พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 332 ทางใหญ่ก่อแก่นทองสำเร็จ
ดอกไม้เต็มเขาเต็มทุ่งราวกับอาบน้ำค้างเซียน ในชั่วพริบตานี้บานสะพรั่งขึ้นทันใด กลิ่นหอมน่าอัศจรรย์ลอยมาเป็นระลอก
ต่อให้เป็นศิษย์ที่ยืนดูอยู่รอบนอกเขาชิงมู่ ก็ได้กลิ่นบุปผาจางๆ
“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” มีศิษยเบิกตาโตยิ่งว่าระฆังอีก
ศิษย์ที่อยู่ข้างๆ อ้าปากกว้าง พูดไม่ออกอยู่นาน จนกระทั่งน้ำลายไหลลงจากมุมปาก ถึงรีบดันคางขึ้น แล้วเอ่ยอย่างติดอ่างว่า “ก่อ…ก่อแก่นปราณ ก่อแก่นปราณอีก…อีกแล้ว…”
“จะเป็นไปได้เช่นไร เหตุใดถึงก่อแก่นปราณติดกันถึงสองครั้ง?” ศิษย์ทั้งหมดงงไปหมดแล้ว ไม่เข้าใจว่าตกลงเรื่องอะไรกันแน่
“ไอยา ท่านย่าเจ้าสิ ไยเจ้าถึงหยิกข้า?” ศิษย์เสียงดังคนหนึ่งจู่ๆ ก็กรีดร้องขึ้นมา
ศิษย์ข้างๆ คนหนึ่งรีบเอ่ยว่า “ข้า ข้านึกว่าตนกำลังฝันอยู่ ดังนั้นจึงหยิกทีหนึ่ง”
ศิษย์ที่เสียงดังโกรธว่า “ท่านย่าเจ้าสิ เจ้านึกว่าตนฝันไป ไม่หยิกตนเองไยมาหยิกข้าล่ะ?”
ศิษย์ที่อยู่ข้างๆ เขินเล็กน้อยว่า “หยิก…หยิกผิดแล้ว…”
“ฮ่าๆ…” ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
เรื่องแทรกนี้ทำให้ศิษย์ไม่น้อยได้สติกลับมา กลับยิ่งวิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้ เรื่องผิดปกติต้องมีอะไรแน่ ข้าต้องไปรายงานอาจารย์อาเจ้าสำนัก!”
พูดพลางอัญเชิญกระบี่บินเล่มหนึ่งกระโดดขึ้นไปก็จะพุ่งไปที่ทิศทางของเขาโฮ่วเต๋อ กลับพบว่าขยับเขยื้อนไม่ได้
พอเบือนหน้าดู พบว่าศิษย์ระดับหลอมลมปราณผู้หนึ่งดึงเสื้อของตนไว้ จึงอดโกรธไม่ได้ว่า “ศิษย์หลานท่านนี้ เจ้าดึงข้าไว้ทำอะไร ไม่เห็นข้ามีเรื่องด่วนหรือ!”
ติดที่อำนาจของศิษย์ผู้ดูแล ศิษย์ระดับหลอมลมปราณหดไหล่ รวบรวมความกล้าชี้ไปที่ข้างๆ ว่า “ท่านอาจารย์อาผู้ดูแล ท่านเจ้าสำนักก็อยู่ตรงนั้น”
ศิษย์ผู้ดูแลหันกลับ เห็นนักพรตฟางเหยายิ้มให้เขาพอดี ทันใดนั้นกระดากเป็นการใหญ่ กระโดดลงมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำ
“ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก…”
นักพรตฟางเหยาอมยิ้มส่ายศีรษะ บอกเป็นนัยว่า ไม่เป็นไร
ศิษย์ผู้ดูแลโล่งอก สายตารีบทอดไปทางทิศตะวันออก
ท้องฟ้าด้านตะวันออกถูกแสงวิญญาณส่องจนสว่างจ้า ลำนานสวรรค์ขับขาน มวลหมู่ดอกไม้สะพรั่ง ไม่เหมือนแดนมนุษย์
“ดูเร็ว สะพานวิญญาณ!” ศิษย์หญิงคนหนึ่งกรีดร้องออกมา ตื่นเต้นจนแก้มแดงเรื่อ
ในหมู่มวลเมฆาห้าสี ปรากฏสะพานวิญญาณโค้งขึ้นเส้นหนึ่ง บนนั้นแสงวิญญาณปกคลุม ยังมีกระเรียนเซียนและนกวิญญาณโบยบินร่ายรำ
แล้วก็มีบุปผาวิญญาญนับไม่ถ้วนโปรยปรายร่วงหล่นลงมาตามจังหวะการกระพือปีกของพวกมัน เหมือนมีฝนบุปผาตกลงมา ชุ่มฉ่ำไปทั่วทั้งเขาชิงมู่
ต้นไม้ใบหญ้าของเขาชิงมู่ยิ่งงอกงามมีชีวิตชีวา เจริญโบกพลิ้วด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ครั้งนี้ น่าจะเป็นศิษย์หลานมั่วแล้ว” นักพรตฝูหมิงยิ้มพรายไปด้วยความปลื้มปิติ
ศิษย์เหยากวงนับหมื่นพัน คนที่ก่อเป็นแก่นทองมีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น สามารถพูดได้ว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณล้วนเป็นเสาหลักของพรรคเหยากวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังเป็นในยามที่ต้องการใช้คน
นักพรตฟางเหยาอมยิ้มพยักหน้าว่า “น่าจะเป็นศิษย์หลานมั่วอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”
กำลังพูดอยู่พลานุภาพมหาศาลสองสายก็ส่งผ่านมา หลิวซางเจินจวินและเสวียนหั่วเจินจวินร่อนลงมา
“กราบคารวะท่านเจินจวินทั้งสอง” ทุกคนรีบคำนับ
หลิวซางเจินจวินโบกมือว่า “ไม่ต้องมากพิธี ศิษย์หลานเจ้าสำนัก เจ้าส่งคนไปเตรียมพิธีฉลองก่อแก่นปราณได้แล้ว เจ็ดวันให้หลังพอดีมีศิษย์กลุ่มหนึ่งกลับสำนักพักรบพอดี ผู้นำคือเหอกวงพอดี พิธีฉลองก่อแก่นปราณ ก็กำหนดไว้ยามนั้นแล้วกัน”
สำหนักใหญ่เช่นเหยากวงนี้ ไม่ว่าเจอกับศึกเต๋ามารหรือวิกฤตอสูร ศิษย์ที่ส่งออกไปล้วนเป็นแค่ส่วนน้อย รากฐานสำนักจะได้ไม่ถึงกับเสียหาย ทว่าเพื่อขัดเกลาศิษย์ ศิษย์ที่ส่งออกไปรบจะสลับสับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนด ดังนั้นหลิวซางเจินจวินถึงได้พูดเช่นนี้
“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ” นักพรตฟางเหยาคารวะทีหนึ่ง แล้วหันหน้าสั่งการนักพรตฝูหมิงไปสองสามคำ นักพรตฝูหมิงก็ถอยลงไป
หลิวซางเจินจวินไม่พูดมากอีก หยุดเฝ้าชมพร้อมเสวียนหั่วเจินจวิน
นิมิตบนฟ้าดำเนินไปสามวันเต็มๆ ถึงค่อยๆ ซ่านไป ฟ้าครามเมฆขาว กระจ่างสดใส ทว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ที่ดุจดั่งมีดุจดั่งไม่มีกลับปกคลุมไปทั่วเขาชิงมู่ เนิ่นนานไม่จางหาย
ครั้งนี้ ศิษย์เหยากวงนับหมื่นพันกลับไม่ขยับเขยื้นแล้ว ต่างยื่นคอยาวมองตาปริบๆ พวกเขาแปลกใจจริงๆ ว่าตกลงเขาชิงมู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงมีนิมิตฟ้าปรากฏขึ้นสองครั้งติดต่อกัน
นักพรตฟางเหยาก็ไม่เร่งให้เหล่าศิษย์แยกย้ายไป เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นรอคอยอย่างอดทน
เพียงแต่ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณบางส่วนค่อนข้างแปลกใจเหตุการณ์ทางนั้น อย่างไรเสียนอกจากเจ้าสำนักและผู้เฒ่าไม่กี่คนที่ดูแลเรื่องจิปาถะในสำนัก ผู้เฒ่าที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตนเอง ไม่รู้ว่ายังมีนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักอีกคนหนึ่งพักอยู่ที่เขาชิงมู่
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น รู้สึกเพียงว่าดวงตากระจ่าง สรรพสิ่งในสายตานางยิ่งชัดเจนขึ้นกว่าเดิม กระทั่งของบางสิ่งที่มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิงยามสร้างรากฐาน
ในห้องศิลา เนื่องจากมีปราณวิญญาณในฟ้าดินล่องลอยอยู่อย่างเข้มข้น ทำให้สว่างไสวยิ่งนัก ในแสงสว่างสามารถเห็นวงแสงเป็นวงๆ โบยบินอยู่
ก้มหน้ากวาดมองไป รอบตัวถูกล้อมด้วยปราณวิญญาณที่รวมกันเป็นหมอกควันห้าสี ผีเสื้อวิญญาณหลายตัวโบยบินเริงรำล้อมรอบโคนผมนาง
มั่วชิงเฉินยืนขึ้นมา ตามที่นางยืนขึ้นมานี้ หมอกควันห้าสีที่ก่อตัวขึ้นพวกนั้นซ่านไปในทันที แม้แต่ผีเสื้อวิญญาณที่ร่ายรำอยู่ก็กลายเป็นแสงวิญญาณหายเข้าเกศา
มั่วชิงเฉินพ่นลมหายใจออกยาวๆ ปราณสีขาวที่พ่นออกมากลับเหมือนมังกรแหวกว่ายสองตัว วนเวียนอยู่กลางอากาศเปล่งเสียงคำรามแผ่วเบา จากนั้นหายไปท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของนาง
เพียงแค่ก้าวตามสบาย พลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยนอยู่ในกายก็กระตุ้นจนแขนเสื้อพัดขึ้นโดยไร้ลม แสงวิญญาณระยิบระยับ
ที่แท้ นี่ก็คือพลังของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ!
มั่วชิงเฉินทอดถอนใจในความโชคดีที่หนีรอดจากนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณและอสูรปีศาจหลายต่อหลายครั้งในอดีต
อารมณ์ของนางไม่เคยสงบเช่นยามนี้มาก่อน ขั้นตอนการก่อแก่นปราณรวมทั้งการทดสอบจิตมาร แม้ยังอยู่คาตากลับราวกับกั้นไว้ด้วยผ้าบางๆ ไม่ก่อให้เกิดคลื่นใดๆ ในทะเลสาบแห่งจิตใจแล้ว
จนกระทั่งแสงวิญญาณทั้งหมดในห้องศิลากระจายหายไปหมด กลับคืนสภาพปกติไม่มีอะไรประหลาดเช่นเดิม ผมสยายออกทำให้มั่วชิงเฉินดูแล้วผิวพรรณดั่งหยก แสงกระจ่างสดใสเก็บเข้าร่างกาย ความรู้สึกอัศจรรย์นี้ถึงค่อยๆ หายไป กลับสู่โลกมนุษย์
มั่วชิงเฉินฝีเท้ากระฉับกระเฉง ผลักประตูศิลาเดินออกไป
เงยหน้ากวาดมองห้องศิลาที่หลัวเตี๋ยจวินอยู่ ห้องว่างเปล่าคนจากไปนานแล้ว
เดินออกจากถ้ำ แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าและอากาศที่ชดชื่นถาโถมเข้ามา พร้อมด้วยกลิ่นดอกไม้จางๆ
“ยินดีกับคุณหนูที่ก่อแก่นทองสำเร็จ!” เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งที่เฝ้าอยู่นอกห้องศิลาคารวะพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าต่างเต็มไปด้วยความยินดี
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างอ่อนโยน จากนั้นทอดสายตามองไป หลัวเตี๋ยจวินยืนอยู่ไม่ห่างออกไปพอดี นางก็เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้วเช่นกัน
“สหายเต๋าหลัว” มั่วชิงเฉินยิ้ม
หลัวเตี๋ยจวินเดินเข้าไปใกล้ก้าวหนึ่งว่า “สหายเต๋ามั่ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกเราแทบจะก่อแก่นปราณในเวลาเดียวกัน”
“เอ่อ ไม่คิดว่าจะบังเอิญเพียงนี้?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย ต้องรู้ว่านักบำเพ็ญเพียรคนหนึ่งทะลวงแก่นทอง อย่างน้อยหนึ่งปีครึ่งปี อย่างมากสามถึงห้าปี ไม่อาจชี้ชัดได้
เพราะนางพรสวรรค์ด้อย กินโอสถลับตระกูลหวังยืดเวลาการก่อแก่นปราณ ใช้เวลาสามปีเต็มๆ ถึงสำเร็จในที่สุด ยังนึกว่าหลัวเตี๋ยจวินไม่ก็สำเร็จนานแล้ว ไม่ก็ล้มเหลวแล้ว ไม่คิดว่านางก็เพิ่งก่อแก่นปราณเช่นกัน
หลัวเตี๋ยจวินยิ้มแล้ว ดูแล้วละมุนกว่ายามสร้างรากฐานสักหน่อยว่า “ใช่ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยทำให้เสียเวลาเล็กน้อย ยังดีในที่สุดก็นับว่าสำเร็จแล้ว เร็วกว่าเจ้าสามวัน”
สามวัน เช่นนี้แสดงว่านิมิตฟ้าก่อแก่นปราณของนางเพิ่งซ่านไป ของตนก็มาอีกแล้ว?
เหล่าศิษย์ที่เฝ้าดูนิมิตฟ้าก่อแก่นปราณนั้น คงงงงันแล้วกระมัง?
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋าหลัว เราก่อแก่นปราณติดๆ กัน ความเคลื่อนไหวไม่น้อยอาจารย์อาเจ้าสำนักและผู้เฒ่าทุกคนเกรงว่าจะรออยู่ข้างนอกแล้ว เราออกไปก่อนเถอะ”
หลัวเตี๋ยจวินแม้เป็นนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก กลับก่อแก่นปราณในถิ่นของคนอื่น ย่อมพยักหน้าตกลงเป็นธรรมดา
มั่วชิงเฉินร่ายนิ้วมือตีเคล็ดวิญญาณออกหลายสาย เปิดผนึกค่ายกลของเขาป่าไผ่ช้าๆ
กลางป่าไผ่ที่เขียวชอุ่ม จู่ๆ ก็แยกทางเล็กที่ปูด้วยหินเขียวออกมาเส้นหนึ่ง
มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินสบตากันยิ้ม แล้วก้าวขึ้นทางเล็กพร้อมกัน
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว” เห็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงสองคนบินมาจากทิศทางของเขาชิงมู่อย่างช้าๆ ทุกคนตื่นเต้นยกใหญ่
นักบำเพ็ญเพียรหญิงที่บินมา คนหนึ่งใส่เครื่องแต่งกายของศิษย์หัวกะทิในสำนัก อีกคนหนึ่งกลับใส่ชุดกระโปรงสีเทา สำหรับศิษย์ส่วนใหญ่แล้ว ล้วนหน้าไม่คุ้น
ศิษย์ระดับหลอมลมปราณที่เพิ่งกราบเข้าสำนักเมื่อไม่กี่ปีก่อนเกาศีรษะว่า “ได้ยินมานานแล้วว่านักบำเพ็ญเพียรหญิงของเหยากวงน่าเกรงขาม ทว่านี่ก็เกินจริงไปหน่อยกระมัง นิมิตฟ้าก่อแก่นปราณที่หลายสิบปียังไม่ได้เห็นสักครั้ง ไม่คิดว่าจะเป็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงทั้งสิ้น”
ศิษย์ชายระดับหลอมลมปราณที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ เจ้าไม่เห็นคนที่ใส่ชุดเทาหรือ นางน่าจะไม่ใช่คนพรรคเหยากวงกระมัง ยี่สิบปีก่อน ท่านผู้เฒ่าลั่วหยางก็ก่อแก่นปราณแล้วมิใช่หรือ นี่เรียกว่าเสมอกันเข้าใจหรือไม่?”
“ใช่ ๆ ๆ ศิษย์พี่พูดถูก เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณผู้นี้คือใครล่ะ ไยจึงไม่เคยเห็นมาก่อน?” ศิษย์คนก่อนหน้ารีบฉวยโอกาสถาม
คำถามนี้ถามจนศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ชะงัก เขาก็มาก่อนเจ้าเด็กใหม่นี่เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ไหนเลยจะรู้มากปานนั้น จึงอ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออก
กลับได้ยินศิษย์คนหนึ่งตื่นเต้นอย่างมากว่า “ข้านึกออกแล้ว นั่นคืออาจารย์อามั่ว คืออาจารย์อามั่วไงล่ะ!”
“อาจารย์อามั่วคนไหน?” ศิษย์ไม่น้อยมองมาตาปริบๆ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ศิษย์ผู้นั้นตื่นเต้นจนริมฝีปากสั่นหมดแล้วว่า “ก็คือคนนั้นไง ศิษย์ก้นกุฏิของท่านผู้เฒ่าเหอกวง!”
เห็นทุกคนยังไม่มีปฏิกิริยา จึงกระทืบเท้าว่า “ไอยา ก็คือที่เยือนสำนักคนเดียวรับคำท้าดวลจากนิกายเหอฮวนเจ็ดคน นางในดวงใจของท่านผู้เฒ่าลั่วหยางไง!”
“อ่ะ!” ทีนี้ทุกคนได้สติขึ้นมาหมดแล้ว ผู้คนอึ้งอึงเซ็งแซ่ขึ้นมา
นี่คือบุคคลในตำนานเชียวนะ เรื่องราวพวกนั้นศิษย์ที่มาใหม่แต่ละคนล้วนได้ยินศิษย์เก่าในสำนักวิจารย์มาก่อน ท่านผู้นี้ดันไม่อยู่ในสำนักในตลอดหลายปีมานี้ อยากพบก็ไม่รู้จะไปพบที่ไหน วันนี้ในที่สุดก็ได้เห็นตัวเป็นๆ แล้ว!
มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินร่อนลงช้าๆ และเดินไปหาหลิวซางเจินจวินและทุกคนท่ามกลางสายตาเร่าร้อนของศิษย์นับหมื่นนับพัน
“ศิษย์กราบคารวะท่านอาจารย์ปู่ กราบคารวะท่านเสวียนหั่วเจินจวิน กราบคารวะท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักและท่านผู้เฒ่าทุกท่านเจ้าค่ะ” มัวชิงเฉินกราบลงไปช้าๆ
หลัวเตี๋ยจวินก็กราบคารวะลงไปว่า “ผู้น้อยขอคารวะท่านเจินจวินสองท่าน รบกวนที่สำนักท่านมานาน ซาบซึ้งยิ่งนัก”
พูดจบก็คารวะกึ่งหนึ่งต่อนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ยืนอยู่ข้างเจินจวินสองท่าน นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหล่านั้นคารวะกลับตามกัน
พวกเขาสามารถรับการกราบคารวะจากมั่วชิงเฉินได้ เพราะยังไม่จัดพิธีฉลองก่อแก่นปราณ นี่นับเป็นการคารวะจากผู้น้อยต่อพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายจากมั่วชิงเฉิน ทว่าหลัวเตี๋ยจวินกลับไม่ใช่คนในสำนัก ย่อมไม่อาจเสียมารยาทได้
“รีบลุกขึ้นเถอะ” หลิวซางเจินจวินอมยิ้มเอ่ยขึ้น
นักพรตฟางเหยาก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่งว่า “ศิษย์น้องมั่ว ต่อไปเจ้าจะเรียกข้าว่าอาจารย์อาเจ้าสำนักไม่ได้แล้วนะ พิธีฉลองก่อแก่นปราณของเจ้า กำหนดไว้อีกสี่วันให้หลัง พอดีศิษย์พี่เหอกวงก็จะเร่งกลับมาด้วย”
ได้ยินว่าอาจารย์สามารถกลับมาร่วมพิธีฉลองก่อแก่นปราณของตน มั่วชิงเฉินรู้สึกปิติจากใจ ยังไม่ทันได้ตอบก็ได้ยินหลิวซางเจินจวินว่า “เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายไปเถอะ ชิงเฉิน เจ้าตามข้ามา ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอยากพบเจ้า”