พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 323 การชิงดีชิงเด่นของระดับก่อกำเนิด
หลิวซางเจินจวินสายตาตกไปอยู่ที่มั่วชิงเฉิน เพียงแต่กะพริบแผ่วเบา แล้วชูขวดน้ำเต้าในมือขึ้น ทะยานไปที่หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าและชายชุดขาว ปากตะโกนว่า “เดรัจฉาน ครั้งนี้ดูสิพวกเจ้าจะหนีไปไหน!”
นักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ อีกท่านหนึ่งก็คือนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ไล่ฆ่าหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าและพานักพรตซานอิงไปในปีนั้น ทะยานไปที่ปีศาจสองตนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน
ชายชุดขาวจับข้อมือของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าไว้ว่า “แย่แล้ว เจ้าจมูกวัว[1]สองคนนี้ไล่มาทันแล้ว น้องไป่หลี่ พวกเราไป!”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าพยายามดิ้นหลุดจากมือของชายชุดขาวว่า “ไม่ได้ บุตรของข้ายังอยู่ในมือนังเด็กบ้าสองคนนั่น…”
ยังพูดไม่จบก็ถูกชายชุดขาวลากไปไกล มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าในอ้อมกอดว่างเปล่า ก้มหน้าอีกทีในอ้อมกอดยังมีเงาของไข่นกที่ไหนกัน
เห็นกับตาว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองท่านไล่ตามไปติดๆ พวกมั่วชิงเฉินสองคนมองหน้ากัน
“สหายเต๋ามั่ว พวกเราทำเช่นไรดี?” หลัวเตี๋ยจวินมองอ้อมกอดที่ว่างเปล่า แล้วงงงันเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินแอบพูดคำหนึ่งว่าโชคดี หากไม่เพราะหญิงสาวในชุดสีฟ้านั่นบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าก็คงเอาไข่นกไปจากอ้อมกอดของพวกนางได้อย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเช่นเดียวกับชายชุดขาวกระมัง ต่อให้อยู่ภายใต้สถานการณ์หนีเอาชีวิตรอดก็ตาม
“เราก็รออยู่ที่นี่ ไม่ว่าเจินจวินสองท่านไล่ตามอสูรปีศาจสองตัวนั่นทันหรือไม่ ก็ต้องย้อนกลับมาที่นี่” มั่วชิงเฉินมองทิศทางที่พวกเขาหายไปพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ
หลัวเตี๋ยจวินเลิกคิ้วว่า “สหายเต๋ามั่วไยถึงแน่ใจนัก?”
นักบำเพ็ญเพียรสองท่านนั้นเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเชียวนะ จะย้อนกลับมาที่นี่ใหม่เพื่อพวกนางจริงหรือ?
มั่วชิงเฉินยิ้มขึ้นเบาๆ ชี้ทิศทางยามมาของพวกหลิวซางเจินจวินสองคนว่า “ด้านนั้นคือทิศตะวันออกเฉียงใต้ คิดจะย้อนกลับค่ายของนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ คาดว่าตรงนี้คือทางที่จำเป็นต้องผ่าน”
เห็นสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของมั่วชิงเฉิน หลังเตี๋ยจวินชะงักแผ่วเบา
“เป็นอันใดหรือ สหายเต๋าหลัว?” เห็นหลัวเตี๋ยจวินไม่พูดเสียที มั่วชิงเฉินถามขึ้น
รอยยิ้มของหลัวเตี๋ยจวินนิ่งเรียบมากว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าสหายเต๋ามั่ว…เหมือนคนที่ข้าเคยรู้จักคนหนึ่งมาก”
คนเคยรู้จัก? มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อยที่หลัวเตี๋ยจวินพูดเช่นนี้ได้ กลับไม่ได้ต่อหัวข้อนี้ หากแต่ขยิบตา แล้วเอ่ยอย่างซุกซนเล็กน้อยว่า “ที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ได้บอก”
“อันใด?”
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “เมื่อครู่เจินจวินระดับก่อกำเนิดที่ถือขวดน้ำเต้าสีม่วงทองผู้นั้น คืออาจารย์ปู่ของข้า!”
“หา?” ครั้งนี้หลัวเตี๋ยจวินตกใจจริงๆ แล้ว “ไม่คิดว่ายังมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้?”
มั่วชิงเฉินทอดถอนใจแล้วพยักหน้าว่า “ใช่ สหายเต๋าหลัว ดูท่าโชคของพวกเรา ยังไม่เลวจริงๆ”
หลัวเตี๋ยจวินก็ยิ้มอ่อนขึ้นมาอย่างหาได้ยากว่า “ใช่ ข้าก็พบว่า ตั้งแต่ตามสหายเต๋ามั่วแล้ว โชคดีขึ้นไม่น้อย”
คำพูดนี้กลับเป็นคำพูดจากใจจริง เมื่อก่อนยามที่นางฝึกตนเพียงลำพังโอกาสวาสนาที่ได้มาแม้เป็นสิ่งที่นักบำเพ็ญเพียรมากมายละเมอเพ้อพก กลับก็ไม่ได้ของวิเศษในแดนมนุษย์เหมือนบัวหิมะจันทราเช่นนี้
ส่วนโอกาสวาสนาพวกนั้น ยังเป็นสิ่งที่นางแลกมาด้วยชีวิตอีกต่างหาก
เมื่อก่อน นางมักไม่อยากมีคู่หู ในมุมมองของนาง ไม่ต้องการคู่หูโดยสิ้นเชิง
คู่หูหมายถึงความยุ่งยาก ตัวถ่วง กระทั่งยามวิกฤติยังจะเปลี่ยนหน้าไร้น้ำใจเพื่อผลประโยชน์ ลอบแทงข้างหลัง
ทว่าบัดนี้ถึงพบว่า คู่หูที่แท้จริง จะทำให้เจ้าเต็มใจมอบด้านหลังให้เขา เคียงบ่าเคียงไหล่เผชิญความลำบากทุกอย่างด้วยกัน ใจจะเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยามที่แบ่งปันผลของชัยชนะด้วยกัน จะยิ่งรู้สึกปิติจากใจ
นางมีชีวิตมานานถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสการรู้แจ้งเช่นนี้
มองดูหลัวเตี๋ยจวินสีหน้าแปรเปลี่ยน ความรู้สึกสับสน มั่วชิงเฉินเข้าใจว่านางต้องรู้แจ้งในบางแง่แล้วเป็นแน่ รอหลังจากได้สติกลับมา สภาพจิตใจต้องสูงขึ้นแน่นอน ยามนี้จึงไม่กล้าออกเสียง เพียงแต่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ คุ้มกันให้นาง
“สหายเต๋ามั่ว ขอบคุณเจ้ามาก” ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ แววตาของหลัวเตี๋ยจวินในที่สุดก็คืนความกระจ่างใส แล้วพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกยาวๆ
มั่วชิงเฉินนึกว่านางขอบคุณตนที่คุ้มกันให้ จึงยิ้มอย่างไม่แยแสว่า “สหายเต๋าหลัวเกรงใจไปแล้ว”
หลัวเตี๋ยจวินก็ไม่อธิบายมาก มองทิศทางที่พวกหลิวซางเจินจวินสองคนจากไปแล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋ามั่ว เจินจวินสองท่านยังไม่ย้อนกลับมาอีก คงไม่มีอุบัติเหตุอันใดกระมัง?”
มั่วชิงเฉินทอดสายตาไกลออกไป แล้วเม้มปากเบาๆ ว่า “น่าจะไม่ อาจารย์ปู่ข้าเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลาย เจินจวินอีกท่านหนึ่งแม้เรามองตบะอย่างเป็นรูปธรรมไม่ออก ทว่าสามารถสู้ศัตรูพร้อมอาจารย์ปู่ข้าได้ อย่างน้อยน่าจะเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะกลาง”
นักบำเพ็ญเพียรมองตบะอย่างเป็นรูปธรรมของนักบำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าตนเพียงหนึ่งเขตแดนใหญ่ออกเท่านั้น พวกมั่วชิงเฉินสองคนอยู่ระดับสร้างรากฐาน ต่อหน้านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแม้สามารถอาศัยพลังของอีกฝ่ายดูออกว่าอยู่ระดับก่อกำเนิด กลับดูตบะอย่างเป็นรูปธรรมไม่ออก อย่างไรเสียก็ห่างกันสองเขตแดนใหญ่
“อาจารย์ปู่พวกท่านมีด้วยกันสองคน ชายชุดขาวนั่นต่อให้เป็นอสูรปีศาจขั้นจำแลงขั้นสุดท้าย หญิงสาวชุดฟ้ากลับได้รับบาดเจ็บ ยังต้องปกป้องไข่นกสองใบอีก พลังความสามารถของทั้งสองฝ่ายเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ก็ต่อให้กลางทางมีอสูรปีศาจอื่นโผล่มาอีก เจินจวินทั้งสองจะรักษาตัวรอดกลับออกมาอย่างปลอดภัยยังไม่เป็นปัญหา” มั่วชิงเฉินเอ่ยต่อ
กำลังพูดอยู่ก็เห็นลำแสงสองสายมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพียงชั่วอึดใจก็มาถึงหน้าทั้งสองคน คือหลิวซางเจินจวินและนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ใส่ชุดนักพรตพื้นขาวขอบทองผู้นั้นนั่นเอง
“ศิษย์มั่วชิงเฉินคารวะท่านอาจารย์ปู่ คารวะท่านเจินจวิน” มั่วชิงเฉินกดความตื้นตันในใจลง แล้วกราบลงไป
หลัวเตี๋ยจวินกราบลงไปตามว่า “ผู้น้อยคารวะท่านเจินจวินทั้งสอง”
พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งพยุงทั้งสองคนขึ้นช้าๆ
หลิวซางเจินจวินเพ่งพิศมั่วชิงเฉินอย่างละเอียด พักใหญ่ถึงเอ่ยปากวา “นางหนูชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
น้ำเสียงแม้นิ่งเรียบ มั่วชิงเฉินกลับฟังออกถึงความห่วงใยจากเสียงที่ไม่สะทกสะท้านนั้นได้ ทันใดนั้นรู้สึกอบอุ่นในใจ เอ่ยเฉื่อยๆ ว่า “ศิษย์ไม่รู้ความ ทำให้อาจารย์ปู่ต้องเหนื่อยใจแล้ว”
หลิวซางเจินจวินทอดถอนใจเล็กน้อยแล้วส่ายศีรษะว่า “อาจารย์ปู่อยู่มานานถึงเพียงนี้ ใจนี่จะเหนื่อยง่ายๆ ได้ที่ไหน กลับเป็นอาจารย์เจ้านี่สิเพื่อนางหนูเจ้าแล้วห่วงจน ผมหงอกหมดแล้ว”
มั่วชิงเฉินตกใจ ดวงตาดอกท้อค่อยๆ เบิกกว้างว่า “อาจารย์ท่าน…”
พูดถึงตรงนี้กลับพูดต่อไปไม่ได้แล้ว เพียงแต่สะเทือนใจเหลือคณา
“ศิษย์พี่หลิวซาง เด็กคนนี้ก็คือศิษย์ของเหอกวง?” นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดข้างๆ เอ่ยปากถามขึ้น
หลิวซางเจินจวินถึงพบว่าเสียมายาทไป พยักหน้าแผ่วเบาให้นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดว่า “คือศิษย์หลานซุกซนของข้าคนนั้นนั่นเอง ทำให้ศิษย์น้องฮ่าวเสวี่ยหัวเราะเยาะแล้ว ชิงเฉิน ท่านนี้คือฮ่าวเสวี่ยเจินจวินแห่งนิกายเลี่ยนเป่า ยังไม่รีบคารวะอีก”
มั่วชิงเฉินกราบลงไปอีกว่า “ผู้น้อยคารวะฮ่าวเสวี่ยเจินจวิน”
ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินยื่นมือทำท่าพยุงขึ้นว่า “ขึ้นมาเถอะ” พูดพลางพิจารณามั่วชิงเฉินอย่างละเอียดอีกปราดหนึ่ง แล้วหันหน้ายิ้มพูดกับหลิวซางเจินจวินว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง ท่านช่างมีบุญจริงๆ เลย ศิษย์ที่รับไม่เพียงคุณสมบัติเป็นเลิศทุกคน แม้แต่ศิษย์หลาน ก็พรสวรรค์โดดเด่น ข้าดูเด็กคนนี้อายุยังไม่เกินแปดสิบปีกระมัง?”
นักบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่ว่าไม่มีใจเย่อหยิ่งชิงดีชิงเด่น ตรงกันข้าม ในบางแง่ใจการชิงดีชิงเด่นของพวกเขายิ่งรุนแรง เช่นวิชายุทธ สมบัติวิเศษ สมบัติฟ้าดิน ถึงระดับหนึ่งแล้วสิ่งเหล่านี้เทียบกันยากแล้ว ยังมีลูกศิษย์
ดูศิษย์ของใครคุณสมบัติดี ศิษย์ของใครความตระหนักสูง ศิษย์ของใครมีความสามารถ ก็คือสิ่งที่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพวกนี้แอบแข่งกันแล้ว
หลิวซางเจินจวินฟังคำพูดของฮ่าวเสวี่ยเจินจวินแล้วแม้สีหน้ายังคงขึงขัง ทว่ามุมปากที่กระดกขึ้นเล็กน้อยกลับเปิดเผยความรู้สึกของเขา “ศิษย์น้องฮ่าวเสวี่ยไยต้องถ่อมตัว ศิษย์สองสามคนนั้นของเจ้าก็ไม่ด้อยเลยสักนิด ทว่านางหนูนี่ ข้าจำได้ว่าอายุไม่มากจริงๆ” พูดพลางหันหามั่วชิงเฉินว่า “นางหนู ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”
ต่อหน้าเจินจวินระดับก่อกำเนิดสองท่านมั่วชิงเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย เอ่ยเสียงกังวานว่า “เรียนท่านอาจารย์ปู่ ศิษย์ปีนี้หกสิบปีเต็มเจ้าค่ะ”
“หกสิบปี?” ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินตาเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่งว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง สำนักท่านอัจฉริยะมากมายจริงๆ ข้าจำได้ว่าเหอกวงก็ก่อแก่นปราณเมื่ออายุหกสิบแปดปีสินะ ดีไม่ดีศิษย์ของเขาอาจเหนือกว่าอาจารย์”
หลิวซางเจินจวินยิ้มนิ่งเรียบขึ้นมาว่า “ศิษย์น้องฮ่าวเสวี่ยไยต้องยกย่องนางหนูนี่ถึงเพียงนี้ ก่อแก่นปราณอย่างไรเสียก็ต่างกับสร้างรากฐาน ต้องดูบุญวาสนาของนางแล้ว” พูดถึงตรงนี้เปลี่ยนน้ำเสียงว่า “ทว่านางหนูนี่ก็หยุดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์มาสิบหกปีแล้ว บางทีควรพานางกลับสำนักแล้ว”
คำพูดนี้ก็หมายถึงมั่วชิงเฉินอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ยามอายุสี่สิบสี่ปีแล้ว
มั่วชิงเฉินฟังอยู่ข้างๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาจารย์ปู่ที่ปกติดูแล้วเคร่งขรึมขึงขัง ก็มีเวลาที่นิสัยเหมือนเด็กเช่นนี้
มองหลัวเตี๋ยจวินอย่างจำใจปราดหนึ่ง กลับพบว่าบนใบหน้าหลัวเตี๋ยจวินก็ตื่นตะลึงเช่นกัน
ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินมองมั่วชิงเฉินอีกปราดหนึ่ง ครั้งนี้เห็นความตกตะลึงจริงๆ
อายุหกสิบปีอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แม้หายาก ในสายตานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นพวกเขาก็ไม่มีอะไร นักบำเพ็ญเพียรมากมายหยุดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์สิบยี่สิบปีกระทั่งหลายสิบปีถึงสามารถก่อแก่นปราณได้ เมื่อนับเช่นนี้แล้ว อายุของนางก็เกือบร้อยปีแล้ว
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอายุร้อยปีแม้มีไม่มาก สำนักใหญ่แต่ละที่ก็มีสักคนสองคน ทว่านางหนูนี่ไม่คิดว่าหยุดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์มาสิบหกปีแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เป็นไปได้ที่นางจะก่อแก่นปราณได้ตลอดเวลาจริงๆ
หากเป็นเช่นนี้ นางก็คือนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่อายุน้อยที่สุดในดินแดนเทียนหยวน!
ก่อแก่นปราณเมื่ออายุน้อย หมายถึงพลังแฝงไร้ขอบเขต เช่นนั้น อาจไม่เกินสองร้อยปี เหยากวงก็จะมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเพิ่มขึ้นอีกท่านหนึ่งแล้ว!
ก่อนมีกู้เหอกวง หลังมีเยี่ยลั่วหยาง ในศึกวิกฤตอสูรที่ดำเนินมาสิบกว่าปี สองคนที่สะดุดตาที่สุดในบรรดานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณล้วนมาจากเหยากวง บัดนี้ยังบวกนางหนูน้อยคนนี้เข้ามาอีก จื้ดๆ หรือว่าปราณวิญญาณในฟ้าดิน ล้วนถูกเหยากวงมันดูดไปหมดแล้ว?
ต่อให้ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว นึกถึงตรงนี้ยังคงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้าง
แน่นอนความไม่พอใจเช่นนี้เพียงแต่เกิดจากความกังวลต่ออนาคตของสำนักเท่านั้น กลับนับไม่ได้ว่าริษยา ความปั่นป่วนของอารมณ์นี้ถูกเขาปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว แล้วหัวเราะกังวานขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง สำนักท่านอัจฉริยะมากมาย ช่างทำให้ศิษย์น้องอิจฉาจริงๆ โดยเฉพาะเด็กคนนี้ ถูกชะตาข้ายิ่งนัก หึๆ รุ่นเด็กที่ไม่เอาไหนของนิกายเลี่ยนเป่าของเราพวกนั้นแม้เทียบศิษย์สำนักท่านไม่ได้ กลับก็มีคนสองคนที่พอเข้าตา ศิษย์น้องก็ขอหน้าหนาโยงด้ายแดงให้เป็นเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินอึ้ง นางฟังผิดเช่นนั้นหรือ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองคนพลางบินพลางคุย ก็เป็นพ่อสื่อพ่อชักให้นางขึ้นมาเสียแล้ว?
หลิวซางเจินจวินชะงัก กลับหัวเราะขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ศิษย์น้องฮ่าวเสวี่ย เจ้าก็รู้ เหยากวงเราแต่ไหนแต่ไรมาเชิดชูการตามใจอิสระ ข้าแม้เป็นผู้อาวุโส กลับไม่สะดวกตัดสินใจ เรื่องบุพเพนี้ ยังต้องดูความคิดของนางหนูนี่เอง จะได้ไม่ต้องไม่ถูกใจกัน หากกลายเป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญเพียรก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว”
แม้คำพูดของหลิวซางเจินจวินเป็นการบ่ายเบี่ยง แต่กลับพูดไม่ผิด
นักบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ที่บำเพ็ญเพียรคู่ก็เพราะความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเร็วขึ้น หากเพราะความไม่พอใจกระทบกระเทือนจิตใจ เช่นนั้นก็ไม่งามแล้ว
ดังนั้นในเหยากวง ยังไม่มีการบังคับแต่งงานจริงๆ แม้แต่ปีนั้นเสวียนหั่วเจินจวินสู่ขอต้วนชิงเกอแทนเยี่ยลั่วหยาง หรูอวี้เจินจวินก็เพราะเห็นต้วนชิงเกอไม่คัดค้านถึงได้พยักหน้า
สายตาของฮ่าวเสวี่ยเจินจวินจึงหันมาที่มั่วชิงเฉิน
——
[1] จมูกวัว เป็นคำล้อเลียนนักพรตในสมองโบราณ เนื่องจากผมที่เกล้าขึ้นของนักพรตดูเหมือนจมูกวัว