พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 335 เข้าพำนักเขาลั่วเถา
มั่วชิงเฉินหันหน้าเข้าแท่นบูชา ผู้ที่นั่งอยู่ข้างบนล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดและระดับก่อแก่นปราณ ด้านหลังคือศิษย์ก้นกุฏิของเหล่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ
ยามที่นางนั่งคุกเข่า ที่ทุกคนเห็นมีเพียงเส้นผมดกดำดั่งหมึก รัดเกล้าดอกบัวเรียบสง่า และยามที่ลุกขึ้นมองมา บรรยากาศควบแน่นในทันใด เงียบสงัดไปชั่วขณะ
แววตาสดใสคุณธรรมสูงส่ง หิมะคลั่งน้ำแข็งเย็นงามหยดหยาด
เจินจวินระดับก่อกำเนิดสามท่านสีหน้านิ่งเรียบ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่กี่ท่านกลับเหม่อลอยไปชั่วสั้นๆ จากนั้นกลับมาสงบดังเดิม
ศิษย์ระดับสร้างรากฐานบางส่วนกลับมองมั่วชิงเฉินอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งเสียงกังวานของโส่วเต๋อเจินจวินดังขึ้น ถึงหน้าแดงหูแดงก้มหน้าลงไป
มั่วชิงเฉินถอนใจในใจเสียงหนึ่ง นางหลับตาก้มหน้า พยายามทำให้ตนดูเยือกเย็นขึงขังแล้ว ไม่คิดว่ายังมีศิษย์ระดับสร้างรากฐานเสียกิริยาจนได้
รูปโฉมนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะจริงๆ
ทว่าเมื่อนึกถึงว่าบัดนี้ตนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว คนระดับเดียวกันก็ไม่มีสีหน้าผิดปกติ จึงเยือกเย็นลง
“เอาล่ะ เสร็จพิธีแล้ว ข้ากลับไปก่อนแล้ว ศิษย์หลานเจ้าสำนัก งานฉลองต่อจากนี้เจ้ามาดำเนินต่อเถอะ”
เห็นโส่วเต๋อเจินจวินลุกขึ้น เจินจวินที่เหลืออีกสองท่านยืนขึ้นพร้อมกัน อมยิ้มพยักหน้าให้มั่วชิงเฉินแล้ว จากไปพร้อมกัน
บนลานกว้าง ในพริบตาวางเต็มไปด้วยโต๊ะยาวหยกเขียว อาหารถูกทยอยยกขึ้นมาดั่งสายน้ำไหล
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่อยู่ในที่นี้ไม่มีใครจากไป บัดนี้มั่วชิงเฉินเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักที่ศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับพวกเขาแล้ว ย่อมต้องนั่งด้วยกันสนุกกันสักครั้ง
ต่อให้ศิษย์บนลานกว้างยืดคอยาวมองดูอย่างไร นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งหลายยังคงบินสู่เขาชิงมู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน
มั่วชิงเฉินมาจากเขาชิงมู่ งานเลี้ยงรับรองนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณย่อมจัดไว้ที่นี่ เพียงแต่กลับไม่ใช่เขาป่าไผ่
นักบำเพ็ญเพียรหลังจากก่อแก่นปราณ ก็จะสามารถครอบครองยอดเขารองลูกหนึ่งเป็นแหล่งพำนัก ตั้งแต่เมื่อวานนักพรตฟางเหยาก็ส่งศิษย์ผู้ดูแลเชิญนางไปพบ ถามว่าเลือกที่ใดไว้
แม้มั่วชิงเฉินชินกับการอยู่เขาป่าไผ่ มีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นของที่นั่นรวมทั้งคนด้วย ทว่าตั้งแต่ผ่านการทดสอบจิตมารแล้ว กลับจืดจางไปมากแล้ว รู้ว่ากฎเป็นเช่นนี้ จึงเลือกขึ้นมาที่หนึ่งโดยไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ในใจไม่มีคลื่นลมแม้ต่อน้อย
ยอดเขารองที่นางเลือกค่อนข้างห่างไกลผู้คน และก็ไม่นับว่าใหญ่ ทัศนียภาพกลับดีมาก ดอกท้อบานสะพรั่งไปทั่วทุกแห่งหน
ยามที่นักพรตฟางเหยาถามชื่อยอดเขานั้น มั่วชิงเฉินจึงรื่นปากพูดออกมาสองคำว่า “ลั่วเถา” แล้วจากไปอย่างเนิบนาบท่ามกลางสายตาประหลาดของนักพรตฟางเหยา
ที่มั่วชิงเฉินคิดไว้กลับคือการหวังให้ต้นท้อเต็มภูเขานี้ถึงเวลาออกผลท้อเปล่งปลั่งออกมา อย่าเหมือนต้นท้อที่อยู่ในสวนยาพกพาของนางต้นนั้น อายุจะหมื่นปีอยู่แล้ว กลับมีแต่ดอกไม่ออกผล
ผู้คนร่อนลงช้าๆ ที่ทำให้มั่วชิงเฉินแปลกใจคือบนกำแพงภูเขาได้สลัก “ลั่วเถา” สองคำไว้แล้ว
แล้วก็มีนักบำเพ็ญเพียรหญิงจากเขารั่วสุ่ยท่านหนึ่งหัวเราะออกมาว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน ชื่อแหล่งพำนักเจ้า ก็สละสลวยทีเดียว”
พูดพลางเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนที่นิ่งเงียบมาตลอดปราดหนึ่งอย่างเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วหัวเราะต่อว่า “ศิษย์น้องชิงเฉินตั้งตามความรู้สึกใช่หรือไม่?”
นักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณท่านนี้มีสมญานามเต๋าว่าเหลียนเย่ว์ มั่วชิงเฉินไม่เคยเสวนามาก่อน
สามารถพูดได้ว่าในบรรดานักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณที่นางค่อนข้างคุ้นเคย คนหนึ่งคือนักพรตรั่วซี คนหนึ่งคือนักพรตจื่อซี
เพียงแต่น่าเสียดายที่นักพรตรั่วซียังรับมือวิกฤตอสูรอยู่ ส่วนนักพรตจื่อซีกลับเพราะการทะลวงก่อกำเนิดกักตนมาหลายปีแล้ว
เห็นนักพรตเหลียนเย่ว์แม้หยอกล้อ กลับไม่มีเจตนาร้ายอะไร มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบทีหนึ่งว่า “เพียงแต่ตั้งตามอารมณ์เท่านั้น หลังจากตั้งแล้วกลับเสียใจเล็กน้อยแล้ว ลั่วเถาลั่วเถา รอถึงหน้าเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ผลท้อที่ออกจากต้นท้อมากมายถึงเพียงนี้ คงไม่ตกใส่จนศีรษะข้าปูดไปหมดนะ”
ทุกคนต่างยิ้มออกมา
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกว่า “ซือจุน ศิษย์พี่ทุกท่าน เชิญด้านใน”
เขาลั่วเถาแม้อยู่ห่างไกลผู้คนไม่มีคนอาศัยอยู่มานาน สิ่งของที่ควรมีในที่พำนักของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกลับไม่ขาดสักอย่าง หลังจากที่นางตัดสินใจเลือกเมื่อวานแล้ว นักพรตฟางเหยาก็ส่งศิษย์มาทำความสะอาดรอบหนึ่ง สามารถเข้าอยู่ได้เลย
เพียงแต่มั่วชิงเฉินกลับจัดงานเลี้ยงไว้ด้านนอก ยามนี้ดอกท้อเต็มภูเขากำลังผลิดอกสวยงาม สีสันสดใสน่าประทับใจ ร่ำสุราชมดอกไม้ มีสบายอารมณ์กว่าอยู่ในถ้ำมาก
ที่จริงเพราะนางชินกับการอยู่เรือนไม้ไผ่ยามอยู่เขาป่าไผ่ ไม่ใช่ถ้ำและห้องศิลา
“ศิษย์น้องชิงเฉินเหมือนกับศิษย์พี่เหอกวง ต่างเป็นคนสุนทรีย์” นักพรตเหลียนเย่ว์นั่งลงตามสบาย เพ่งพิศดอกท้อสีแดงสีขาวสีอ่อนสีเข้มไกลสุดสายตา แล้วถอนใจว่า
มั่วชิงเฉินมองกู้หลีปราดหนึ่ง ระบายยิ้มว่า “ขอบคุณศิษย์พี่เหลียนเย่ว์ที่ชม สามารถเรียนความสุนทรีย์จากซือจุนได้สองสามส่วน ก็นับว่าศิษย์คนนี้ไม่ทำให้ซือจุนขายหน้าแล้ว”
นางยิ้มอย่างซุกซนเช่นนี้ มุมปากจึงเผยให้เห็นลักยิ้มคู่หนึ่ง ดวงตายิ้มพรายงามอย่างบอกใคร นักบำเพ็ญเพียรชายระดับก่อแก่นปราณไม่กี่คนรีบเบือนสายตาไป แอบสูดลมหายใจแล้วถึงหันกลับมา ในใจแอบคิดว่าวันหลังอย่างไรก็ห่างศิษย์น้องชิงเฉินที่เพิ่งเลื่อนขึ้นมาผู้นี้ให้ห่างหน่อยดีกว่า มิเช่นนั้นวันไหนเกิดเสียกิริยาเหมือนศิษย์ระดับสร้างรากฐานพวกนั้นขึ้นมา ก็ขายหน้าแย่แล้ว
มั่วชิงเฉินสีหน้าเยือกเย็น นางรู้ว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจิตใจเข้มแข็ง บัดนี้เพียงเพราะเพิ่งพบกัน ยังปรับตัวไม่ค่อยได้เท่านั้น ไม่สู้ประพฤติตนอย่างสง่าผ่าเผย รอทุกคนเห็นจนชินแล้ว ก็ย่อมไม่ต่างกับการมองคนอื่นแล้ว
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นอกจากคนสุดโต่ง น้อยนักที่จะเสียการควบคุมเพียงเพราะความงามอย่างเดียว อย่างไรเสียด่านการทดสอบจิตมารยามก่อแก่นปราณไม่ได้ผ่านมาเปล่าๆ
“ศิษย์น้องชิงเฉิน นี่สุราอะไรบ้าง?” ผู้ที่เอ่ยปากคือนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแห่งเขาหลิวหั่วท่านหนึ่ง สมญานามเต๋าน่าสนใจมาก เรียกว่าลวี่ซาน[1]
มั่วชิงเฉินมองสีหน้า ก็รู้ว่าเป็นคนรักสุรา ในใจกลับเกิดความรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ชี้ขวดน้ำเต้าสุราที่สีไม่ซ้ำกันแนะนำให้ทุกคนว่า “ที่บรรจุอยู่ในขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มนี่คือ ‘น้ำค้างลั่วเหมย’ ที่อยู่ในขวดน้ำเต้าสีเงินคือ ‘คลาดโลกีย์’ ที่อยู่ในไหนสุราสีน้ำตาลคือ ‘พรลมบูรพา’”
พรลมบูรพาเป็นสุราทิพย์ที่เตรียมไว้เป็นนิจในงานพิธีทั่วไป สนับสนุนโดยสำนัก ผู้ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ย่อมไม่ใส่ใจอยู่แล้ว สุราอีกสองชนิดนี่สิ ฟังชื่อสุราก็รู้สึกได้ถึงความสุนทรีย์ เพียงแต่บางคนรู้งูๆ ปลาๆ บางคนขมวดคิ้วคิดหนัก
นักพรตลวี่ซานกลับนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น จากนั้นเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “คือสุราเลิศรสในตำนานน้ำค้างลั่วเหมยใช่หรือไม่?” ไม่คิดว่าเสียงจะสั่นเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้า
ไม่คิดว่านักพรตลวี่ซานจะแหงนหน้าหัวเราะร่าขึ้นมา แม้แต่ดอกท้อบนต้นท้อรอบๆ ก็สั่นไม่หยุดเพราะเสียงหัวเราะของเขา ร่วงกราวลงมา
นักพรตลวี่ซานหัวเราะพอแล้ว มองขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มอย่างหลงใหลราวกับเพ่งพิศคนรัก ยากจะกลั้นความตื่นเต้นว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าก่อแก่นปราณได้ช่างเป็นเรื่องมงคลอย่างใหญ่หลวงจริงๆ เลย!”
มั่วชิงเฉินแอบเหลือกตา เรื่องมงคลอย่างใหญ่หลวง? นี่พูดถึงนางหรือว่าพูดถึงตัวเขาเองล่ะ?
บนใบหน้ากลับยิ้มระรื่นว่า “ศิษย์พี่ทุกท่านรีบนั่งเร็ว เชิญลิ้มรสน้ำค้างลั่วเหมยนี่กันเถอะ”
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเข้ามารินสุราให้ทุกคน นักพรตลวี่ซานยังหน้าตาระรื่นเล่าเรื่องเล่าของน้ำค้างลั่วเหมยให้คนอื่นฟัง เกี่ยวความสนใจของทุกคนขึ้นมา
“วันนี้ได้ศิษย์พี่ทุกท่านมาอวยพร เป็นโชคดีของชิงเฉิน ขอให้ทุกท่านดื่มจอกนี้ให้หมด” มั่วชิงเฉินยกจอกหยกเขียวขึ้นดื่มหมดจอก
มองดูสุราสีขาวนวลในจอก ปนสีชมพูน่าเย้ายวนจางๆ ทุกคนเลียปากอย่างไม่รู้ตัว แล้วดื่มหมดจอก
แล้วก็มีนักบำเพ็ญเพียรชายสองสามคนเอ่ยว่า “ยอดสุรา”!
มั่วชิงเฉินยื่นมือออก ริน ‘คลาดโลกีย์’ ให้จอกของกู้หลีและตนจนเต็มด้วยตนเองว่า “ซือจุน ขอบคุณการสั่งสอนของท่านมานานปี สุราจอกที่สองนี้ ศิษย์ขอคารวะท่านเจ้าค่ะ”
“ดี” กู้หลีอมยิ้มดื่มลงไป จากนั้นเพียงแต่นั่งดูเงียบๆ อยู่ข้างๆ
มั่วชิงเฉินหยิบขวดน้ำเต้าสุราเดินไปหาเยี่ยเทียนหยวนว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ชิงเฉินได้ท่านช่วยไว้หลายครั้ง ได้เพียงใช้สุราแทนความรู้สึก”
เห็นมั่วชิงเฉินเช่นนี้ มีนักบำเพ็ญเพียรชายสองสามคนสบตากันปราดหนึ่งสีหน้าคลุมเครือ กลับก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดูการกระทำของศิษย์น้องชิงเฉินท่านนี้ ก็เหมือนคนจิตใจเปิดเผยทีเดียว หรือว่าข่าวลือจะผิดพลาด?
เยี่ยเทียนหยวนจ้องขวดน้ำเต้าสีเงินในมือมั่วชิงเฉิน กลับจู่ๆ ก็เอ่ยปากว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน ไม่ทราบใช้สุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าสีเหลืองได้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินมือหยุดกึก มองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง เห็นเขาสีหน้ายังคงเยือกเย็น เหมือนพูดออกมาตามอารมณ์เท่านั้น”
“เออใช่ ศิษย์น้องชิงเฉิน สุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าสีเหลืองนี้ชื่ออะไร เจ้ายังไม่ได้บอกเลยนะ” นักพรตลวี่ซานเอ่ย
มั่วชิงเฉินพลางหัวเราะพลางรินสุราให้เยี่ยเทียนหยวนว่า “นี่เป็นสุราที่ชิงเฉินหมักออกมาตามอารมณ์ ไม่มีชื่อ ศิษย์พี่ท่านไหนชอบเชิญตามสบายได้”
มั่วชิงเฉินพูดจาละมุน มุมปากอมยิ้มไว้ตลอดเวลา กินดื่มผ่านไปพักหนึ่ง ทุกคนล้วนรู้สึกว่าศิษย์น้องใหม่ท่านนี้นิสัยดี ไม่มีความเย่อหยิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงของนักบำเพ็ญเพียรอัจฉริยะบางคนหลังเลื่อนขั้น
ดังนั้นต่างแอบพยักหน้า เป็นศิษย์ที่ศิษย์พี่เหอกวงสั่งสอนออกมาจริงๆ ดูลักษณะกิริยา ช่างคล้ายกันอะไรเช่นนี้ ทว่าเทียบกับนักพรตเหอกวงแล้ว มีความเป็นมนุษย์ปุถุชนเพิ่มขึ้นมา
รอสุราผ่านไปสามรอบ อาหารผ่านไปห้าชนิด ทุกคนต่างลุกขึ้นร่ำลาตามๆ กัน
กู้หลีมองมั่วชิงเฉินที่แก้มแดงเรื่อเพราะดื่มสุรา เดินเข้าไปว่า “ชิงเฉิน อาจารย์กลับเขาป่าไผ่ก่อนแล้ว เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อย พรุ่งนี้ข้ามไปคราหนึ่ง”
“อืม ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้า เห็นเยี่ยเทียนหยวนเดินห่างออกไปอย่างเงียบๆ จึงเอ่ยปากเรียกว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง โปรดหยุดก่อน”
เยี่ยเทียนหยวนและกู้หลีหยุดฝีเท้าพร้อมกัน เยี่ยเทียนหยวนหยุดอยู่ตรงนั้น กู้หลีกลับจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
“ศิษย์น้องชิงเฉิน ไม่ทราบเรียกลั่วหลางด้วยเหตุอันใด?” เยี่ยเทียนหยวนหมุนตัวมา มองมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินขยับมือปรากฏกระดานหมากรุกขึ้นอันหนึ่งว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ชิงเฉินอาศัยกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวนี้รอดพ้นอันตรายมาได้หลายครั้ง ต้องขอบคุณท่านมาก วันนี้ในที่สุดก็ของคืนเจ้าของเดิมได้เสียที”
เยี่ยเทียนหยวนกวาดมองกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวปราดหนึ่ง กลับไม่รับ ตรงกันข้ามสีหน้ากลับยิ่งเย็นชาขึ้น
มั่วชิงเฉินไม่อยากให้บรรยากาศกระอักกระอ่วน จึงยิ้มว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านคงไม่ได้รังเกียจที่ศิษย์น้องคืนให้ช้านะ?”
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปาก สีหน้าสงบว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็เก็บกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวไว้เถอะ ข้าหลอมสมบัติวิเศษที่คล้ายกันไว้อีกชิ้นหนึ่งแล้ว”
คำพูดนี้ไม่รู้จริงเท็จ มั่วชิงเฉินกลับพบว่าเยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเคร่งเครียด โคนหูกลับแดงขึ้นเงียบๆ แล้ว จึงรีบเบือนสายตาไปข้างๆ ว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องก็หน้าหนาขอรับไว้แล้ว”
“เช่นนั้น หากศิษย์น้องชิงเฉินไม่มีอะไรแล้ว ลั่วหยางขออำลา” เยี่ยเทียนหยวนพูดจบกวาดมองแก้มแดงเรื่อของมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วหลุบตาลงหันหลังเดินไป
มั่วชิงเฉินถอนใจในใจทีหนึ่ง กลับเดินขึ้นไปก้าวหนึ่งว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ที่ชิงเฉินเรียกท่าน ยังมีเรื่องจะขอร้อง”
“ไม่ทราบศิษย์น้องมีเรื่องอันใดจะให้ลั่วหยางไปทำ?” เยี่ยเทียนหยวนหมุนตัวมา ในดวงตามีประกายแสงแวววาว
มั่ววชิงเฉินชี้เก้าอี้ไม้ไผ่ข้างๆ ว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยางนั่งลงก่อนเถอะ เรื่องนี้ชิงเฉินต้องพูดอย่างละเอียด”
เยี่ยเทียนหยวนได้ยินดังนั้นจึงนั่งลงมา กลับห่างจากมั่วชิงเฉินระยะหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเหลือบมองขวดน้ำเต้าสีเหลืองปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว แล้วถึงมองไปที่เยี่ยเทียนหยวนว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ชิงเฉินอยากขอให้ท่านช่วยหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาให้ข้า”
——
[1] ลวี่ซาน หมายถึง เขาเขียว