พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 342 เจ้าปีศาจนามลั่วเฟิง
เสียงระฆังเช่นนี้ สิบกว่าปีมานี้ดังขึ้นเพียงครั้งเดียว จอมราชาปีศาจไป่หลี่เช่ว์และไป๋เซียวเทียนร่วมมือกันมาลอบโจมตีค่าย ฝ่ายตนเสียหายอย่างสาหัส และก็นับแต่ครั้งนั้น ในค่ายอย่างน้อยต้องมีเจินจวินระดับก่อแก่นปราณสี่ท่านนั่งบัญชาการ
ที่ต้วนชิงเกอจำได้ฝังใจเพียงนี้ ก็เพราะปีนั้นนางผ่านศึกสาหัสครั้งนั้น ในฐานะนักบำเพ็ญเพียรสายเยียวยาไม่ได้หลับตาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง ต้วนชิงเกอสีหน้าซีดเซียวว่า “ชิงเฉิน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรงถึงกับเรียกชื่อของมั่วชิงเฉินโดยตรง
“ไป ไปดูกัน” มั่วชิงเฉินลากต้วนชิงเกอวิ่งออกไป
และยามนี้ได้มีนักบำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วนรุดไปจวนเจ้าเมืองแล้ว
“ชิงเกอ” เพิ่งถึงจวนเจ้าเมือง ก็เห็นนักพรตลั่วซีพุ่งออกมา
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” ต้วนชิงเกอเห็นนักพรตลั่วซีสีหน้าดูไม่ดี จึงเอ่ยปากถาม
นักพรตลั่วซีดึงต้วนชิงเกอไว้ว่า “ชิงเกอ ในค่ายกำลังจะถอนกำลังแล้ว อีกสักครู่เจ้าตามอยู่หลังอาจารย์ อย่าห่างแม้เพียงก้าวเดียว”
“หา?” ต้วนชิงเกอคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะรุนแรงปานนี้ อุทานออกมาเบาๆ
ยามนี้เองนักพรตลั่วซีเห็นมั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ ฝืนยิ้มว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน อีกสักครู่ออกจากเมืองแล้วเราก็ตรงไปพรรคเหยากวง เจ้าระวังตัวให้มาก ศิษย์พี่เกรงว่าจะไม่ว่างดูแลเจ้าแล้ว”
“ขอบคุณศิษย์พี่ลั่วซีที่เตือน ชิงเฉินจะระวังเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ลั่วซี ไม่ทราบสหายเต๋าหลัวผู้นั้นยังอยู่ในจวนหรือไม่?” มั่วชิงเฉินได้ยินว่าจะถอนกำลังฉุกเฉิน รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี บนใบหน้ากลับยังคงรักษาความสงบ
“คือสหายเต๋าหลัวที่ถูกชิงตู้เจินจวินเรียกไปถามสินะ? ยามที่เราถูกเรียกไปในตำหนักเห็นนางยืนอยู่หลังชิงตู้เจินจวิน หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ชิงตู้เจินจวินน่าจะปกป้องนางอย่างดี เจ้าไม่ต้องคิดมาก” นักพรตลั่วซีเอ่ย
เป็นเช่นนี้ก็ดี หลัวเตี๋ยจวินแม้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทว่าอย่างไรเสียก็ได้รับบาดเจ็บ
ระหว่างที่คุยกันนักบำเพ็ญเพียรระดับสูงในจวนเจ้าเมืองก็เดินออกมาแล้ว ต่างคนต่างเรียกศิษย์และรุ่นหลังของตนเริ่มออกจากเมือง
นักบำเพ็ญเพียรมากมายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยสิ้นเชิง ถูกเร่งให้เดินสู่ประตูเมืองเหมือนไล่แกะ ชั่วขณะหนึ่งสถานการณ์วุ่นวาย จิตใจผู้คนพรั่นพรึง
“อาจารย์อาชิงเฉิน เจ้าจะไปไหน?” เห็นมั่วชิงเฉินหันกลับวิ่งย้อนกลับไป ต้วนชิงเกอรีบร้อนถามขึ้น
“ข้าจะไปหาศิษย์พี่ลั่วหยาง” มั่วชิงเฉินยังไม่สิ้นเสียง คนก็ไม่เห็นเงาแล้ว
ต้วนชิงเกอขยับฝีเท้า กลับถูกนักพรตลั่วซีดึงไว้ว่า “ชิงเกอ รีบตามอาจารย์ไปเถอะ ชักช้าเกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว”
“แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร ชิงเฉินและลั่วหยางต่างเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ พวกเขาอยู่ด้วยกันยังสามารถช่วยเหลือกันได้ เจ้าไปแล้วจะไปเพิ่มความวุ่นวายหรือ?” นักพรตลั่วซีดุว่า
มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นลงสองสามทีมาถึงโรงหมอ ข้างในไม่มีคนแล้ว เห็นชัดว่าหลังจากได้ยินเสียงระฆังแล้วก็ต่างวิ่งออกไป
เดินตรงขึ้นไปชั้นสอง กวาดมองเพียงปราดเดียวก็วิ่งไปที่ห้องห้องหนึ่ง
ก็มิใช่นางล่วงรู้อนาคตหรอกนะ หากแต่ห้องอื่นประตูห้องเปิดอ้ากว้างอยู่ มีเพียงห้องนั้นที่ปิดอยู่
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านอยู่ข้างในหรือไม่?” มั่วชิงเฉินเคาะประตู
เห็นข้างในไม่มีความเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินยกเท้าถีบประตูออก บุกเข้าไปดู เยี่ยเทียนหยวนใส่เสื้อข้างในสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หลับตาสนิท
มั่วชิงเฉินวิ่งเข้าไป กลับมีกำแพงที่มองไม่เห็นบานหนึ่งดีดนางออกมา ทว่าเพราะการกระทำนี้ เขตอาคมที่มองไม่เห็นนั่นเริ่มกะพริบแสงวิญญาณขึ้น เยี่ยเทียนหยวนลืมตาโดยพลัน เห็นเป็นมั่วชิงเฉินร่างกายที่ตึงเกร็งถึงผ่อนคลายลง โบกมือถอนค่ายกลป้องกันกันเสียงทิ้ง
“ศิษย์น้องชิงเฉิน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เยี่ยเทียนหยวนหยิบชุดเขียวที่แขวนอยู่บนฉากกั้นใส่เข้าไป สีหน้าที่ขาวซีดดูออกว่าอาการบาดเจ็บของเขายังไม่หาย
มั่วชิงเฉินกลับไม่มีเวลาสนใจอะไรมากมายแล้ว เดินเข้าไปสองสามก้าวจับข้อมือของเยี่ยเทียนหยวนไว้ว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง รีบไปกับข้า”
ร่างกายสัมผัสกัน ความรู้สึกประหลาดเช่นนั้นถาโถมมา มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากล่างอย่างแรง สมองโล่งขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนหยวนก็ขมวดคิ้ว กลับไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตามออกมา
มั่วชิงเฉินพาเยี่ยเทียนหยวนพลางวิ่งไปทางประตูเมืองพลางอธิบายว่า “เพิ่งได้รับข่าว นักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดในเมืองต้องถอนกำลังอย่างเร่งด่วน เราออกจากเมืองแล้วตามขบวนตรงกลับเหยากวง”
“ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินเกิดเรื่องแล้ว?” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว
มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นพยักหน้าวา “อืม ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินท่านดับสูญแล้ว”
ทั้งสองคนต่างเป็นคนฉลาดเฉลียว ตามหลักการดับสูญของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่ง ก็ไม่ถึงกับทำให้นักบำเพ็ญเพียรทั้งค่ายต้องถอนกำลังอย่างเร่งด่วน หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ การถอนกำลังครั้งนี้เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวกับคำพูดที่ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินให้พวกเขานำกลับมา
เจ้าปีศาจปรากฏต่อโลก
หรือว่า เจ้าปีศาจจะล้างเมือง?
นอกเมือง เจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่านต่างคนต่างอัญเชิญสมบัติวิเศษเหินหาวออกมา พริบตาเดียวก็ใหญ่ขึ้นมหึมา ข้างบนยืนเต็มไปด้วยนักบำเพ็ญเพียร
“เร็วหน่อย เคลื่อนไหวเร็วหน่อย” มีนักบำเพ็ญเพียรเร่งรัดเสียงดังเป็นระยะ
สมบัติวิเศษเหินหาวของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ความเร็วย่อมเร็วกว่าของนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานและก่อแก่นปราณมาก มั่วชิงเฉินเห็นต้วนชิงเกอยืนอยู่บนสมบัติวิเศษของหรูอวี้เจินจวิน กวักมือเรียกนางด้วยสีหน้าร้อนรน
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง เราขึ้นไปกัน” มั่วชิงเฉินลากเยี่ยเทียนหยวนไว้แล้วโคจรพลังวิญญาณแผ่วเบา เท้าเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็งบินขึ้นไป
รออีกประมาณหนึ่งเค่อ ในเมืองค่อยๆ ไม่มีคนวิ่งออกมาอีกแล้ว ชิงตู้เจินจวินที่เป็นผู้นำตะโกนเสียงหนึ่ง เจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่านขับเคลื่อนสมบัติวิเศษเหินหาวขึ้นพร้อมกัน บินไปทางทิศใต้ด้วยความเร็วสูง
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะโอหังกลับดังกังวานมาจากด้านหลัง
เจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่านหน้าถอดสี สมบัติวิเศษเหินหาวที่เหยียบอยู่ยิ่งเร็วขึ้นอีก
ทว่าต่อให้เร็วเพียงใด เสียงหัวเราะข้างหลังกลับเหมือนเงาตามตัว อีกทั้งยังโอหังขึ้นเรื่อยๆ
เสียงหัวเราะพุ่งตรงขึ้นชั้นเมฆ ทะเลเมฆาเหนือศีรษะเริ่มม้วนทะยาน มีเสียงฟ้าร้องดังมารางๆ
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ยืนอยู่บนสมบัติวิเศษเหินหาวตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า
ต่อจากนั้นเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลานุภาพทั่วทุกสารทิศบีบเข้ามาใกล้ มีคนที่สมาธิด้อยหน่อยกรีดร้องขั้น แล้วร่วงหล่นจากสมบัติวิเศษเหินหาวโดยตรง
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสีหน้าซีดเผือดเช่นกัน ฝืนไว้อย่างลำบาก
“อืม” เยี่ยเทียนหยวนครางเสียงหนึ่ง เหงื่อเย็นหยดใหญ่ๆ ไหลลงมาตามใบหน้าที่คมคาย
มั่วชิงเฉินกัดฟัน ไม่พูดพร่ำทำเพลงกุมมือที่เย็นเฉียบของเขาไว้แล้วถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป ใครจะรู้ว่าภายใต้อิทธิพลการบีบคั้นของพลานุภาพทั่วสารทิศทำให้สูญเสียการควบคุม เพลิงแก้วใจกระจ่างที่อยากลองอยู่แล้วก็ทะลักตามเข้าไป
ทั้งสองคนตัวสั่นขึ้นพร้อมกัน แล้วเบือนสายตาออก
มั่วชิงเฉินเดาได้นานแล้วว่าเยี่ยเทียนหยวนมีเพลิงวาสนาตะวัน ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองคนเข้าใกล้กันก็เกิดจากไฟอัศจรรย์เป็นเหตุ
ทว่านางก็เข้าใจข้อหนึ่ง เมื่อไรที่เพลิงวาสนาตะวันและเพลิงแก้วใจกระจ่างสัมผัสกัน จะมีผลที่คาดไม่ถึงต่อการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
ความรู้สึกแปลกประหลาดในยามนี้แม้ทำให้นางอยากจะหันหลังหนีไปแทบทนไม่ไหว ทว่าเพื่อให้เยี่ยเทียนหยวนหายดีโดยเร็ว เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีเวลาสนใจแล้ว
“ชิง…ชิงเฉิน เจ้าปล่อยมือ…” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยปากอย่างลำบาก
“อย่าพูด” มั่วชิงเฉินกุมมือของเขาแน่นกว่าเดิม เพลิงแก้วใจกระจ่างทะลักเข้าร่างตามพลังวิญญาณที่ไม่ขาดสาย แม้แก้มยังดุจไฟ สีหน้ากลับมุ่งมั่น
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากแน่น ตัวแข็งเกร็งไม่กล้าขยับเขยื้อน
สมบัติวิเศษของเจินจวินระดับก่อกำเนิดหน้าท่านจู่ๆ ก็หยุดลง
มั่วชิงเฉินมองไปข้างหน้า เห็นเพียงกลางอากาศด้านหน้าสุด มีคนลอยตัวอยู่คนหนึ่ง
คนผู้นั้นใช่ชุดยาวสีฟ้าคราม ผมยาวสยายอย่างตามอารมณ์ยืนอยู่ตรงนั้น ปากแดงฟันขาว ระบายรอยยิ้มถากถางที่มุมปาก ดูรูปโฉม ไม่คิดว่าจะเป็นเด็กหนุ่มรูปงามเป็นหนึ่งไม่มีสองอายุสิบห้าสิบหกปี
“พวกเจ้าคิดจะไปไหน?” เด็กหนุ่มเอ่ยปากเนิบนาบ เป็นเพียงคำถามนิ่งเรียบแท้ๆ เมื่อเข้าหูแต่ละคนกลับราวกับฟ้าร้องก็ไม่ปาน
“หึๆๆๆ ในเมื่อตอบไม่ได้ ไม่สู้ก็อยู่ที่นี่ เล่นเป็นเพื่อนข้าให้หมดเถอะ” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็หัวเราะขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาดทันที นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมากมายอดก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งไม่ได้
“ท่านผู้อาวุโสลั่วเฟิง ท่านปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็เป็นการละเมิดคำสัญญาแล้ว!” ชิงตู้เจินจวินตะโกนเสียงกังวาน นักบำเพ็ญเพียรทุกคนได้สติกลับมาทันที
เด็กหนุ่มกระดกมุมปากขึ้นว่า “ไอ้หนูเจ้าเป็นใคร?”
“ผู้น้อยชิงตู้” ชิงตู้เจินจวินคำนับทีหนึ่ง หลังกลับยืดตรงผึ่งผาย
เด็กหนุ่มเบือนหน้าไป มองไปที่เจินจวินที่เหลือไม่กี่ท่านว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าล่ะ?”
“ผู้น้อยจูลี่”
“ผู้น้อยหรูอวี้”
“ผู้น้อยหมิงวู่”
“ผู้น้อยจื่อซู”
“หึๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะฟู่เสียงหนี่ง “นี่ก็แปลกแล้ว พวกเจ้าไม่กี่คนนี้ข้าไม่รู้จักสักคน เคยให้สัญญาไว้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ท่านผู้อาวุโสลั่วเฟิง ปีนั้นท่านเคยสัญญากับท่านผู้อาวุโสเหอเซียวหยางไว้…” ชิงตู้เจินจวินเพิ่งเอ่ยปาก กลับถูกเด็กหนุ่มขัดจังหวะ
“ใช่นั้นหรือ ไยข้าถึงจำไม่ได้ หรือไม่พวกเจ้าก็ไปตามเหอเซียงหยางมา ข้าลองถามดู?”
พวกชิงตู้เจินจวินมองหน้ากัน สีหน้าเย็นชาลง
เรื่องในวันนี้ ดูท่าไม่อาจจบดีๆ แล้ว หากศึกนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยง เช่นนั้นก็พยามยามปกป้องเมล็ดของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเหล่านี้เท่าที่จะเป็นไปได้ก็แล้วกัน
เจินจวินห้าท่านคิดได้ดังนี้ จึงขับเคลื่อนสมบัติวิเศษเหินหาวพร้อมกัน
นักบำเพ็ญเพียรที่ยืนอยู่ด้านบนรู้สึกหัวหมุนวิงเวียนทันที ร่วงตกลงไป
โชคดีที่พวกเขาล้วนผ่านศึกมานับร้อย อัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวของตนออกยืนขึ้นไปทันที
“รีบไป!” จูลี่เจินจวินแผดเสียงตะโกนเสียงหนึ่ง
เหล่านักบำเพ็ญเพียรต่างได้สติกลับมา ขี่อาวุธเวทเหินหาวหนีออกไปรอบทิศ
“คิดหนี?” เด็กหนุ่มกระดกมุมปาก จากนั้นแขนเสื้อสีฟ้าครามปลิดปลิว วงวิญญาณหลายสายบินออกตกไปรอบทิศ
นักบำเพ็ญเพียรที่หนีไปรอบทิศชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นทันที ถูกดีดกลับไป
“ตัดหญ้าถอนโคน คำพูดของมนุษย์อย่างพวกเจ้า ข้าเรียนรู้ตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว” เด็กหนุ่มพูดจบสะบัดแขนเสื้ออีกที คมมีดวิญญาณหลายสายซัดไปที่เจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่าน
เจินจวินห้าท่านยืนแยกออกตามตำแหน่งห้าธาตุ ขณะเดียวกันก็ต่างคนต่างอัญเชิญสมบัติวิเศษออกมา
สมบัติวิเศษของชิงตู้เจินจวินคือแส้ขนหางจามรี บัดนี้บินออกจากมือ ยาวขึ้นถึงหลายสิบจั้งกลางอากาศ ไหมเงินโบยบินเต็มฟ้า พันคมมีวิญญาณพวกนั้นไว้
หมิงวู่เจินจวินกระบี่แสงอาทิตย์ฟันมังกรไฟออกสายหนึ่ง ตะปบไปที่เด็กหนุ่ม
หรูอวี้เจินจวินมือกอบแจกัน อีกมือหนึ่งดึงกิ่งหลิวออกสะบัด ละอองแสงน้ำหายเข้ากลางมังกรไฟ
มังกรไฟสายนั้นราวกับถูกราดน้ำมันบนกองไฟ อานุภาพยิ่งรุนแรง แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่ม เสียงคำรามมังกรดังขึ้นรางๆ
แสงสีเหลืองบินออกจากมือจูลี่เจินจวินไม่หยุด กลายเป็นค่ายยันต์กลางอากาศ หากเข้าใกล้ได้ก็จะพบว่ากลางค่ายกลไอเข่นฆ่ากระเ**้ยนกระหือรือ ยากหยั่งอานุภาพ
การจู่โจมอย่างสุดกำลังของเจินจวินระดับก่อกำเนิดห้าท่าน ก็เพียงแค่ทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่งว่า “แสงหิ่งห้อยก็กล้ามาเปล่งแสงแข่งกับจันทรา!”
เพิ่งสิ้นเสียงก็พ่นกระแสอากาศสีเขียวสายหนึ่งออกจากปาก
กระแสอากาศสายนั้นเจอลมก็ขยาย ไม่คิดว่าจะกลายเป็นคมมีดวายุอันมหึมา พรึบเสียงหนึ่งแทงทะลุมังกรไฟที่ทะยานมา จากนั้พลานุภาพยิ่งรุนแรง พัดจนค่ายยันต์ร่วงไปตามๆ กัน
“เร็ว ดูเร็ว กองทัพอสูรปีศาจ!” เหล่านักบำเพ็ญเพียรไม่มีทีให้หนีได้ ต่างมองศึกที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนี้ตาปริบๆ ทว่าเสียงที่ยิ่งสะท้านฟ้าสะเทือนดินลอยมาจากที่ไกลๆ