่อยๆ กระจ่างขึ้นมา เต๋าของนางคืออะไรกันแน่ บางทีด้วยเขตแดนตบะในยามนี้ยังยากจะอธิบายให้ชัดเจนได้ ทว่ามีจุดหนึ่งที่ในที่สุดก็ยืนยันได้ สิ่งที่นางปรารถนาไม่ใช่ทางไร้รักอย่าเด็ดขาด!
โดยไม่รู้ตัว สภาพจิตใจของมั่วชิงเฉินก็สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว รากฐานที่ไม่มั่นคง การเสื่อมสภาพของรากฐานที่เกิดจากถูกบังคับให้เพิ่มตบะ ถึงได้ทุเลาลงเล็กน้อย
แน่นอนเรื่องพวกนี้คนอื่นย่อมไม่รู้เรื่อง กระทั่งตัวมั่วชิงเฉินเองก็ไม่ได้สังเกต หากมีคนละเอียดอ่อนก็จะพบด้วยความตกใจว่า หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้หว่างคิ้วของหัวหน้ากลุ่มผู้นี้กลับผ่อนคลายลงกว่าแต่ก่อน ทำให้คนมองแล้วรู้สึกดุจดั่งอาบลมฤดูใบไม้ผลิ
จนกระทั่งแววตามั่วชิงเฉินกลับมากระจ่างใสเหมือนเดิม โจวเหิงถึงหัวเราะว่า “ทุกท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ใต้รังที่พลิกคว่ำไข่จะอยู่สมบูรณ์ได้อย่างไร”
ทุกคนสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าช้าๆ
เนี่ยชิงอีเดินไปถึงปากถ้ำ นิ้วมือร่ายรำกลางอากาศดุจงูวิญญาณ แสงวิญญาณเป็นสายๆ ยิงเข้าจานค่ายกลที่ลอยอยู่กลางหาว
จานค่ายกลเริ่มหมุนช้าๆ สุดท้ายเกิดเป็นลมวนขึ้น ธงเล็กที่ปักอยู่บนพื้นบินเข้าในลมวนทีละผืนๆ
รอถึงธงผืนสุดท้ายบินขึ้น เนี่ยชิงอียกมือขึ้น จานค่ายกลตกลงในมืออย่างเร็ว อับแสงลง
ปกปักรักษามาสามปี ในที่สุดวันนี้ก็ไม่ต้องการแล้ว
เนี่ยชิงอีถอนใจในใจเบาๆ หนึ่งที เก็บจานค่ายกลขึ้น
“ทุกท่าน รักษาตัวด้วย” สุดท้ายมั่วชิงเฉินมองทุกคนปราดหนึ่ง แล้วบุกออกไปก่อน
แสงวิญญาณสิบสี่สายสว่างขึ้นทันที ส่องจนท้องฟ้าสว่างไปหมด
อสูรปีศาจพวกนั้นเงยหน้าขึ้นโดยพลัน
“แย่แล้ว รีบไปดักฆ่า อย่าให้เหลือแม้คนเดียว!” เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวของแมงมุมไฟพิษดังขึ้น จากนั้นใต้เท้าปรากฏเมฆไฟสีมรกตก้อนหนึ่ง ไล่ตามมั่วชิงเฉินที่ปรากฏขึ้นเป็นคนแรกไป
อินทรียักษ์ปีกทองและอสูรปีศาจขั้นห้าอีกสองตัวบินขึ้นพร้อมกัน
อสูรปีศาจไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ที่ถึงระดับสร้างรากฐานก็สามารถเหยียบอาวุธเวทเหินหาวได้ เพราะพวกมันไม่อาวุธเวท ได้แต่อาศัยร่างกายตนเอง
นอกจากเผ่าปักษา เผ่าอสูรต้องถึงขั้นหา หรือก็คือเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย ถึงมีความสามารถในการเหาะเหิน
ทว่าสวรรค์ก็นับว่าชดเชยให้พวกมัน พวกมันมาถึงขั้นห้าก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรกลับมีเพียงถึงระดับก่อกำเนิดเท่านั้นถึงทำเช่นนี้ได้
อสูรปีศาจสี่ตัวนี้หลักแหลมยิ่งนัก แมงมุมไฟพิษไล่ตามมั่วชิงเฉิน อินทรียักษ์ปีกทองไล่ตามหลัวเตี๋ยจวิน อสูรปีศาจอีกสองตัวที่เหลือตัวหนึ่งไล่ตามเนี่ยชิงอี ตัวหนึ่งไล่ตามโจวเหิง ไม่คิดว่าก็คือสี่คนที่ตบะสูงที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้!
กำจัดศัตรูที่เป็นภัยคุกคามที่สุด คือสัญชาตญาณของอสูรปีศาจ!
“อูๆ…” เสียงแตรเขาที่ไพเราะและโหยหวนดังขึ้น
เหล่าอสูรปีศาจชะงักงัน
แม้แต่อสูรปีศาจที่พลังแข็งแกร่งที่สุดสี่ตัวนั้นก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ
และก็ในชั่วพริบตาที่เหม่อลอยนี้ มั่วชิงเฉินอัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งหนีออกไปไกลหลายร้อยลี้แล้ว
“น่ารังเกียจ!” แมงมุมไฟพิษกรีดร้อง
“จูจู ข้าไล่เอง นางหนูนั่นยกให้เจ้า!” ไม่คิดว่าอินทรียักษ์ปีกทองจะทิ้งหลัวเตี๋ยจวิน แล้วหันหลังไล่ตามมั่วชิงเฉินไป
อินทรียักษ์ปีกทองเดิมทีก็เป็นเจ้าปักษาอยู่แล้ว ความเร็วในการบินย่อมไม่ใช่สิ่งที่แมงมุมไฟพิษจะเทียบได้ เพียงชั่วครู่ก็ไล่ตามขึ้นไปแล้ว
มั่วชิงเฉินไม่กล้าหันหลัง เร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งทะยานไปอย่างไม่คิดชีวิต
ไม่ไหวแล้ว!
ในเสียงลมพัดหวีด มั่วชิงเฉินกระทั่งสังเกตเห็นอินทรียักษ์ปีกทองยื่นกรงเล็บคมกริบไปที่ด้านหลังหัวใจนางดุจดั่งเคียวของยมทูต
ไหมเกล็ดน้ำแข็งเลี้ยวกะทันหันกลางอากาศ แล้วบินตรงขึ้นบนไป
อินทรียักษ์ปีกทองตะลึงเล็กน้อย กลับพุ่งขึ้นบนไปอย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก
ชั่วเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนี้เอง มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น โยนระเบิดสะท้านฟ้าหลายร้อยลูกออกไป
“ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม”
มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงว่า ระเบิดสะท้านฟ้าหลายร้อยลูกระเบิดพร้อมกัน จะเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้
อินทรียักษ์ปีกทองตัวนั้น ไม่ตายก็น่าจะพิการแล้วกระมัง ระเบิดสะท้านฟ้าหลายร้อยลูก อานุภาพเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระเบิดตัวเองแล้วแน่นอน
นางทันเพียงคิดเท่านี้ แล้วก็เห็นท้องฟ้าสีครามที่โผล่ออกมาเพียงเล็กน้อยท่ามกลางควันหนาจู่ๆ ก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง ทับลงมาเหมือนฟ้าถล่ม
มั่วชิงเฉินหน้ามืด แล้วหมดสติไป
“ติ๋ง ติ๋ง”
เสียงน้ำหยดดุจดั่งมีดุจดั่งไม่มีลอยมา มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นอย่างเปลืองแรง
แสงอาทิตย์ที่แสบตาทำให้นางตาเจ็บ จึงรีบหลับลงอีก ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยลืมขึ้นใหม่ เริ่มพิจารณาสภาพแวดล้อม
เมื่อพิจารณาแล้วก็อดตกตะลึงไม่ได้ ไม่คิดว่านางจะอยู่ในทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง น้ำพุแม้ถูกมุกกันน้ำกันไว้ด้านนอก กลับยังคงสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นเสียดกระดูก
ทอดสายตามองไป หิมะปกคลุมไปทั่วพื้นดินแม่น้ำภูเขา ต้นไม้ทั้งหมดประดับไปด้วยหิมะ เป็นประกายระยิบระยับภายใต้การส่องของแสงอาทิตย์ สว่างสดใส ดุจต้นไม้ทิพย์ที่งดงามในแดนเซียน
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้น พบว่าภูเขาหิมะลูกหนึ่งลอยอยู่กลางหาวเหนือศีรษะ เกล็ดหิมะดุจขนห่านโปรยปรายลง เสียงติ๋งๆ ที่ได้ยินก็คือหิมะที่ละลายไหลย้อยลงมาตามน้ำแข็งย้อยที่ห้อยลงมาจากภูเขาหิมะที่ลอยอยู่ หยดลงทะเลสาบเบื้องหน้าพอดี
ระหว่างที่ดวงตาพร่าพราย มีเสียงหยอกล้อกันดังมาแต่ไกล
“คิกๆ วันนี้มีของดีกินแล้ว” เสียงนิ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น
เสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งเอ่ยว่า “จิ่วเย่ว์ เจ้าตะกละถึงเพียงนี้ ไยไม่เห็นอ้วนเลย?”
“ช่วยไม่ได้ เกิดมาเป็นเช่นนี้นี่นา”
“เอาล่ะ อย่าชมตนเองอีกเลย รีบล้างของอร่อยนี่ในน้ำพุเย็นให้สะอาดหน่อย รีบกินลงท้องถึงสบายใจ หากถูกคุณหนูพบเข้า ก็อดกินแล้ว…”
มั่วชิงเฉินตกใจ รีบจมลงทะเลสาบ กลับแอบปล่อยจิตตระหนักสายหนึ่งออกสำรวจ
แล้วก็เห็นสาวน้อยเปิดให้เห็นเอวสะโอดสะองสองคนเดินมาจากที่ไกลๆ ที่พวกนางช่วยกันแบกมาคือคนคนหนึ่ง
“เหตุใดถึงเป็นนางไปได้!” มั่วชิงเฉินตะลึง