พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 324 การประทานจากอาจารย์ปู่
“ขอบคุณเจินจวินที่เมตตา ผู้น้อยคุณสมบัติโง่เขลา กลับโชคดีได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์ มีบุญวาสนา ถึงได้มีโอกาสเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นจึงไม่กล้าผิดต่อโอกาสวาสนานี้ ก่อนที่จะบรรลุทางใหญ่ไม่กล้าวอกแวกไปให้เรื่องอื่นเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินคารวะทีหนึ่ง แม้ท่าทีนบนอบ เสียงกลับแน่วแน่สงบ
ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินหัวเราะหึๆ ขึ้นมาว่า “ดูท่าแตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน ช่างเถอะ ช่างเถอะ” พูดพลางเหลือบมองหลิวซางเจินจวินนิ่งเรียบปราดหนึ่ง
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ทนทำใจให้อัจฉริยะของเหยากวงตกไปอยู่ที่สำนักอื่นไม่ได้ชัดๆ กลับผลักไปไว้บนตัวรุ่นเด็ก
เมื่อเป็นเช่นนี้แม้ถูกปฏิเสธ ตนจะพูดมากก็ไม่ได้
เป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด จะถือสานักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเล็กๆ คนหนึ่งก็คงไม่ได้กระมัง
เมื่อคิดอีกทีไม่รู้มีคนที่ถูกเรียกว่านักบำเพ็ญเพียรอัจฉริยะตั้งเท่าไรหยุดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ชั่วชีวิตไม่ก้าวหน้าแม้ก้าวเดียว ความคิดนี้ก็จางลง
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในเรื่องส่วนใหญ่ จะไม่ยึดติด
หลิวซางเจินจวินพอใจกับคำตอบของมั่วชิงเฉินมากเช่นกัน เขาดูออกนานแล้ว นางหนูนี่แม้นานๆ ทีจะก่อเรื่องบ้าง ทว่าในด้านมารยาทกลับไม่เคยบกพร่อง
เทียบกับความไม่แยแสต่อโลกของเหอกวง ความเย็นชาเย่อหยิ่งของลั่วหยาง การจัดการเรื่องราวของนางหนูนี่กลับกลมกลึงกว่า หากแต่เมื่อเจอเรื่องใหญ่กลับสามารถใจเย็นเด็ดขาด หากมีวันหนึ่งสามารถขึ้นไปยืนบนความสูงนั้นจริงๆ กลับเหมาะจะเป็นผู้กุมบังเ**ยนเหยากวงมากกว่า เพียงแต่น่าเสียดายเพราะอย่างไรเสียก็เป็นสตรี ในอนาคตเรื่องความรักก็พูดยากแล้ว
“เอ่อ นางหนูนี่คือ?” ในที่สุดหลิวซางเจินจวินก็เบือนสายตาไปบนใบหน้าหลัวเตี๋ยจวินที่ตามอยู่ข้างๆ เงียบๆ มาตลอด
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่านี่ก็คือนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในสายตาพวกเขา ที่จริงกระจ้อยร่อยไม่ควรค่าแก่การพูดถึงถึงขนาดสามารถมองข้ามไปได้ หากนางไม่ใช่ศิษย์หลานของหลิวซางเจินจวิน การถูกปฏิบัติต้องไม่ต่างอะไรกับหลัวเตี๋ยจวินแน่นอน
ก็เฉดเช่นปีนั้นยามที่ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินท่านนี้พานักพรตซานอิงไป ก็ไม่ได้มองมาที่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอย่างพวกเขากลุ่มนี้สักปราด ดังนั้นจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่พบว่าพวกเขาเคยพบหน้ากันมาก่อน
“ผู้น้อยแซ่หลัว เป็นนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักเจ้าค่ะ” หลัวเตี๋ยจวินคารวะใหม่อีกครั้ง
หลิวซางเจินจวินพยักหน้าว่า “ไม่เลว เป็นคนที่ดีทีเดียว”
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าอาจารย์ปู่ท่านนี้ไยมองปราดเดียวก็มองออกว่าหลัวเตี๋ยจวินดี กลับยิ้มว่า “ท่านอาจารย์ปู่ สหายเต๋าหลัวรู้จักกับศิษย์ยามต้านอสูรปีศาจด้วยกัน หลายปีมานี้โชคดีที่ได้นางคอยสนับสนุนซึ่งกันและกันถึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยได้เจ้าค่ะ”
หลิวซางเจินจวินยิ้ม จู่ๆ ในมือปรากฏขวดหยกขึ้นใบหนึ่งยื่นให้หลัวเตี๋ยจวินว่า “นางหนูน้อย สิ่งนี้เจ้ารับไว้ ถือเป็นของขวัญพบหน้าจากข้าแล้วกัน”
หลัวเตี๋ยจวินรับไปอย่างสง่าผ่าเผย ปากเอ่ยคำขอบคุณ
เห็นมั่วชิงเฉินมองมาตาปริบๆ หลิวซางเจินจวินหัวเราะว่า “นางหนูชิงเฉิน เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้ อยากได้โอสถไปเอากับอาจารย์เจ้าโน่น”
“ของอาจารย์ก็ของอาจารย์ ของอาจารย์ปู่ก็ของอาจารย์ปู่สิ ศิษย์ยังไม่เคยเห็นของดีของอาจารย์ปู่มาก่อนเลยนะเจ้าคะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างซุกซน
แม้มีใจถามสถานการณ์ในบัดนี้ โดยเฉพาะศิษย์เหยากวงที่ตามนางพวกนั้นหนีออกไปได้เท่าไร หลังจากนั้นเป็นเช่นไรอีก ทว่าเห็นหลิวซางเจินจวินไม่ไต่ถาม อีกทั้งฮ่าวเสวี่ยเจินจวินยังอยู่ข้างๆ จะเอ่ยปากผลีผลามก็ไม่ดี
หลิวซางเจินจวินครุ่นคิดชั่วครู่ว่า “ว่าไปแล้ว ข้าในฐานะอาจารย์ปู่ยังไม่เคยให้ของขวัญพบหน้าอะไร วันนี้ก็ชดเชยให้แล้วกัน นางหนูชิงเฉิน ฝีมือการหลอมโอสถของอาจารย์เจ้าเหนือกว่าข้าอีกนะ เจ้าคงไม่ขาดโอสถเป็นแน่ เอาเช่นนี้เถอะ เจ้าลองว่ามาอยากได้สมบัติวิเศษประเภทไหน?”
เห็นมั่วชิงเฉินแสดงสีหน้าปิติ จึงเตือนว่า “เลือกได้เพียงสิ่งเดียว เจ้าต้องคิดให้ดีนะ”
มั่วชิงเฉินรู้ดี นี่เพราะหลิวซางเจินจิวนเห็นนางจะก่อแก่นปราณแล้ว อนุญาตให้นางเลือกสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งไว้ใช้หลังก่อแก่นปราณ
ปกติศิษย์ก้นกุฏิเช่นนาง หลังก่อแก่นปราณอาจารย์จะมอบสมบัติวิเศษให้ทั้งนั้น แน่นอนคุณภาพแตกต่างกันไป ทว่าสำหรับนักบำเพ็ญเพียรที่เพิ่งก้าวเข้าระดับก่อแก่นปราณแล้วล่ะก็ กลับสำคัญมากทีเดียว
หากยังหาสมบัติวิเศษอื่นไม่ได้ อีกทั้งสมบัติวิเศษเจ้าชะตาก็ยังหลอมไม่สำเร็จ สิ่งนี้ก็จะใช้รักษาชีวิตได้ กระทั่งนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณบางคนจะเอาสมบัติวิเศษที่ได้รับจากอาจารย์ไปหลอมเพิ่ม หลอมเป็นสมบัติวิเศษเจ้าชะตา
วันนี้หลิวซางเจินจวินให้สัญญามอบของวิเศษให้ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดให้ทั้งทีจะด้อยได้อย่างไรกัน มั่วชิงเฉินรู้ว่าตนเก็บได้ของวิเศษแล้ว
คิดครู่หนึ่ง ถึงว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่ที่เอ็นดู อาจารย์ปู่ ศิษย์อยากได้วัตถุดิบบางอย่าง ไม่ทราบได้หรือไม่เจ้าคะ?”
หลิวซางเจินจวินลูบหนวดยาว ความหมายของนางหนูนี่ คือคิดจะตุนวัตถุดิบสำหรับหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาแล้ว?
นางมั่นใจว่าสามารถก่อแก่นปราณได้ปานนี้เชียว ยิ่งกว่านั้นยังคิดหน้าตาของสมบัติวิเศษเจ้าชะตาไว้แล้ว?
ต้องรู้ว่ามีนักบำเพ็ญเพียรมากมายหลังจากก่อแก่นปราณแล้วถึงตั้งใจครุ่นคิดว่าต้องการสมบัติวิเศษเจ้าชะตาเช่นไร บางทีจะรีบตั้งหลัก จึงหลอมแค่สมบัติวิเศษสำเร็จรูปชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“นางหนูชิงเฉิน เจ้าต้องคิดดีๆ นะ” หลิวซางเจินจวินเตือนว่า
พรรคเหยากวงเน้นการทำตามใจอิสระ นอกจากการผูกมัดที่จำเป็น จะปล่อยให้ศิษย์เติบโตอย่างอิสระ ยิ่งจะไม่ก้าวก่ายการออกไปฝึกตนของพวกเขาจนเกินไป ดังนั้นต่อให้เป็นศิษย์ก้นกุฏิ ในฐานะอาจารย์และผู้อาวุโสก็จะไม่มอบของวิเศษให้มากมาย สิ่งที่พึ่งพิงยังคงเป็นความพยายามของพวกเขาเอง
แม้เขาเป็นอาจารย์ปู่ สามารถให้สมบัติวิเศษอย่างหนึ่งก็เป็นกรณีพิเศษแล้ว มากกว่านี้กลับเป็นการดึงต้นกล้าให้โต[1]แล้ว
มั่วชิงเฉินน้ำเสียงสงบว่า “ศิษย์คิดดีแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าอยากได้วัตถุดิบอะไรล่ะ?” หลิวซางเจินจวินถาม แม้แต่ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินที่อยู่ข้างๆ ในตาก็ฉายแววอยากรู้อยากเห็น
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ถึงเอ่ยว่า “ไม่ทราบท่านอาจารย์ปู่มีเอ็นอสูรชั้นเลิศหรือไม่เจ้าคะ ชนิดที่สามารถทำเป็นสายธนูได้?”
“นางหนูชิงเฉิน หรือว่าเจ้าคิดจะหลอมคันธนู?” หลิวซางเจินจวินเข้าใจในทันที
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม สิบกว่าปีมานี้ชิงเฉินคลำหามาตลอด รู้สึกว่าสมบัติวิเศษที่เหมาะกับตนที่สุด ก็คือคันธนูและศรเจ้าค่ะ”
หลิวซางเจินจวินเลิกคิ้วว่า “สร้างคันธนูต้องใช้วัตถุหกอย่าง คัน เขา เอ็น กาว ไหม สี ถ้าศรล่ะก็ยิ่งต้องการหัวศร ก้านศรและปีกศร วัตถุดิบพวกนี้เจ้าล้วนรวบรวมครบแล้ว?”
“ในอดีตชิงเฉินเคยได้ไม้หม่อนชั้นเลิศมาชิ้นหนึ่ง สามารถทำเป็นคันได้ ก้านศรก็มีความคิดแล้ว นอกจากเอ็นอสูรชั้นเลิศหายาก วัตถุดิบอย่างอื่นหาในตลาดสักหน่อยก็น่าจะไม่ยากเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตอบอย่างตรงไปตรงมา
ที่นางเอาก้านของบัวหิมะจันทรา ก็เพื่อใช้ทำก้านศรในอนาคต เพราะมีเพียงก้านของบัวหิมะจันทรา ถึงทนความหนาวเย็นของเปลวน้ำแข็งเหมันต์ไหว นางจะทำศรเหมันต์ลูกหนึ่ง
ส่วนเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ เพราะได้ลองใช้กระบี่ชิงมู่เป็นศรแล้ว กระทั่งยังเพราะเหตุนี้ทะลวงขั้นที่สามได้ นางยิ่งแน่วแน่ในความคิดของตนแล้ว
กิ่งต้นท้อกลายพันธุ์ที่ได้จากตระกูลหวังทะเลขนาบใจเมื่อหลายปีก่อนปลูกอยู่ในสวนยาพกพา บัดนี้อายุเกือบหมื่นปีแล้ว รอให้ครบหมื่นปีเต็ม นางก็จะเอากิ่งหนาแข็งแรงกิ่งหนึ่งทำเป็นศรไม้ท้อ
ลูกศรที่ทำจากไม้ท้อไม่เพียงสะดวกต่อการใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ ยังสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ต่อไปหากพบภูตผีวิญญาณก็สามารถกำหราบได้
นอกเหนือจากนี้ นางยังกะทำศรทองคำอันหนึ่ง มีพลังทำลายล้างมหาศาลทางกายภาพ ศรที่เหมาะจะแนบจิตตระหนักอันหนึ่ง สามารถจู่โจมจิตตระหนัก
ทว่าก้านศรของศรสองชนิดนี้บัดนี้ยังไม่เป็นรูปร่าง วันหลังสามารถค่อยๆ เสาะหาได้
“หึๆๆ” หลิวซางเจินจวินหัวเราะขึ้นมา “ดูท่านางหนูเจ้าคิดไว้นานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งนี้ก็ให้เจ้าแล้วกัน ลองดูว่าถูกใจหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินรีบรับวัตถุที่หลิวซางเจินจวินโยนมา เมื่อเพ่งดู คือเชือกสีขาวที่พันเป็นก้อนเล็กๆ ดูกระจ่างใส อีกทั้งยังเหนียวหนึบเล็กน้อย
เสียงสงบราบเรียบของหลิวซางเจินจวินดังขึ้นมาว่า “สิ่งนี้ได้มาจากมังกรเจี่ยวขั้นแปดตัวหนึ่งที่ข้าฆ่าเมื่อครั้นไปสิบทวีปบูรพาในอดีต มังกรเจี่ยวแม้ไม่นับว่าเป็นอสูรประหลาดอะไร เอ็นของมันใช้ทำสายธนูก็ไม่เลว”
มั่วชิงเฉินปิติยิ่งนัก เอ็นของมังกรเจี่ยวขั้นแปด ต่อให้นางวิ่งทั่วทุกตลาดในดินแดนเทียนหยวนก็หาไม่ได้ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมือเติบตามคาด จึงค่อยๆ กราบลงไปว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่ที่ประทานของล้ำค่าเจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้นเถอะ” หลิวซางเจินจวินดูแล้วอารมณ์ก็ไม่เลว
จู่ๆ ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินก็เอ่ยปากว่า “หึๆ ศิษย์พี่หลิวซางให้รางวัลเด็กๆ ข้าในฐานะผู้อาวุโสจะหน้าหนาดูอย่างเดียวก็คงไม่ดี ก็ขอมอบสิ่งนี้ให้นางหนูสองคนไว้เป็นศิริมงคลแล้วกัน”
พูดพลางยื่นขนหางสีฟ้าสิบกว่าอันข้ามมา
มั่วชิงเฉินชะงัก เหตุใดนางมองดูขนหางสีฟ้าพวกนี้แล้วรู้สึกคุ้นตานะ
“ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินให้รางวัล พวกเจ้าสองคนก็รับไว้เถอะ ขนหางสีฟ้านี้ได้มาจากบนตัวหนึ่งในสี่จอมราชาปีศาจไป่หลี่เช่ว์ หายากมาก” หลิวซางเจินจวินยิ้มว่า
ทั้งสองคนกราบขอบคุณพร้อมเพรียงกัน มั่วชิงเฉินยิ่งรู้สึกยินดี ขนหางสีฟ้าเอามาทำปีกศรได้พอดี วันนี้น่าจะประสบโชคร้ายถึงขีดสุดแล้วโชคดีจึงมาถึงแล้ว สมบัติวิเศษเจ้าชะตาที่ครุ่นคิดมาตลอดทีนี้ก็เห็นแววแล้ว
หลิวซางเจินจวินและฮ่าวเสวี่ยเจินจวินไม่พูดมากอีก พาพวกมั่วชิงเฉินสองคนเหาะเหินเดินอากาศ มุ่งหน้าไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ดุจดาวตก
มองลงไปเห็นต้นไม้ใบหญ้าของดินแดนเทียนหยวนอยู่ใต้เท้า มั่วชิงเฉินรู้สึกทอดถอนใจทันที ทว่าเมื่อมองอย่างละเอียด กลับพบว่ามีร่องรอยการต่อสู้เต็มไปหมด พื้นดินบางแห่งยังมีชิ้นส่วนอวัยวะรอยเลือดหลงเหลืออยู่ ดูแล้วอกสั่นขวัญแขวน
หรือว่า สิบกว่าปีมานี้ ศึกวิกฤตอสูรเลวร้ายกว่าที่ตนคิดไว้มากนัก?
สายตาตกลงบนแผ่นหลังของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองท่าน แล้วสับสนเล็กน้อย นึกถึงศึกเต๋ามารในตอนนั้นเจ็ดสนามรบใหญ่แม้มีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดออกนั่งบัญชาการ หลายปีถึงเพียงนั้นกลับไม่เห็นพวกเขาลงมือจริงๆ มาก่อน ทว่าปีนั้นเพิ่งย่างเข้าเขาหลางหยา ก็เห็นฮ่าวเสวี่ยเจินจวินตามฆ่าไป่หลี่เช่ว์ที่เทียบเท่ากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลาย จากการนี้ก็เห็นถึงความดุเดือดของวิกฤตอสูรได้แล้ว ผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของทั้งสองฝ่ายล้วนถูกดึงเข้าการต่อสู้โดยตรงแล้ว
กำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ๆ มีแสงวิญญาณของการต่อสู้ปรากฏขึ้นจากป่าทึบแห่งหนึ่ง
หลิวซางเจินจวินชะงัก หยุดลง
“เป็นอันใดหรือ ศิษย์พี่หลิวซาง?” ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินไม่ค่อยเข้าใจ
ที่แห่งนี้คือจุดเชื่อมระหว่างดินแดนทุรกันดารและดินแดนเทียนหยวน เป็นสถานที่ที่อสูรปีศาจทำลายล้างมากที่สุด การต่อสู้กับนักบำเพ็ญเพียรมีให้เห็นทั่วไป พวกเขาในฐานะนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกลับเข้าไปยุ่งมากถึงเพียงนั้นไม่ไหว
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ที่สำคัญยังคงเป็นการรับมืออสูรปีศาจจำแลงในบรรดาอสูรปีศาจ ส่วนอย่างอื่น นอกจากพบอสูรปีศาจขั้นสูงเข่นฆ่านักบำเพ็ญเพียรระดับต่ำด้านเดียว หรือเหยียบย่ำคนธรรมดา หากทั้งสองฝ่ายพลังสูสีกัน พวกเขาจะไม่ก้าวก่ายโดยสิ้นเชิง ถือเสียว่าเป็นเพียงการฝึกตนของรุ่นเด็กแล้ว
หลิวซางเจินจวนขมวดคิ้วเล็กน้อยว่า “ศิษย์น้องฮ่าวเสวี่ย เจ้าพานางหนูสองคนกลับไปก่อนเถอะ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินแม้รู้สึกประหลาดใจ สีหน้ากลับไม่กระโตกกระตากว่า “ได้”
เห็นฮ่าวเสวี่ยเจินจวินหันหลัง มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ปู่ ศิษย์ตามท่านไปได้หรือไม่เจ้าคะ?”
นางรู้ว่าหลิวซางเจินจวินได้เอ่ยปากให้ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินพาพวกนางไปแล้ว นางขืนเอ่ยปากอีกก็จะเป็นการไม่เคารพ ทว่านางคุ้นเคยกับความปั่นป่วนของปราณวิญญาณที่ส่งผ่านมาจากป่าด้านนั้นดี
นั่นคืออาจารย์ของนาง… กู้หลี
——
[1] ดึงต้นกล้าให้โต เปรียบเทียบกับการพยายามฝืนกฏเกณฑ์ ธรรมชาติหรือการรีบร้อนเร่งให้งานใดๆสำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิด จนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา