พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 346 ความโปรดปรานของอสูรปีศาจจำแลง
นักพรตจื่อซวินยิ้มหวานดังบุปผาชัดๆ มั่วชิงเฉินกลับเส้นเอ็นที่ขมับกระตุก
นางไม่ควรต่อว่าสวรรค์เพียงเพราะต้องอยู่ห้องเดียวกันกับเยี่ยเทียนหยวนตามลำพัง ดูสิกรรมตามทันแล้วอย่างไรล่ะ
“สหายเต๋าชิงเฉิน สถานการณ์ข้างนอกเป็นเช่นไรล่ะ?” นักพรตหมิงโหรวก็เดินหน้ามาก้าวหนึ่ง ถามเสียงอ่อนเสียงหวาน
มั่วชิงเฉินกวาดมองทุกคนที่สีหน้าต่างๆ กันไปปราดหนึ่ง สยายยิ้มขึ้นที่มุมปากว่า “อสูรปีศาจจำแลงนั่นยังเฝ้าอยู่ข้างนอก เกรงว่าจะรู้ว่าพวกเราเหล่านักบำเพ็ญเพียรหลบอยู่ที่นี่ กำลังรอเราไปรนหาที่ตายเองน่ะ”
“ไม่คิดว่าพวกเราออกไปสำรวจล้วนทุลักทุเลดูไม่ได้ สหายเต๋าทั้งสองก็สบายกว่ามากแล้ว” นักพรตจื่อซวินปิดปากหัวเราะ
มั่วชิงเฉินก็หัวเราะนิ่งเรียบว่า “นี่ก็อาศัยวิธีการเล็กน้อย ชิงเฉินส่งอสูรวิญญาณไปสำรวจ”
เมื่อพูดออกไป บรรยากาศหยุดนิ่งครู่หนึ่ง นักพรตจื่อซวินถึงยิ้มหวานว่า “สหายเต๋าชิงเฉินยังมีอสูรวิญญาณด้วย ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูด เพียงแต่รักษารอยยิ้มตามมารยาทเท่านั้น
ส่วนคนอื่นจะคาดเดาอสูรวิญญาณของนางเช่นไร นั่นก็ไม่เกี่ยวกับนางแล้ว
“สหายเต๋าโยวหย่วน ข้างนอกมีอสูรปีศาจจำแลงคอยสอดแนมตลอดเวลา พวกเราควรทำเช่นไรล่ะ?” หมิงโหรวมองนักพรตโยวหย่วนตาปริบๆ
เมื่อนางพูดเช่นนี้ ทุกคนล้วนมองไปที่นักพรตโยวหย่วน เพราะนักพรตโยวหย่วนมีตบะสูงที่สุดในบรรดาทุกคน
พลังเป็นใหญ่ ในสภาพการณ์เช่นนี้ยิ่งเห็นได้ชัด
นักพรตโยวหย่วนยิ้มเบาๆ ว่า “โยวหย่วนเพิ่งอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรปีศาจจำแลง ตามที่ข้าน้อยดู ก็ได้แต่รอแล้ว”
คำพูดนี้เท่ากับไม่ได้พูด ทว่าบัดนี้กลับไม่มีวิธีอื่นแล้ว
ได้ อย่างไรก็นั่งสมาธิต่อเถอะ
ทุกคนเริ่มนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอีก แม้อยู่กันใกล้ถึงเพียงนี้จะรู้สึกอึดอัดบ้าง เมื่อไม่มีทางเลือกก็ได้แต่ยอมๆ กันไป วันเวลาผ่านไปทีละวันๆ
ภายใต้ข้อเสนอของนักพรตโยวหย่วน จากหนึ่งวันออกไปสำรวจครั้งหนึ่งเปลี่ยนเป็นหนึ่งเดือนสำรวจครั้งหนึ่ง ถึงตอนหลังเห็นอสูรปีศาจจำแลงนั่นดูเหมือนจะงัดข้อกับทุกคนเสียแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นครึ่งปีหนึ่งครั้งเสียเลย
พริบตาเดียวสามปีก็ผ่านไปแล้ว
“สถานการณ์เป็นเช่นไร สหายเต๋าทั้งสอง?” เห็นมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนกลับมา ทุกคนล้อมเข้ามา
มั่วชิงเฉินรู้ว่ายามที่มีนักบำเพ็ญเพียรหญิงอยู่ เยี่ยเทียนหยวนแทบจะแสร้งทำเป็นไม่มีตัวตน จึงได้แต่เอ่ยปากว่า “ไม่ไหว อสูรปีศาจนั่นยังอยู่”
“เฮ่อ นั่นมันเดรัจฉานอะไรกันแน่ แค้นฝังใจถึงเพียงนี้!” นักพรตเชียนหานถือพัดพับเคาะฝ่ามือ
นักพรตโยวหย่วนลุกขึ้นมา กวาดมองทุกคนว่า “สหายเต๋าทุกท่าน เราถูกกักอยู่ที่นี่สามปีแล้ว ไม่ทราบทุกท่านมีแผนการณ์เช่นไร?”
มั่วชิงเฉินใจเต้น เขาพูดเช่นนี้ หรือว่าคิดจะจากไปแล้ว?
ยังคงเป็นนักพรตจื่อซวินเอ่ยปากก่อนว่า “อยู่ในถ้ำซอมซ่อเช่นนี้ช่างน่าอึดอัดจริงๆ ข้าไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วันเดียวแล้ว”
นักพรตเชียนหานคลี่พัด พัดอย่างสบายอารมณ์ว่า “แม่นางจื่อซวินพูดได้ไม่ผิด อยู่ที่นี่ ช่างเหงาจริงๆ เลย” พูดพลางดวงตาดอกท้อบินไปบินมาบนใบหน้าจื่อซวินและหมิงโหรวสองคน
นักพรตหมิงโหรวก้มหน้าลงว่า “หมิงโหรวฟังสหายเต๋าทุกท่าน”
เห็นสายตาของนักพรตโยวหย่วนมองมา เยี่ยเทียนหยวนกำลังจะเปิดปาก กลับถูกมือมั่วชิงเฉินที่พ่ายไว้ด้านหลังกระตุกทีหนึ่ง
“ชิงเฉินและศิษย์พี่ย่อมฟังสหายเต๋าทุกท่านอยู่แล้ว”
“ศิษย์น้อง ลั่วหยางไม่อยากอยู่กับพวกนาง” เสียงเยี่ยเทียนหยวนดังขึ้นในสมองของมั่วชิงเฉินมาติดๆ น้ำเสียงแม้สงบเย็นชา มั่วชิงเฉินที่อยู่ด้วยกันเช้าเย็นมาสามปีแล้วกลับฟังออกถึงความหงุดหงิดที่แฝงอยู่
มั่วชิงเฉินน้ำตาไหลเงียบๆ นางว่าแล้วว่าพี่ชายท่านนี้ยังคงปากร้ายเย่อหยิ่งเช่นเดิม บัดนี้สถานการณ์ข้างนอกยังไม่กระจ่าง ต่อให้ไม่ยอมเช่นไรก็ต้องรอดูเหตุการณ์หน่อยสิ
“ศิษย์พี่ ข้างนอกมีอสูรปีศาจจำแลง อย่างไรเราก็เคลื่อนไหวพร้อมกันก่อนดีกว่า หากต่อไปมีโอกาสค่อยจากไปก็ไม่สายนี่นา” มั่วชิงเฉินปลอบประโลมว่า
อยู่ด้วยกันนานแล้วนางถึงพบว่า ความคิดของเยี่ยเทียนหยวนไร้เดียงสามาก สีหน้าแบบคนไม่สนิทอย่าเข้ามาใกล้ที่จะทำให้คนแข็งตายนั่น เป็นเพียงการพรางตัวของเขาเท่านั้น แน่นอนนางก็เข้าใจ ความไร้เดียงสาเช่นนี้เป็นเพียงความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ ไม่ใช่โง่เขลา เพียงแต่มีบางเวลากลับทำให้คนรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
นักพรตโยวหย่วนฟังคำตอบของทุกคนเสร็จ ยิ้มแผ่วเบาว่า “ไม่ปิดสหายเต๋าทุกท่าน ถูกกักอยู่ในถ้ำนี้มาสามปี โอสถและหินวิญญาณของข้าน้อยใช้จนเหลือไม่เท่าไรแล้ว หากอสูรปีศาจจำแลงนั่นไม่ไปเสียที ยื้ออยู่ที่นี่ตลอดไป เป็นการสิ้นเปลืองเวลาเกินไป”
คำพูดนี้พูดได้ถูกต้อง หลังจากนักบำเพ็ญเพียรเลื่อนขั้นแก่นทอง โอสถที่สามารถกินได้เดิมทีก็น้อยจนน่าสงสารอยู่แล้ว ที่เห็นค่อนข้างบ่อยก็คือโอสถเจิงหยวนที่สำหรับเพิ่มตบะ ทว่าจะบอกว่าพบบ่อย ก็เป็นเพียงในเชิงเปรียบเทียบเท่านั้น
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณส่วนใหญ่อยู่ในสภาพขาดแคลนโอสถตลอดทั้งปี ต่อให้เป็นศิษย์สำนักใหญ่ โอสถเจิงหยวนก็ไม่พอใช้สำหรับการบำเพ็ญเพียรขั้นพื้นฐาน
ทั้งหกคนอยู่ในถ้ำนี้ ยามเริ่มแรกกินโอสถเจิงหยวนบำเพ็ญเพียร ผ่านไประยะหนึ่งก็มีคนใช้หินวิญญาณบำเพ็ญเพียรโดยตรงแล้ว ถึงระยะนี้ ทุกคนทั้งมั่วชิงเฉินด้วยล้วนใช้หินวิญญาณบำเพ็ญเพียรรวม หินวิญญาณย่อมหมดอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา
มั่วชิงเฉินในฐานะนักหลอมโอสถแม้มีสวนยาพกพา ทว่าวัตถุดิบในการหลอมโอสถเจิงหยวนนั้นไม่ครบ ในนั้นมีหญ้าทิพย์ชนิดหนึ่งชื่อว่าเมล็ดไร้รักยิ่งทำให้ปวดศีรษะ เมล็ดที่เกิดจากหญ้าทิพย์ชนิดนี้ใช้หลอมโอสถได้ ทว่าการปลูกปกติกลับไม่สามารถทำให้มันมีเมล็ดได้ มีเพียงผ่านกรรมวิธีลับที่ไม่สืบทอดถึงจะได้เมล็ดของมันมา
กรรมวิธีลับเช่นนี้มีเพียงคนของนิกายอิ่นตันมี ต่อให้นักหลอมโอสถใหญ่เช่นกู้หลีก็ไม่รู้ ที่นิกายอิ่นตันสามารถอยู่ในหนึ่งของสี่สำนักแปดนิกายได้ ก็อาศัยโอสถเจิงหยวนนี่แหละ
สภาพจิตใจมั่วชิงเฉินกลับสงบมาก แต่ก่อนนางไม่ขาดโอสถ อีกทั้งโอกาสวาสนามากมาย เป็นเหตุให้ตบะเพิ่มเร็วเกินไป แม้จะบอกว่าก่อแก่นปราณได้อย่างราบรื่น ทว่าสายตาของนางไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงหน้า นางยังอยากก่อกำเนิด ถอดดวงจิต แยกวิญญาณ ไปดูทัศนียภาพของโลกวิญญาณ
เดิมทีรากวิญญาณก็ไม่ดีอยู่แล้ว อีกทั้งตบะเพิ่มเร็วเกินไป นางไม่แน่ใจว่าวันหลังจะมีอาการแทรกอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะอาจารย์ยังเคยเตือนสติมาก่อน บนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรช้าหน่อยเร็วหน่อยไม่เป็นไร ที่สำคัญคือต้องเดินต่อไปให้ตลอดรอดฝั่ง
สามปีมานี้ก่อนอื่นคือกินโอสถเจิงหยวน หลังจากโอสถหมดแล้วก็เริ่มใช้หินวิญญาณบำเพ็ญเพียร แม้ก้าวหน้าช้า กลับสบายใจมาก
โอสถพรั่งพร้อมก็ตั้งใจเพิ่มตบะ โอสถขาดแคลนก็ขัดเกลาพื้นฐานอย่างตั้งใจ จากที่มั่วชิงเฉินดู หากไม่เพราะมีคนพวกนั้นอยู่ ต่อให้ถูกกักอยู่ในถ้ำก็ไม่มีอะไร นางไม่เชื่อหรอกว่าอสูรปีศาจจำแลงนั่นจะเฝ้าได้ถึงหลายสิบปี
ทว่าที่เมื่อครู่นางเห็นพ้องกับคำพูดของทุกคน กลับทำเพื่อไม้สะกดวิญญาณ
ปีนั้นกลับจวนมั่วเอาดินสามเฉียนจากบ้านเกิดใส่ไว้ในมุกอิน รักษาวิญญาณที่เหลือของท่านปู่ไว้ได้ชั่วคราว ภายในไม่กี่สิบปีจะไม่ดับสลาย ทว่าหากหาไม้สะกดวิญญาณไม่พบล่ะก็ ยังคงหนีจุดจบของวิญญาณแตกดับไม่พ้น
ที่เรือนอีกหลังหนึ่งของตระกูลฮวาหลัวอวี้เฉินให้ม้วนคัมภีร์หยกที่เขียนข่าวคราวของไม้สะกดวิญญาณกับนางไว้ เดิมทีนางนึกว่ามีเวลาล้นเหลือ ใครจะรู้ว่าที่ตามมาติดๆ ก็คือวิกฤตอสูรที่โหดร้าย พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าปีอีกแล้ว นางรอได้ ท่านปู่กลับรอไม่ได้อีกแล้ว
บัดนี้ไปหาไม้สะกดวิญญาณ ต่อให้หาไม่พบนางยังมีเวลาไปหาอีก หากรออีกสิบปีแปดปี กลับไม่มีโอกาสแล้ว
“หากสหายเต๋าทุกท่านต่างคิดจะออกไป ไม่สู้พรุ่งนี้พวกเราก็แลกกันสักตั้งเป็นเช่นไร?” นักพรตโยวหย่วนเอ่ยปากถาม
“พรุ่งนี้?” นักพรตจื่อซวินตกใจ
นักพรตโยวหย่วนอมยิ้มพยักหน้าว่า “หลายปีมานี้เราล้วนออกไปทุกครึ่งปี อสูรปีศาจจำแลงพบกฎเกณฑ์ข้อนี้นานแล้ว มันคงไม่คิดว่าวันนี้เราเพิ่งออกไปสำรวจเสร็จพรุ่งนี้ก็ปรากฏตัวอีกแน่นอน ถ้ามันเลิ่นเล่อล่ะก็ ไม่แน่โอกาสของเราก็มาถึงแล้ว
คำพูดของนักพรตโยวหย่วนได้รับความเห็นพ้องจากทุกคน พวกเขาล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ และก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อถึงปานนั้น ย่อมไม่ปรึกษาล่วงหน้าว่าใครถนัดอะไร เพียงแต่รอให้พรุ่งนี้มาถึงอย่างเงียบๆ
“ศิษย์น้อง” คืนมืดคนเงียบ เยี่ยเทียนหยวนส่งเสียงทางจิตเงียบๆ
“มั่วชิงเฉินขนตาสั่นแล้วสั่นอีกกลับไม่ได้ลืมขึ้น ถามว่า “เป็นอันใดหรือ ศิษย์พี่?”
“สิ่งนี้ให้เจ้า”
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น เห็นเยี่ยเทียนหยวนยื่นวัตถุขนาดเท่าฝ่ามือมาชิ้นหนึ่ง เป็นแผ่นบางๆ ไม่เหมือนสมบัติวิเศษกลับเหมือนยันต์มากกว่า
“นี่คือสมบัติวิเศษป้องกันชนิดหนึ่งที่ลั่วหยางหลอมออกมาได้โดยบังเอิญ ต้านการจู่โจมได้เพียงครั้งเดียว ทว่าพลังการป้องกันแข็งแกร่งกว่าสมบัติวิเศษทั่วไปมาก” เยี่ยเทียนหยวนส่งเสียงทางจิตต่อ
มั่วชิงเฉินลังเลเล็กน้อยว่า “เช่นนั้นท่าน…”
เยี่ยเทียนหยวนยัดใส่มือนางโดยไม่ยอมให้นางอธิบายใดๆ แล้วหดมือกลับราวกับสัมผัสถูกสายฟ้าว่า “ลั่วหยางไม่จำเป็นต้องใช้”
ไม่จำเป็นต้องใช้…อย่ามาดูถูกกันเช่นนี้สิ
แม้มั่วชิงเฉินรู้ความหมายที่แท้จริงของเยี่ยเทียนหยวน กลับไม่ยอมคิดลึก ได้แต่ล้อตนเองเล่นเช่นนี้
วันที่สอง ทั้งหกคนเดินออกจากถ้ำด้วยกัน บินขึ้นข้างบนไปช้าๆ
ไม่นานก็เห็นลมกระโชกแรงที่หมุนวนหวีดร้องอยู่เหนือศีรษะ ทุกคนต่างใช้วิธีการของตนผ่านไป มองทุ่งหญ้ากว้างโล่งแล้วโล่งอก
อสูรปีศาจจำแลงที่เฝ้าอยู่ที่นั่นเสมอมาไม่คิดว่าจะหายไปแล้ว
ทว่าเมื่อหลังจากทุกคนร่อนลงพื้นก็หน้าอมทุกข์ขึ้นมาพร้อมกัน เห็นเพียงต้นไม้แก่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป หญิงสาวสะสวยที่รูปร่างอวบอิ่มคนหนึ่งกำลังหลับตาพักสายตาอยู่ ใบหน้านั้นคุ้นจนไม่รู้จะคุ้นอย่างไรแล้ว!
ทุกคนต่างมองหน้ากันปราดหนึ่ง ดูท่าทาง อสูรปีศาจจำแลงนั่นกำลังฉวยโอกาสที่ว่างอยู่บำเพ็ญเพียร?
พยักหน้าพร้อมกันแล้ว อัญเชิญสมบัติวิเศษเหินหาวออกในพริบตา หันไปในทิศทางเดียวกันแล้ววิ่งหนี
หากพวกเขาแยกกันหนี ย่อมมีคนสามารถหลบการไล่ล่าของอสูรปีศาจจำแลง ทว่าโอกาสหนึ่งในหกดูเหมือนจะมากไปสักหน่อย ที่สำคัญกว่านั้นคือที่ออกมาสำรวจในสามปีนี้ ด้วยขอบเขตที่จิตตระหนักของพวกเขาขยายไปถึง ไม่สังเกตเห็นเงาของนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์เลย แต่อสูรปีศาจชั้นสูงกลับอยู่ไปเสียทุกที่
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ต่อให้หนีเสือก็ต้องปะจระเข้ ยังไม่สู้เกาะกันเป็นกลุ่มก้อน นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหกคนรวมพลังกัน อย่างไรก็มีโอกาสรอดมากหน่อย
ความเคลื่อนไหวนี้ย่อมทำให้อสูรปีศาจจำแลงตกใจตื่น นางลืมตากลมขึ้น กางแขนออกแล้วไล่ตามทุกคนไป
“จะหนีไปไหน!” อสูรปีศาจจำแลงเสียงแหลม มือข้างหนึ่งแปลงเป็นกรงเล็บตะปบไปที่นักพรตหมิงโหรว
“ว้าย ช่วยด้วย!” นักพรตหมิงโหรวสีหน้าหวาดหวั่น ร่างกายกลับโค้งขึ้นด้วยเส้นโค้งอย่างประหลาด หลบกรงเล็บที่จู่โจมมาได้พอดี
มั่วชิงเฉินยกมือโยนระเบิดสะท้านฟ้าไปสองสามลูก แม้ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้อสูรปีศาจจำแลง กลับล่อให้มันหันเปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้ามา
ห่วงทองในมือเยี่ยเทียนหยวนกลายเป็นเงาแสงมากมาย ซัดออกไปติดๆ กัน
อสูรปีศาจจำแลงสะบัดแขนเสื้อ ห่วงทองพวกนั้นหมุนพลางถูกพัดร่วง ยามนี้เองนักพรตเชียนหานคลี่พัดพับออก พยัคฆ์สีดำบนหน้าพัดก็แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งออกมา
สมบัติวิเศษเจ้าชะตาของนักพรตจื่อซวินกลับเป็นสร้อยเงินที่ห้องกระพรวนเล็กๆ สิบกว่าอันเส้นหนึ่ง บัดนี้หยิบขึ้นมาฟาดไปที่อสูรปีศาจจำแลงอย่างดุดัน ความอำมหิตปรากฏขึ้นใบหน้าทันที ไม่เห็นความออดอ้อนอีกแม้แต่น้อย
ในมือนักพรตโยวหยวนปรากฏกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง ชูขึ้นแล้วฟันลงกลางอากาศ แสงกระบี่สีทองที่ส่องสว่างท้องฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงออกไป อานุภาพน่าสะพรึง
มั่วชิงเฉินฉวยโอกาสยามที่อสูรปีศาจจำแลงรับมือการจู่โจมจากคนอื่น โยนระเบิดสะท้านฟ้าเป็นกำๆ แม้ไม่ถึงกับสร้างความเสียหายอะไรได้ กลับทำให้อสูรปีศาจจำแลงวอกแวกได้ไม่น้อย
หกคนรวมพลังกัน ไม่คิดว่าจะไม่ถูกอสูรปีศาจจำแลงซัดหมอบในทันที
เห็นชัดว่าอสูรปีศาจจำแลงคาดไม่ถึงว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้ จึงโกรธเกรี้ยวมาก ปล่อยให้การจู่โจมของทุกคนที่ตกลงบนตัวมันถูกพลังปีศาจคุ้มกายดีดออก สองมือตั้งท่าขึ้นท่าหนึ่ง
ใครจะอยู่รอท่าไม้ตายของล่ะ ทุกคนแทบจะหันไปทิศทางเดียวกันในชั่วขณะเดียวกัน แล้วก็วิ่งหนี
อสูรปีศาจจำแลงลืมตาขึ้น แสงวิญญาณสายหนึ่งพุ่งออกจากกลางฝ่ามือทะยานตรงไปหาทุกคน ส่วนที่แสงวิญญาณเล็งไว้ คือมั่วชิงเฉินพอดี