พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 339 ธนูเดียวสยบปฐพี
“เป็นอันใดหรือ ยังไม่รีบเก็บกวาดสนามรบอีก” มั่วชิงเฉินถูกพวกเขามองจนงงงัน สั่งคำหนึ่งแล้วก้มตัวเก็บศพของหมาป่าอเวจีขั้นห้าสามตัวขึ้นมา รอกลับค่ายแล้วจะได้เลือกวัตถุดิบที่ใช้ได้จากตัวมัน
“อ่ะ ขอรับ!” ทุกคนตอบรับเสียงดังดุจเพิ่งตื่นจากฝัน เก็บกวาดอย่างรวดเร็วขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็เก็บกวาดเสร็จยืนอยู่หน้ามั่วชิงเฉินแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาปฏิบัติต่อตนต่างจากยามที่เพิ่งมาเล็กน้อยแล้ว ทว่าก็ไม่ได้คิดมาก เรียกไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาว่า “ไปเถอะ”
พูดจบก้าวขึ้นไปบินล่วงหน้าไปก่อน
คนที่เหลือรีบตามไป กลับแอบส่งเสียงทางจิตกันสองคนบ้างสามคนบ้าง
“ศิษย์พี่หลิว เจ้าเห็นชัดหรือไม่ ที่อาจารย์อาชิงเฉินใช้ตบหมาป่า ยังคงเป็นก้อนอิฐก้อนนั้นสินะ?”
หลิวต้าฝานค้อนคนผู้นั้นปราดหนึ่งว่า “ตาไม่มีแวว อาจารย์อาชิงเฉินเลื่อนขั้นแล้วอาวุธเวทยังสามารถเลื่อนขั้นตามได้ด้วยหรืออย่างไร ข้าได้ยินมาว่า ก้อนอิฐที่อาจารย์อาชิงเฉินใช้เมื่อครู่เรียกว่าแหวกฟ้า เพราะท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งเห็นอาจารย์อาชิงเฉินเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่อายุน้อยที่สุดของเหยากวง อุตส่าห์ทำขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ…”
นักบำเพ็ญเพียรอีกสองคนศีรษะชิดเข้าด้วยกัน
“ศิษย์น้องหวังเอ๊ย อย่าเห็นอาจารย์อาชิงเฉินเป็นนางในฝันอีกเลย พลังทำลายล้างสูงเหลือเกิน…”
นักบำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งหน้ามุ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว หลังจากกลับไป ข้าจะเตือนสติศิษย์พี่น้องคนอื่นเอง…”
ดังนั้น การปรากฏตัวครั้งแรกของแหวกฟ้า ดับเปลวไฟน้อยๆ แสนอ่อนแอของ ‘นงคราญงามงอน คู่ครองบุรุษ’ ที่ลุกขึ้นในใจนักบำเพ็ญเพียรไม่น้อยนับจากที่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมั่วชิงเฉินลงได้สำเร็จ
มั่วชิงเฉินโบกมือ ทุกคนหยุดลงโดยพลัน
ชายหนุ่มสองคนปรากฏขึ้นเหนือเมฆด้านหน้า ทั้งสองคนล้วนใส่ชุดขาวพลิ้วไหวยืนตัวสูงโปร่ง คนหนึ่งในนั้น มองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าเย็นเยือก
มั่วชิงเฉินคิดได้ทันที คนที่สีหน้าเย็นชาผู้นั้นไม่คิดว่าจะเป็นพี่รองของจิ่วเย่ว์! ดูท่าทางเขาเช่นนี้ ต้องรู้แล้วว่าการตายของจิ่วเย่ว์และชีซีเกี่ยวข้องกับตนเองแน่นอน นี่คงมาคิดบัญชีแล้วกระมัง?
ทว่า ยามอยู่ที่เขากว่างหานนางไม่ได้พบหน้ากับคนผู้นี้ชัดๆ เขารู้ได้อย่างไรกันนะ?
ความคิดนี้แวบผ่านใจนาง บนใบหน้ากลับนิ่งเฉย มองอีกฝ่ายเงียบๆ
“พี่เทียนเหิง คุณหนูหงซิ่วแห่งเผ่าจิ้งจอกแดงส่งข่าวมาขอความช่วยเหลือ เรารีบไปเถอะ คนพวกนี้ ไว้ค่อยจัดการทีหลังก็ไม่สาย” ชายอีกคนหนึ่งสีหน้ากระวนกระวายเล็กน้อย
พี่รองของจิ่วเย่ว์ไม่ขยับเขยื้อน ในตาราวกับจับเป็นน้ำแข็งว่า “เทียนซู เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าขอฆ่านางก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“พี่เทียนเหิง…”
พี่รองของจิ่งเย่ว์ยกมือขึ้นว่า “เทียนซู เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้ว นางก็คือหนึ่งในคนที่ฆ่าจิ่งเย่ว์และชีซี อีกทั้งยังขโมยบัวหิมะเหมัต์ของคุณหนูไป!”
“อะไรนะ เช่นนั้นเราจับนางไว้ก่อน!” เทียนซูสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
“ไม่จำเป็น นางหนูน้องที่เพิ่งก่อแก่นปราณคนหนึ่ง อย่างไรข้าก็ยังรับมือได้ เจ้ารีบไป หากสายแล้วพวกคุณหนูหงซิ่วเกิดเรื่องจะทำเช่นไร?” เทียนเหิงโบกมือ สองตากลับไม่ออกห่างจากหน้าของมั่วชิงเฉิน สายตาเย็นเยียบ
“ได้ เช่นนั้นพี่เทียนเหิงเจ้าระวังตัวด้วย” เทียนซูแปลงเป็นลำแสงสายหนึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เทียนเหิงเห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าสงบ จึงหัวเราะอย่างรังเกียจว่า “ยัยเด็กบ้า เจ้าก็ใจเย็นดีนี่นา อีกไม่นาน ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติว่าอะไรที่เรียกว่าตายทั้งเป็น!”
มั่วชิงเฉินกลับไม่สนใจเขา หากแต่เอ่ยกับนักบำเพ็ญเพียรด้านหลังว่า “พวกเจ้าตามคนเมื่อครู่นั่นไป เขาต้องไปรับมือนักพรตลั่วหยางเป็นแน่ ระวังอย่าเข้าใกล้เกินไป อีกสักครู่ข้าก็ตามไป”
ภารกิจของทีมของพวกเยี่ยเทียนหยวนก็คือกำจัดจิ้งจอกหางแดง และสถานที่ก็คือทิศทางที่ผู้ชายเมื่อครู่ไปพอดี
“หัวหน้าทีม…” คนไม่น้อยมองดูผู้ชายที่อุดทางไปแล้วลังเลเล็กน้อย
หลิวต้าฝ่านแผดเสียงตะคอกว่า “ฟังคำสั่งหัวหน้าทีม พวกเราอยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยังไม่สู้ไปช่วยหนุนศิษย์ร่วมสำนัก ไป”
ไม่ผิดตามที่คาดไว้ ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงได้ยินดังนั้นเพียงแค่ฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ไม่ได้ขัดขวางศิษย์เหยากวงพวกนั้น เป้าหมายของเขามีเพียงคนเดียว ก็คือมั่วชิงเฉิน!
“ยัยเด็กบ้า โอหังนักนะ!”
มั่วชิงเฉินเป็นห่วงสถานการณ์ทางด้านเยี่ยเทียนหยวนนั่น ขี้เกียจพูดมากกับปีศาจจิ้งจอกนี้ เพียงแต่หัวเราะเย้ยเสียงหนึ่งแล้วโยนก้อนอิฐออกไป
ก้อนอิฐโตขึ้นกลางอากาศจนถึงขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ ทับตรงลงไปที่ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิง
ปีศาจจิ้งจองเทียนเหิงในมือปรากฏขวานรบขึ้นด้ามหนึ่ง สะบัดมือควงหมุนกลางอากาศสองสามรอบ คมขวานแสงเย็นแวบผ่าน จามลงที่ภูเขาลูกย่อมที่กดทับลงมาตรงหน้าดังโครม
เสียงโครมสนั่นหวั่นไหว ภูเขาลูกย่อมสั่นขึ้นมา
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่น สองมือพลิกแพลงพร้อมกันตีเคล็ดวิญญาณออกมาเป็นสายๆ หายเข้าไปในแหวกฟ้า ภูเขาย่อมๆ แม้ไม่ใหญ่ขึ้นอีก กลับกดทับไปที่ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงทีละนิดๆ
“ฮึเจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว!” ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ปากท่องมนต์ ทันใดนั้นขวานรบแวบแสงวิญญาณขึ้น ด้านขวานยาวขึ้นในทันใด ราวกับเสาค้ำฟ้าต้นหนึ่ง ยันภูเขาลูกย่อมไว้
ภูเขาลูกย่อมออกแรงทับลงมาภายใต้การควบคุมของมั่วชิงเฉิน ส่วนขวานรบยันขึ้นบนอย่างสุดชีวิตภายใต้การควบคุมของปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิง ชั่วขณะหนึ่งเกิดยื้อยุดกันขึ้นมา
มั่วชิงเฉินแบ่งมือออกข้างหนึ่งหยิบโอสถเสริมวิญญาณสองสามเม็ดกลืนลง นางเพิ่งฆ่าหมาป่าอเวจีขั้นห้าสามตัวสูญเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย ส่วนปีศาจจิ้งจอกนี้อยู่ยอดขั้นห้า หากยื้อยุดกันต่อไปดวลพลังวิญญาณกัน สุดท้ายคนที่เสียเปรียบยังคงเป็นตน
มั่วชิงเฉินอยากรีบรบรีบจบ อีกฝ่ายก็ไม่อยากยืดเยื้อเช่นกัน ขณะเดียวกับที่ต้านแหวกฟ้าไว้ก็สะบัดแขนเสื้อ ลูกศรที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสองดอกบินออกมา
มั่วชิงเฉินง้างธนูใส่ศร ศรทองคำบินออกไปดังสวบ ตรงเข้าไปชนกับหนึ่งในศรแขนเสื้อ ผ่าศรแขนเสื้อนั่นเป็นสองซีก ต่อจากนั้นพุ่งเข้าหาปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงโดยที่อานุภาพไม่ลด
ศรแขนเสื้ออีกดอกหนึ่งมาถึงตรงหน้าแล้วเด้งขึ้นโดยพลัน ตีลังกาหลังอย่างสวยงามกลางอากาศหลบพ้นไป
ส่วนปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงกลับเพราะต้องใช้ขวานรบต้านภูเขาที่อัดลงมาจากข้างบนไม่อาจขยับได้ มองดูศรทองคำที่มาอย่างดุดันแล้วอ้าปากพ่นปราณสีขาวออกสายหนึ่ง
ปราณสีขาวสายนั้นดุจดั่งมังกรแหวกว่ายก็ไม่ปานห่อหุ้มศรทองคำไว้ ศรทองคำแข็งเป็นน้ำแข็งเหมันต์ในชั่วพริบตา แล้วกลับหัวบินมาทางมั่วชิงเฉินอย่างไม่คาดคิด
มั่วชิงเฉินตื่นตะลึงเล็กน้อย ศรทองคำที่ถูกน้ำแข็งเหมันต์หุ้มไว้ราวกับถูกตัดขาดจิตวิญญาณที่เชื่อมกับตน สูญเสียพลังควบคุมต่อมันอย่างคิดไม่ถึง
นางกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี มุมปากอมยิ้มเยาะเย้ยแล้วง้างธนูออก ศรสีฟ้าน้ำแข็งดอกหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น ยิงออกไปดังสวบ
ที่แปลกคือหัวศรสีฟ้าน้ำแข็งดอกนั้นมีเปลวไฟสีเดียวกันโลดเต้นอยู่ หากไม่สังเกตยังนึกว่าเป็นแสงวิญญาณที่กะพริบจากตัวลูกศรเอง
ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงเห็นศรเหมันต์สีฟ้าที่บินมาจู่ๆ ก็หน้าถอดสี เหมือนนึกเรื่องที่น่าสยดสยองถึงเพียงไหนขึ้นมาได้ จึงไม่มีเวลาต้านแหวกฟ้าอีก ดึงขวานรบออกแล้วหันหลังหนี
มั่วชิงเฉินดูเหมือนเดาปฏิกิริยาของเขาได้นานแล้ว ไหมเกล็ดน้ำแข็งอัญเชิญออกมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร แปลงเป็นกำแพงเกล็ดบานหนึ่งขวางเส้นทางของเขาไว้อย่างเงียบๆ
ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงหันหลังมา มองศรเหมันต์สีฟ้าที่บีบใกล้เข้ามาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ขวานรบหลุดออกจากมือจามเข้าไปอย่างดุดัน
เพียงแต่เพิ่งแตะถูกเปลวไฟบนศรเหมันต์สีฟ้า ขวานรบนั่นก็แข็งเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา ยามเมื่อแตะถูกศรเหมันต์เสียงดังปังขึ้นเสียงหนึ่ง ระเบิดออกกลายเป็นเศษน้ำแข็งนับไม่ถ้วน
“ปะ…เปลวน้ำแข็งเหมันต์!” ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงทันเพียงตะโกนไม่กี่คำนี้ออกมา ก็ถูกศรเหมันต์ยิงทะลุ กลายเป็นน้ำแข็งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าในชั่วพริบตา แม้แต่โลหิตร้อนแรงที่หน้าอกก็ไม่ทันได้พ่นออกมา หากแต่กลายเป็นลิ่มน้ำแข็งสีแดงเสียแล้ว
มั่วชิงเฉินไม่แปลกใจเลย เปลวน้ำแข็งเหมันต์ในฐานะไฟอัศจรรย์ในฟ้าดินอันดับสี่พลานุภาพย่อมไม่ธรรมดา ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงแม้จะบอกว่าอยู่ยอดขั้นห้า ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ได้ทะลวงถึงขั้นหก หากมีเปลวน้ำแข็งเหมันต์ในมือแล้วประมือกับนักบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันแล้วยังสู้ไม่ได้ นางก็ไม่ต้องออกมาขายหน้าแล้ว
ผู้ชายที่ถูกผนึกด้วยน้ำแข็งกลายเป็นจิ้งจอกสีขาวดุจหิมะตัวหนึ่งในพริบตา ตกลงจากเหนือเมฆ มั่วชิงเฉินไม่ได้สนใจ ก้าวขึ้นไหมเกล็ดน้ำแข็งแล้วแปลงเป็นลำแสงสายหนึ่งมุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ที่นั่นคือทุ่งหญ้าผืนหนึ่ง ทอดสายตามองไปไม่มีสิ่งปิดบังเลยแม้แต่น้อย ศิษย์เหยากวงชุดเขียวกลุ่มหนึ่งกำลังโรมรันพันตูกับจิ้งจอกแดงฝูงหนึ่ง ยามที่จิ้งจอกแดงพวกนั้นเคลื่อนไหวรอบตัวมีแสงสีแดงรายล้อมรางๆ มั่วชิงเฉินมองเพียงปราดเดียวก็พบว่า พลังของศิษย์สำนักตนดูเหมือนจะได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
คนสามคนกำลังล้อมเยี่ยเทียนหยวนไว้กลายเป็นการโจมตีขนาบทั้งสองข้าง สองคนเป็นหญิงสาวใส่ชุดแดงทั้งคู่ อีกคนหนึ่งคือชายขุดขาวที่ปีศาจจิ้งจอกเทียนเหิงเรียกว่าเทียนซู
ชายชุดขาวผู้นั้นและหญิงสาวชุดแดงคนหนึ่งในนั้นก็ช่างเถอะ ล้วนเป็นอสูรปีศาจขั้นห้า ทว่ายังมีหญิงสาวชุดแดงคนหนึ่งกลับอยู่ขั้นหก
บนพื้นมีจิ้งจอกหกหางสีแดงตัวหนึ่งนอนอยู่ ดูท่าทางเหมือนตายแล้ว อยู่ขั้นหกเช่นกัน
เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งก้าวเข้าระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง ก็ฆ่าอสูรปีศาจขั้นหกตัวหนึ่งแล้ว ยามนี้ต้องรับมืออสูรปีศาจสามตัวพร้อมกันอีก ต่อให้พลังความสามารถโดดเด่นสักเพียงใด ก็ต้องรับมือไม่ทั่วถึงบ้างแล้ว
ชุดเขียวถูกฟันขาดหลายแห่ง เผยให้เห็นรอยเลือดที่น่าสยดสยอง ตามการขยับตัวของเขา ยังมีโลหิตสดๆ หยดลงไม่หยุด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ดวงตาของเขายังคงสว่างสุกใสดุจแสงดาว เย็นชาบีบคั้นคน
ตาของมั่วชิงเฉินกระจ่างผิดคนธรรมดา กวาดมองปราดเดียวก็เห็นสภาพของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว
“พวกเจ้าระวังหน่อย ข้าต้องการจับเป็น!” หญิงสาวชุดแดงขั้นหกจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงฉะอ้อน
เสียงนั้นฉะอ้อนอ่อนหวาน ศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้เยี่ยเทียนหยวนที่สุดได้ยินแล้วเข่าอ่อน ก็ถูกจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งฉวยโอกาสกัดคอขาดแล้ว
มั่วชิงเฉินหยัดยืนอยู่กลางอากาศ ได้ยินดังนั้นสีหน้าเย็นชาลงทันที ปีศาจจิ้งจอกพวกนี้ ไร้ยางอายจริงๆ ด้วย
แสงเย็นเยียบแวบผ่านตานาง ธนูชิงอิ่นปรากฎขึ้นในมือ จากนั้นง้างธนูปล่อยมือ ไม่คิดว่าจะยิงศรออกมาสามดอกพร้อมกัน
ศรทองคำเล็งตรงไปที่ชายชุดขาว ศรไม้ท้อตรงไปยังหญิงสาวชุดแดงขั้นห้า ส่วนศรเหมันต์ที่เปลวน้ำแข็งเหมันต์โลดเต้นอยู่พุ่งตรงไปยังหญิงชุดแดงขั้นหก
ปล่อยศรสามดอกออกแม้เกิดเสียงแหวกฟ้าขึ้น ทว่านางยืนอยู่บนฟ้าสูงไกลออกไปอย่างเงียบๆ หนึ่งคนสามจิ้งจอกบนพื้นกำลังสู้กันอย่างดุเดือด พฤติกรรมนี้ก็คือการยิงศรลับอย่างดั้งเดิมที่สุด
ศรทองคำดังฉึกเสียงหนึ่งยิงทะลุชายชุดขาว ศรไม้ท้อมาถึงหน้าหญิงชุดแดงแล้วดอกท้อนับไม่ถ้วนบานออกล้อมนางไว้ภายในทันที ด้วยความตื่นตระหนกนางรีบหาทางวิ่งหนี กลับพบว่าในทะเลบุปผาไฟโหมกระหน่ำลุกไหม้ขึ้น
หญิงสาวชุดแดงขั้นหกได้ยินความเคลื่อนไหวจึงหลบออกข้างๆ อย่างระแวง หลบธนูเหมันต์ได้อย่างเฉียดฉิว ทว่าเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่โลดเต้นอยู่บนหัวลูกศรแม้ไม่ถูกตัวนางกลับทำให้อากาศรอบๆ เย็นลงกะทันหัน ความเคลื่อนไหวชะลอลงทันที
โอกาสเช่นนี้มีหรือเยี่ยเทียนหยวนจะปล่อยผ่านไป ห่วงกลมสีทองที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวไฟสีแดงซัดลงที่หน้าอกหญิงสาวอย่างไม่ปราณี หญิงสาวผู้นั้นกรีดร้องเสียงหนึ่งแล้วล้มลงพื้น ไม่ถึงชั่วครู่ไฟก็โหมลุกไหม้บนร่าง เมื่อเปลวไฟมอดดับก็เห็นศพของจิ้งจอกไหม้เป็นตอตะโกตัวหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้ามองไป ก็เห็นมั่วชิงเฉินเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็งบินเข้ามาแล้ว