พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 321 ไปจากเขากว่างหาน
“สหายเต๋าหลัว…ความรู้กว้างไกลนัก” มั่วชิงเฉินแววตาสั่นเล็กน้อย นางรู้จริงๆ ด้วย
หลัวเตี๋ยจวินรอยยิ้มนิ่งเรียบยิ่งนักว่า “สหายเต๋ามั่วไม่วางใจใช่หรือไม่?” มุมปากมีรอยยิ้มเยาะจางๆ
รอยยิ้มนี้ทำให้มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก นึกถึงคนผู้หนึ่ง
“สหายเต๋าหลัวพูดได้ถูกต้อง เพลิงแก้วใจกระจ่างเป็นความลับที่ข้าเก็บซ่อนเสมอมา มีคนรู้แล้ว ก็ยากจะวางใจได้จริงๆ” มั่วชิงเฉินสารภาพ
หลัวเตี๋ยจวินเป็นหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียว อีกทั้งทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี หากนางฝืนใจปฏิเสธ กลับจะทำให้เสียความรู้สึก
“เช่นนั้นสหายเต๋ามั่วคิดจะทำเช่นไร?” หลัวเตี๋ยจวินซักไซ้ ไม่คิดว่าน้ำเสียงจะบีบคั้นคนเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วยาวว่า “ไม่ทำเช่นไร”
หลัวเตี๋ยจวินเบิกตาที่สวยงามขึ้นเล็กน้อยว่า เจ้าไม่ฆ่าคนปิดปากหรือ?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ว่า “สหายเต๋าหลัว ไยเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?”
“หรือว่าไม่ใช่…” หลัวเตี๋ยจวินพึมพำ สีหน้ายากแยกแยะความรู้สึก
“หากมีคนคนหนึ่งรู้ความลับของข้า ข้าก็ต้องฆ่าคนหนึ่ง มีคนหนึ่งพันคนรู้ความลับของข้า ข้าก็ฆ่าหนึ่งพัน เช่นนั้นข้าก็ไม่ใช่บำเพ็ญเพียรแล้ว หากแต่เข้าสู่ทางมารแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยเนิบนาบ ตัวที่ยืดตรงแสดงออกถึงความทรนง
“สหายเต๋ามั่ว…”
มั่วชิงเฉินหันกลับมา ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้ายินดีรักษาความลับให้ข้าหรือไม่?”
หลัวเตี๋ยจวินสีหน้ายังคงเย็นชาว่า “เจ้าเชื่อคนง่ายถึงเพียงนี้?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะแล้ว “ข้าไม่ใช่เชื่อคนง่าย หากแต่…เชื่อใจเจ้า”
หลัวเตี๋ยจวินอึ้ง ดูเหมือนไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะพูดเช่นนี้
นางเห็นจนชินแล้วอันว่าสหายกระทั่งคู่บำเพ็ญเพียรคู่เพื่อผลประโยชน์แล้วยามก่อนยังสนิทสนมชิดเชื้อ ยามต่อมาก็พลิกหน้าไม่รู้จักกัน หันอาวุธเข้าห้ำหั่นกัน เริ่มแรกที่มั่วชิงเฉินได้ยินนางพูด ‘เพลิงแก้วใจกระจ่าง’ ออกมาการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดยิบของสีหน้าหนีตาของนางไม่พ้น เดิมทีนางนึกว่าจะไม่มีวันเวลาที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเช่นนั้นอีกแล้ว
ต่อให้ในใจรู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูกขึ้นแวบหนึ่ง นางกลับเตรียมใจสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งไว้แล้ว
นางหลัวเตี๋ยจวิน ต่อให้ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ก็ไม่เคยกลัวการสู้รบมาก่อน
ทว่า นางกลับบอกว่าเชื่อใจนาง
“เพราะอะไร?” หลัวเตี๋ยจวินถามอย่างงงงัน
มั่วชิงเฉินรอยยิ้มสะอาดสดใสว่า “สาวงามเช่นนี้ ในเมื่อทำใจให้ฆ่าไม่ได้ ก็ได้แต่เลือกเชื่อใจน่ะสิ”
เพราะอะไร? มั่วชิงเฉินก็ถามใจตนเองเช่นกัน
นางไม่ยอมเดินขึ้นทางใหญ่ไร้รัก ไม่ยอมให้ถนนสายนั้นยิ่งเดินยิ่งแคบ ยิ่งเดินยิ่งเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย นางหวังว่าตลอดทางที่มุ่งไปข้างหน้าจะมีคนในครอบครัว มีสหาย มีพี่น้อง หากโชคดี ยังมีคนรัก
นางอยากมีหลัวเตี๋ยจวินผู้นี้เป็นสหาย ทว่านางจะไม่พูดออกไป สหายที่แท้จริงย่อมเข้าใจ
หลัวเตี๋ยจวินจ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กดมือไว้ที่หน้าอกว่า “ข้าหลัวเตี๋ยจวินขอสาบานต่อจิตมาร จะไม่เปิดเผยเรื่องที่มั่วชิงเฉินมีเพลิงแก้วใจกระจ่างเด็ดขาดไม่ว่าต่อใครก็ตาม หากผิดคำสาบาน ก็ขอให้ข้าวิญญาณแตกดับ ไม่ได้เข้าวัฏสงสาร!”
มั่วชิงเฉินตะลึงว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าพูดเช่นนี้จะรุนแรงเกินไปแล้ว”
หลัวเตี๋ยจวินเม้มปากขึ้นว่า “ข้าไม่มีทางผิดคำสาบาน ต่อให้ผลลัพธ์รุนแรงกว่านี้จะเป็นไรไป?”
กระแสความอุ่นเอ่อขึ้นในใจมั่วชิงเฉิน กลับรู้สึกว่าขืนพูดวนเวียนหัวข้อนี้ต่อไปจะเสแสร้งเกินไป จึงแย้มยิ้มว่า “สหายเต๋าหลัว รีบเอาบัวหิมะจันทราออกมา ของวิเศษเช่นนี้ เจ้าจะกินคนเดียวไม่ได้นะ”
หลัวเตี๋ยจวินยิ้มแล้วยิ้มอีก เปิดกล่องหยกในมือออก
ดอกบัวสีฟ้าน้ำแข็งติดกับก้านนอนอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องมา เป็นประกายระยิบระยับ
“ช่างสวยจริงๆ” มั่วชิงเฉินทอดถอนใจจากใจจริง
หลัวเตี๋ยจวินดันกล่องหยกไปที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋ามั่ว เด็ดบัวหิมะจันทรามาได้ ส่วนใหญ่เป็นความดีความชอบของเจ้า เจ้าว่าควรแบ่งปันเช่นไร?”
สายตามั่วชิงเฉินวนเวียนอยู่บนบัวหิมะจันทรา จากนั้นยื่นมือลูบผ่านดอกบัวทั้งดอกเบาๆ ว่า “สหายเต๋าหลัว ดอกบัวหิมะจันทราเป็นของเจ้า ก้านเป็นของข้า เจ้าว่าเป็นเช่นไร?”
หลัวเตี๋ยจวินตกตะลึงว่า “สหายเต๋ามั่ว นี่จะได้อย่างไรกัน! ดอกของบัวหิมะจันทราล้ำค่ากว่าก้านมาก!”
มั่วชิงเฉินย่อมรู้ว่าดอกของบัวหิมะจันทราล้ำค่ากว่าก้าน จึงบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “สหายเต๋าหลัว ที่จริงสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของบัวหิมะจันทราคือเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่อยู่บนเกสรดอกไม้ ข้ากำหราบเปลวน้ำแข็งเหมันต์แล้ว บัวหิมะจันทรานี่เอาก้านไปก็เพียงพอแล้ว”
หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้ามีความสามารถกำหราบเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นโอกาสวาสนาของเจ้า ต่อให้เจ้าไม่กำหราบ ข้าก็ไม่อาจกำหราบได้ นี่ไม่อาจนำมาพูดรวมกันได้”
ที่มั่วชิงเฉินชอบก็คือข้อนี้ของหลัวเตี๋ยจวิน แม้จะเย็นชาเย่อหยิ่งไปบ้าง กลับนิสัยสูงส่งสะอาด ไม่ยอมเอาเปรียบผู้อื่นแม้แต่น้อย
“สหายเต๋าหลัวเจ้าก็อย่าบ่ายเบี่ยงเลย ดอกของบัวหิมะจันทราแม้ล้ำค่า ข้าเอากลับไปกลับประโยชน์ไม่มาก กลับเป็นก้านของมันที่มีประโยชน์ต่อข้ามาก ต่างคนต่างเอาสิ่งที่ต้องการไป ทุกคนดีใจ” น้ำเสียงมั่วชิงเฉินเด็ดขาด
หลัวเตี๋ยจวินลังเลครู่หนึ่ง เก็บดอกของบัวหิมะจันทราขึ้นเงียบๆ แล้วดันก้านสีเขียวกรกตให้มั่วชิงเฉิน ที่ดันมาพร้อมกันยังมีร่มไผ่เหมันต์ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็เก็บดอกไว้แล้ว ทว่าร่มไผ่เหมันต์นี่ขอให้สหายเต๋ามั่วเก็บไว้ มิเช่นนั้นดอกไม้นี้ข้าก็ไม่เอาแล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ้มแล้วยิ้มอีก ยื่นมือเก็บก้านบัวหิมะและร่มไผ่เหมันต์ขึ้น
แบ่งของกันเสร็จ ทั้งสองคนต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ก็คือจะจากไปได้อย่างไร
ออกไปสำรวจที่ทะเลสาบเล็กทุกวันกลับหาทางออกไม่พบ ตามเวลาที่ผ่านไปทีละวันๆ ทั้งสองคนรู้ว่าเกรงว่ายากจะเลี่ยงศึกร้ายแรงแล้ว
“สหายเต๋ามั่ว เจ้าดู ที่นี่น่าจะเป็นทางออก” หลัวเตี๋ยจวินชี้ไปที่ที่ขาวโพลนที่หนึ่งว่า
พวกนางมาถึงขอบของเขากว่างหานแล้ว พบว่าที่นี่หมอกขาวโพลนไปหมดมองไม่เห็นข้างหน้า ยกเท้าเดินไป กลับพบว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางทางไปอยู่
มั่วชิงเฉินสีหน้าเคร่งเครียด ยื่นมือแตะกำแพงที่มองไม่เห็นนั้น
“หากพี่รองของจิ่วเย่ว์มา ต้องปรากฏตัวขึ้นที่นี่เป็นแน่ สหายเต๋ามั่ว เจ้าห่วงว่าเขาจะพาคนมาใช่หรือไม่?” หลัวเตี๋ยจวินเห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าจริงจังจึงถามขึ้น
พี่รองของจิ่วเย่ว์เดิมก็เป็นอสูรปีศาจยอดขั้นห้าแล้ว หากยังมีคนตามมาด้วย เช่นนั้นสถานการณ์ของพวกนางก็น่าเป็นห่วงแล้ว
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะช้าๆ ว่า “อีกาไฟอสูรวิญญาณของข้าอยู่ขั้นห้า หากสู้กันขึ้นมา อย่างน้อยสามารถดึงปีศาจจิ้งจอกขั้นห้าได้ตัวหนึ่ง ในเผ่าปีศาจ อสูรปีศาจขั้นห้าก็ไม่ใช่ว่าจะมีเกลื่อนไปหมด พี่รองของจิ่วเย่ว์รับคำสั่งหัวหน้าเผ่ามาพาจิ่วเย่ว์กับชีซีไป อย่างมากก็มีปีศาจจิ้งจอกมาสองตัว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋ามั่วยังกังวลสิ่งใดอีก?” หลัวเตี๋ยจวินสงสัยเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินลูบคลำกำแพงที่มองไม่เห็นนั้นทีละนิดๆ ว่า “ข้าห่วงว่าออกจากนี้แล้วจะทำเช่นไรต่างหาก ดินแดนทุรกันดารอยู่ทางทิศเหนือของดินแดนเทียนหยวน ต่อให้พวกเราหนีออกจากที่นี่ ในถิ่นของเผ่าปีศาจ เกรงว่าจะขยับตัวลำบาก”
หลัวเตี๋ยจวนก็สีหน้าดูไม่ดีขึ้นมาว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้อง ดินแดนทุรกันดาร แดนไท่ไป๋ถิ่นต่างเผ่าพวกนี้ อย่าว่าแต่เราเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไม่กล้าเข้าไปลึก อสูรปีศาจที่จำแลงกายแล้วพวกนั้น ไม่มีทางยอมให้มนุษย์ปรากฏตัวขึ้นที่นี่หรอก”
“ก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ เราออกจากเขากว่างหานไป สิ่งที่ต้องเจอแทบจะเป็นทางตาย” มั่วชิงเฉินเอ่ย
หลัวเตี๋ยจวินกัดฟันว่า “อยู่ก็เป็นทางตาย ออกไปก็เป็นทางตาย หรือว่าชะตาลิขิตไว้เช่นนี้?”
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นทันทีว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้ากล้าพนันกับข้าสักครั้งหรือไม่?”
“พนันสักครั้ง? พนันเช่นไร?” ในตาหลัวเตี๋ยจวินมีประกาย
“สหายเต๋าหลัว เจ้ายังจำได้ว่าเรามาเช่นไรใช่หรือไม่?”
หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้า
มั่วชิงเฉินเอ่ยต่อว่า “วันนั้นข้าถูกอินทรียักษ์ปีกทองไล่ฆ่า เพื่อหนีเอาชีวิตรอด จึงโยนระเบิดสะท้านฟ้าหลายร้อยลูกออกไปจนหมด ไม่คิดว่าการระเบิดที่รุนแรงเปิดประตูห้วงมิติออก เราสองคนถึงถูกเคลื่อนย้ายมาถึงที่นี่”
หลัวเตี๋ยจวินตาเป็นประกายขึ้นมาว่า “สหายเต๋ามั่ว ความหมายของเจ้าคือ?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “ในมือข้ายังมีระเบิดสะท้านฟ้าหลายร้อยลูก หากทำให้ระเบิดทั้งหมดใต้ทะเลสาบ ไม่แน่อาจสามารถระเบิดซอกห้วงมิติหรือกระตุ้นให้เกิดกระแสอากาศวนได้ เคลื่อนย้ายเราออกไป เพียงแต่การสุ่มเคลื่อนย้ายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเราสองคนจะตกไปอยู่ที่ไหน ดีไม่ดีบางทีอาจตกลงไปโดยตรงในรังอสูรปีศาจจำแลงสักตัว…”
หลัวเตี๋ยจวินหัวเราะขึ้นมาว่า “สหายเต๋ามั่ว ข้ารู้สึกว่าโชคตนเอง ไม่เลวมาตลอด”
มั่วชิงเฉินหัวเราะเช่นเดียวกันว่า “เช่นนั้นเรามาลองดู?”
“ลองดู” หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้าอย่างแน่ใจ
ที่พูดว่าโชคไม่เลว นั่นเป็นเพียงคำพูดล้อเล่นเท่านั้น
ทว่ารู้ๆ อยู่ว่าไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือทางตาย ก็ไม่สู้พนันกันสักตั้ง ความไม่รู้ มักบ่งบอกถึงโอกาสรอด
ดำไปใต้ทะเลสาบ มั่วชิงเฉินหยิบตะกร้าไม้ไผ่ออกมาใบหนึ่ง ดูหนักหน่วง ข้างในวางเต็มไปด้วยระเบิดสะท้านฟ้า
“สหายเต๋ามั่ว ช้าก่อน” จู่ๆ หลัวเตี๋ยจวินก็เอ่ยปาก
มั่วชิงเฉินทอดสายตาไป ก็เห็นหลัวเตี๋ยจวินหยิบเชือกห้าสีออกมาผูกไว้บนมือตนเองว่า “สหายเต๋ามั่ว พวกเราผูกไว้ด้วยกัน เช่นนี้ก็จะไม่แยกจากกันแล้ว”
รอหลัวเตี๋ยจวินผูกทั้งสองคนเข้าไว้ด้วยกันอย่างแน่นหนา มั่วชิงเฉินถ่ายพลังวิญญาณสายหนึ่งเข้าในตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นโยนตะกร้าไม้ไผ่ออกไป
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว น้ำในทะเลสาบแขวนย้อนขึ้นมาดุจน้ำตก สูงหลายจั้งเต็มๆ จากนั้นคำรามพลางตกลงล่างไป พลังน่าสะพรึง
ในชั่วพริบตานั้น กระแสอากาศวนอันหนึ่งหมุนอย่างรวดเร็ว ล้อมพวกมั่วชิงเฉินสองคนไว้ พริบตาเดียวก็หายไปจากที่เดิม
สามวันให้หลัง เขากว่างหานมีชายหนุ่มมาสองคน วังกว่างหานที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีคนสักคน และก็ไม่มีร่องรอยการต่อสู้เช่นกัน
ที่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงคือ ทะเลสาบเล็กที่จิ่วเย่ว์และชีซีไปเล่นบ่อยๆ เหือดแห้งเห็นก้น เห็นเพียงรูลึกรูหนึ่งเท่านั้น
“พี่เทียนเหิง นี่เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าจิ่วเย่ว์และชีซีก็หนีไปเช่นเดียวกับคุณหนูแล้ว?” สีหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งสีหน้าทั้งตกใจทั้งโมโห คือพี่รองของจิ่วเย่ว์นั่นเองว่า “เป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะไปจากที่นี่นี่นา”
ชายหนุ่มคนก่อนหน้าหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่งว่า “เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้ คุณหนูจากไปได้ ไม่แน่ก็บอกวิธีให้พวกนางไว้แล้ว! ทีนี้ดีเลย เดิมทีท่านหัวหน้าเผ่าเห็นแก่ที่พวกนางอยู่เขากว่างหานอย่างโดดเดี่ยว เพียงคิดลงโทษเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พอหนีไปเช่นนี้ โทษก็หนักแล้ว!”
เทียนเหิงสีหน้าดูไม่ดีว่า “อย่าพูดเลย รีบกลับไปรายงานท่านหัวหน้าเผ่า”
อีกด้านหนึ่ง มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินลืมตาขึ้น พบว่าอยู่ในช่องว่างที่คับแคบที่หนึ่ง เงยหน้าคือกิ่งไม้ใบไม้ที่บังท้องฟ้าไปครึ่งใหญ่ ผนังสี่ด้านคือกิ่งไม้แห้งวัชพืชปนกับดินโคลน
ที่ยิ่งแปลกคือ ข้างกายยังมีก้อนหินกลมดิกเป็นเงาลื่นอย่างไม่มีอะไรเทียบได้สองก้อน พื้นเป็นสีขาว ด้านบนเต็มไปด้วยจุดดำ
“ที่นี่ที่ไหน?” หลัวเตี๋ยจวินตกใจ
มั่วชิงเฉินเคาะก้อนหินดู แล้วยืนตัวตรงมองอีก สีหน้าที่มองไปที่หลัวเตี๋ยจวินประหลาดเล็กน้อยว่า “ที่นี่น่าจะเป็น…รังนก!”