พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 353 ภาคตะวันออกมีสิบทวีป
“ทางนี้ ทางนี้” นักพรตเชียนหานโบกเสื้อสีแดงตัวหนึ่งในมืออย่างไม่สนใจภาพพจน์
มั่วชิงเฉินสายตาตกลงบนเสื้อบางๆ สีแดงตัวนั้น จากนั้นเบือนหน้าไป
เจ้าหมอนี่ ต้องเป็นมือเก๋าที่โลดแล่นไปมาในดงดอกไม้เป็นแน่ ไม่คิดว่ายังมีเสื้อผ้าของหญิงสาวติดตัวด้วย
“สหายเต๋าชิงเฉิน ไยเจ้าถึงไม่ตะโกนล่ะ?” นักพรตเชียนหานจ้องเรือที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น
นักบำเพ็ญเพียรที่บำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณแต่ละคนล้วนมีปัญหาในด้านใดด้านหนึ่งกระมัง มิเช่นนั้นจะให้นางเชื่อได้อย่างไรว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลางคนหนึ่งจะติ๊งต๊องได้ถึงเพียงนี้!
“สหายเต๋าเชียนหาน ให้ข้าตะโกนอะไร เรือที่ปรากฏในน่านน้ำนี้ คนที่อยู่ข้างบนก็ต้องเป็นนักบำเพ็ญเพียรแน่นอน ยิ่งกว่านั้นเรือลำนั้นปราณวิญญาณรายล้อม หากเป็นเช่นนี้ พวกเรานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนไม่เก็บงำกลิ่นอายแม้แต่น้อยหยุดอยู่ตรงนี้ พวกเขาจะไม่สังเกตเห็นเชียวหรือ?” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจำใจ
“นั่นจะเหมือนกันได้เช่นไร ตะโกนเรียกมาเองถึงจะรู้สึกประสบความสำเร็จ” นักพรตเชียนหานเผยสีหน้าเจ้าช่างน่าเบื่อเหลือเกินออกมา
ในยามนี้เองจู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกคิดถึงหลัวอวี้เฉิงขึ้นมาอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ยามนั้นตกระกำลำบากพร้อมเขา แม้ปากคนผู้นั้นร้ายสักหน่อย อย่างไรเสียทั้งสองคนก็คุยอยู่บนบรรทัดฐานเดียวกัน
ไม่ผิดตามที่คาดไว้ เรือดูเหมือนเชื่องช้าความจริงกลับล่องมาตามทิศทางของเกาะอย่างรวดเร็ว
มาหยุดอยู่ที่ชายฝั่ง บนดาดฟ้าเรือปรากฏชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีดำ ขาพันเชือกไว้ แต่งตัวทะมัดทะแมงยิ่งนัก
เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย
มั่วชิงเฉินแอบรู้สึกประหลาด นักบำเพ็ญเพียรชายในดินแดนเทียนหยวนปกติล้วนใส่ชุดคลุมเต๋าหรือเสื้อยาวแบบคุณชาย ที่นี่ตกลงเป็นที่ใดกันแน่ ไม่คิดว่านักบำเพ็ญผู้นี้จะแต่งตัวเป็นนักสู้ ก็เหมือน…นักสู้ในโลกฆราวาสทีเดียว
กำลังใช้ความคิดอยู่ นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้นั้นก็รีบเดินลงมา ยืนกอบหมัดคารวะอยู่ไม่ไกลออกไปว่า “ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ขอบังอาจถามท่านผู้อาวุโสทั้งสองต้องการขึ้นเรือใช่หรือไม่ขอรับ?”
มั่วชิงเฉินและนักพรตเชียนหานสบตากันปราดหนึ่ง นักพรตเชียนหานไม่ขยับเขยื้อน ยิ้มตาหยีว่า “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่านี่พวกเจ้าจะล่องสู่ที่ใด?”
ในตานักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานฉายแววประหลาดใจแวบหนึ่ง กลับเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านผู้อาวุโส จากที่แห่งนี้ล่องไปตามทิศตะวันออกแสนลี้ ก็คือเซิงโจวเกาะหมายเลขสามสิบห้า”
เซิงโจว?
มั่วชิงเฉินคิดขึ้นได้ ใน ‘อรรถาธิบายทวีปแห่งเทพ’ แนะนำไว้ว่า ดินแดนเทียนหยวนด้วยทิศตะวันออกเป็นน่านน้ำ กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ผู้คนไม่ค่อยเดินทางมาถึง เหินหาวไม่รู้กี่หมื่นลี้ จักถึงดินแดนแห่งสิบทวีป ได้แก่จู่โจว อิ๋งโจว เสวียนโจว เยี๋ยนโจว ฉางโจว หยวนโจว หลิวโจว เซิงโจว เฟิ่งหลินโจวและจวี้คูโจว
เซิงโจวเกาะหมายเลขสามสิบห้าที่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้นี้พูดถึงนี้ หรือว่าก็คือเซิงโจวหนึ่งในสิบทวีปภาคตะวันออก?
จะเป็นไปได้เช่นไร ก่อนหน้านี้พวกเขายังอยู่ที่เขตแดนเชื่อมติดกันของนิกายเลี่ยนเป่าและนิกายฝูหมิงชัดๆ ต่อให้หลังจากตกลงในถ้ำต้นไม้วกไปเวียนมา เหตุใดหลังจากออกมาแล้วก็มาถึงสิบทวีปภาคตะวันออกแล้วล่ะ? ระยะห่างในนี้ อย่างน้อยมีนับล้านลี้!
มั่วชิงเฉินขณะเดียวกับที่รู้สึกตื่นตะลึง ก็รู้สึกปรีดาอีก
ปีนั้นม้วนคัมภีร์หยกที่หลัวอวี้เฉิงมอบให้นาง ข้างในบันทึกเกี่ยวกับข้อมูลของไม้สะกดวิญญาณไว้
ด้านในพูดถึงว่า สถานที่ที่อาจมีไม้สะกดวิญญาณมีสามแห่ง แห่งหนึ่งคือทุ่งชื่อเจ่าภาคใต้ของดินแดนเทียนหยวน เพียงแต่ที่นั่นภูมิประเทศเลวร้าย อันตรายมากมาย ไม่ถึงระดับก่อแก่นปราณทางที่ดีอย่าย่างกรายเข้าไป
อีกที่หนึ่งคือนิกายอิ่นซือ สถานที่ต้องห้ามของสำนักนั้นมีต้นสะกดวิญญาณต้นหนึ่ง เพียงแต่ต้นสะกดวิญญาณถูกนิกายอิ่นซือเห็นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม่แพร่งพรายออกสู่ภายนอกง่ายๆ
สถานที่แห่งที่สามที่บนม้วนคัมภีร์หยกพูดถึง ก็คือเสวียนโจวแห่งสิบทวีปภาคตะวันออกแล้ว
ร่อนเร่มาถึงดินแดนแห่งสิบทวีปโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าสวรรค์จะลิขิตให้ตนหาไม้สะกดวิญญาณเจอที่นี่?
ยามที่กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินนักพรตเชียนหานว่า “เช่นนั้นก็รบกวนท่านพาข้าและน้องสาวไปเซิงโจวเกาะหมายเลขสามสิบห้าเถอะ”
น้องสาว? มั่วชิงเฉินกำหมัด
“เช่นนั้นเชิญท่านผู้อาวุโสทั้งสองรีบขึ้นเรือขอรับ” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก้มตัวเล็กน้อย ยื่นมือออกมา
พวกมั่วชิงเฉิสองคนขึ้นเรือแล้ว พบว่าเรือลำนี้ใหญ่มาก นอกจากด้านบนหนึ่งชั้นดูก็รู้ว่าเป็นที่พักของคนบนเรือ ยังมีหนึ่งชั้นอยู่ข้างล่าง จิตตระหนักกลับสอดส่องเข้าไปไม่ได้
วัสดุที่ใช้สร้างเรือลำนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ที่แปลกคือเรือเช่นนี้หนึ่งลำ ข้างบนนอกจากนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายไม่กี่คนนี้ บวกกับนักบำเพ็ญพียรระดับหลอมลมปราณอีกสิบกว่าคน ที่เหลือไม่คิดว่าจะเป็นคนธรรมดาทั้งหมด
พวกมั่วชิงเฉินสองคนนั่งลง ไม่รอนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสั่ง ศิษย์ระดับหลอมลมปราณสองคนก็ยกชาทิพย์และผลไม้ทิพย์มาแล้ว จากนั้นถอยลงไปอย่างนอบน้อมมีมารยาท ดูจากพฤติกรรม มีแบบแผนยิ่งนัก
ศิษย์ระดับหลอมลมปราณสองคน เห็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแม้นอบน้อมทว่าไม่ได้มีสีหน้ายำเกรงสักเท่าไร นี่หมายความว่าพวกเขาเห็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจนชินแล้วใช่หรือไม่?
หากเป็นเช่นนี้ หรือว่าระดับการบำเพ็ญเพียรของสิบทวีปภาคตะวันออกจะก้าวหน้ากว่าดินแดนเทียนหยวนมาก นักบำเพ็ญเพียรระดับสูงมีทุกหนทุกแห่ง?
มั่วชิงเฉินแอบคาดเดาอยู่ ก็ได้ยินนักพรตเชียนหานและนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคุยกันขึ้นมา
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสองเตรียมตัวไปเซิงโจวเกาะหมายเลขสามสิบห้าล่าอสูรทะเลสินะขอรับ” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานถามอย่างนอบน้อม
นักพรตเชียนหานยิ้มว่า “ไม่ใช่ ข้าและน้องสาวออกมาฝึกตน เพียงแค่คิดจะไปเที่ยวเล่น”
ใบหน้าของเขาหล่อเหลาไม่ธรรมดา อีกทั้งคิ้วแล้วตาโค้งๆ ไม่เหมือนนักบำเพ็ญเพียรระดับสูงที่หน้าตาคมคาย บุคลิกเย็นชา พอยิ้มเช่นนี้ทำให้คนเกิดความรู้สึกใกล้ชิดขึ้นมาทันที
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจึงเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ผู้น้อยยังนึกว่าท่านผู้อาวุโสทั้งสองจะไปเกาะหมายเลขสามสิบห้าล่าอสูรทะเลเสียอีก ที่แท้ผู้น้อยเข้าใจผิดเสียแล้ว ขอบังอาจถามคำหนึ่ง ท่านผู้อาวุโสทั้งสองไม่ใช่คนเซิงโจวสินะ มาจากทวีปอื่นใช่หรือไม่ขอรับ?”
“อ้อ ไยเจ้าถึงรู้ได้?” นักพรตเชียนหานเผยความประหลาดใจออกมาได้อย่างพอดิบพอดี
“นักบำเพ็ญเพียรในเซิงโจวต่างรู้ดี เกาะหมายเลขสามสิบห้าคือที่พักของผู้ที่จะไปล่าอสูรทะเลในน่านน้ำโกลาหล ทุกครั้งที่ผู้น้อยออกเรือ มักพบผู้อาวุโสระดับก่อแก่นปราณโดยสารมา ขอเพียงไปที่นั่นก็ล้วนเพื่อล่าอสูรทะเลทั้งนั้น” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอธิบาย
มั่วชิงเฉินเกิดสนใจขึ้นมาว่า “เช่นนั้นเรือของท่านผ่านเกาะหมายเลขสามสิบห้า หรือว่าจุดหมายปลายทางก็คือที่นั่น?”
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเบนสายตาออก ท่าทีนอบน้อมยิ่งขึ้นว่า “เรียนท่านเซียน เรือของผู้น้อยลำนี้ก็คือเรือที่มุ่งหน้าไปเกาะหมายเลขสามสิบห้า เพียงแต่ไม่ขึ้นฝั่ง ถึงที่นั่นแล้วจะมีคนมารับสินค้าขอรับ”
ที่แท้นี่เป็นเรือขนสินค้าลำหนึ่ง ช่างน่าแปลกจริงๆ เขาซื่อสัตย์ต่อนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่านถึงเพียงนี้ ก็ไม่กลัวจะเห็นทรัพย์แล้วเกิดละโมบหรือ ต้องรู้ว่าคนที่ตบะที่สูงที่สุดในบรรดาพวกเขาก็คือนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตรงหน้าผู้นี้แล้ว
ทว่าตามการเสวนาที่ลึกขึ้นอีกก้าวหนึ่ง มั่วชิงเฉินก็ค่อยๆ เข้าใจถึงสาเหตุแล้ว
ที่แท้เรือขนสินค้าชนิดนี้สร้างขึ้นเป็นพิเศษ ชั้นข้างล่างเป็นสินค้าทั้งหมด นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดลงไปไม่อาจใช้จิตตระหนักสำรวจได้โดยสิ้นเชิง หากฝืนทำต่อไป ยังจะก่อให้เกิดการะเบิดทำให้เรืออับปางทั้งลำได้
ไม่เพียงเท่านี้ เรือลำนี้ยังทาสีพิเศษไว้ชนิดหนึ่ง สามารถไล่อสูรทะเลส่วนใหญ่ไป เดินทางอยู่ในทะเลก็ปลอดภัยกว่ามาก
เซิงโจวกว้างใหญ่ไพศาล จากเกาะหนึ่งถึงอีกเกาะหนึ่งต้องบินเหนือทะเลนานมาก ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไม่ไหว ดังนั้นพวกเขาคิดจะไปที่อื่น ก็จะโดยสารเรือประเภทนี้
มิน่าเรือลำใหญ่ถึงเพียงนี้ มีเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคอยคุม ยังไม่กลัวนักบำเพ็ญเพียรชั้นสูงจ้องตาเป็นมันอีก
รู้เรื่องพอประมาณแล้ว ภายใต้การชี้นำด้วยตนเองของนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ทั้งสองคนเข้าไปพักผ่อนในห้องที่อยู่ติดกันสองห้อง
ที่น่าสนใจคือแผ่นไม้ในห้องนี้ก็สร้างจากวัสดุไม้พิเศษเช่นกัน สามารถกันการสำรวจของจิตตระหนัก รับประกันความเป็นส่วนตัวได้ทีเดียว
สิบทวีปภาคตะวันออก
มั่วชิงเฉินนอนอยู่บนเตียง แล้วพึมพำสี่คำนี้
เจ้าของเรือลำนี้เดินเรือในทะเลมานานปี ไม่พูดว่าทั่วสิบทวีป อย่างน้อยก็ควรมีแผนที่ของเซิงโจว ก่อนไปให้หินวิญญาณโอสถแลกขึ้นมาสักชุด ถึงเกาะหมายเลขสามสิบห้าค่อยหาดู หากซื้อแผนที่ทั่วทั้งสิบทวีปได้ ก็รู้ว่าจะไปเสวียนโจวได้อย่างไรแล้ว
ไม่ว่าจะพูดเช่นไร นางก็ไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว ค้นหาไม้สะกดวิญญาณเป็นภารกิจที่เร่งด่วนที่สุด
อีกอย่างก็คือ ไม่รู้ระดับการบำเพ็ญเพียรที่นี่เป็นเช่นไร ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นเช่นไรอีก ทว่าไม่ว่าจะอย่างไร นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ควรจะมีไม่มาก
มั่วชิงเฉินพักฟื้นอยู่บนเกาะเดี่ยวนั่นห้าวัน พละกำลังที่สูญเสียไปเพราะการใช้โลหิตก็ฟื้นคืนมาแล้ว ยามนี้กระปรี้กระเปร่า จึงไม่อยากเสียเวลาอีก จึงวางแผนขึ้นมา
หลังจากนางก่อแก่นปราณก็เจอกับช่วงเวลาวิกฤตที่สุดของวิกฤตอสูร ถูกสำนักส่งไปสนับสนุน จากนั้นก็เกิดเรื่องราวมากมายอีก นอกจากสมบัติวิเศษเจ้าชะตาธนูชิงอิ่นที่ยิ่งใช้ยิ่งคล่อง สมบัติวิเศษอย่างอื่นยังไม่ชำนาญโดยสิ้นเชิง ต่อให้เป็นก้อนอิฐแหวกฟ้า ที่ที่จำเป็นต้องศึกษาก็ยังมีอีกมาก
นอกเหนือจากนี้ วิชายุทธชั้นสูงของเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ มีคาถาธาตุไม้เพิ่มมาหลายอัน นางก็ยังฝึกไม่เป็น
จากนั้นอีกก็คือเปลวน้ำแข็งเหมันต์
ผ่านการสู้รบมาใหญ่บ้างเล็กบ้าง นางสัมผัสได้ถึงอานุภาพของเปลวน้ำแข็งเหมันต์อย่างลึกซึ้ง หากเพียงแค่ใช้กับธนูชิงอิ่น จะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยแล้ว
เพราะเพลิงแก้วใจกระจ่าง ไม่กล้าปล่อยไฟจริงออกเสมอมา ดังนั้นคาถาธาตุไฟย่อมไม่ได้ศึกษาลึกซึ้ง ทว่ามีเปลวน้ำแข็งเหมันต์นี่แล้ว คาถาธาตุไฟชั้นสูงบางอย่างก็จำเป็นต้องศึกษาสักหน่อยแล้ว
ต้องรู้ว่าไฟอัศจรรย์เช่นนี้ ใช้คู่กับคาถาที่รองรับกันขึ้นมา อานุภาพนั้นไม่อาจมองข้ามได้
วันเวลาต่อจากนั้น นอกจากออกไปสูดอากาศทุกเช้า เจตนาคุยกับเจ้าของเรือสองสามประโยค เวลาที่เหลือมั่วชิงเฉินใช้ไปกับการบำเพ็ญเพียรในห้องทั้งหมด
เหลือจากบำเพ็ญเพียรก็ศึกษาคาถาธาตุไม้ชั้นสูงสองสามอันที่ติดมากับเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่
น่าเสียดายที่คาถาธาตุไม้ใช้ป้องกันเป็นหลัก การจู่โจมไม่เห็นพัฒนาขึ้น ทำให้ความรู้สึกที่คิดจะตามหาคาถาธาตุไฟดีๆ ของมั่วชิงเฉินยิ่งเร่งรีบขึ้นมา
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ สมบัติวิเศษและคาถา ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้
“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นโบกแขนเสื้อ ประตูเปิดเองโดยไม่มีลม
นักพรตเชียนหานยืนอยู่หน้าประตู ระบายยิ้มกว้างออกมาว่า “น้องสาว พี่ใหญ่เข้าไปได้หรือไม่?”
ได้ยิน ‘น้องสาว’ สองคำ มั่วชิงเฉินก็อดเส้นเอ็นกระตุกไม่ได้ กัดฟันว่า “ข้ามาเถอะ”
นักพรตเชียนหานเพิ่งเข้ามา มั่วชิงเฉินก็โบกแขนเสื้อปิดประตูโดยพลัน
“น้องสาว นี่เจ้า?” นักพรตเชียนหานเผยให้เห็นสีหน้าตะลึงเพราะนางทำดีด้วย วิ่งมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อย่างกุลีกุจอ
สีหน้าเช่นนี้ทำให้มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากอย่างแรง เอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “สหายเต๋าเชียนหาน ข้าพูดไปกี่ครั้งแล้วว่า อย่าเรียกข้าว่าน้องสาว เรียกข้าว่าชิงเฉินก็พอ”
นักพรตเชียนหานถอนใจ
มั่วชิงเฉินทนแล้วทนอีก ยังคงถามว่า “เป็นอันใดหรือ?”
นักพรตเชียนหานกะพริบตาว่า “น้องสาวพูดจาทำร้ายจิตใจเหลือเกิน”
มั่วชิงเฉินแทบอยากจะตบปากตัวเองสักที นี่ไม่ใช่ปากพล่อยหรือ ยังหวังให้ปากสุนัขคายงาช้างอะไรออกมาได้
เห็นมั่วชิงเฉินโกรธจริงๆ แล้ว นักพรตเชียนหานเก็บสีหน้าทะเล้นขึ้นว่า “สหายเต๋าชิงเฉิน เจ้าดูสิ ต่อให้เราปกปิดอย่างไร แม้แต่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเล็กๆ ยังคงมองปราดหนึ่งก็ดูออกว่าพวกเรามาจากต่างถิ่น รอถึงบนเกาะแล้วสถานการณ์เป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้ เราเรียกกันด้วยพี่น้อง ความยุ่งยากจะน้อยลงมาก”
“ไยถึงคิดเช่นนี้ล่ะ?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว