พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 357 พบผู้สะกดรอย
เรือค่อยๆ เข้าฝั่ง พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้าให้นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน แล้วลงจากเรือ พริบตาเดียวก็จมหายไปในทะเลมนุษย์
“ท่านอาหยาง มีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นเรือของท่านอีกแล้วหรือ” เด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกหน้าตาฉลาดเฉลียวคนหนึ่งหัวเราะคิกคักถามขึ้น
ข้างๆ เด็กหนุ่มคนนี้ มีชายหนุ่มชุดแดงยืนอยู่ เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่ง
ตามหลักผู้ชายใส่สีแดง มักให้ความรู้สึกหัวมังกุท้ายมังกร ทว่าชุดแดงของชายหนุ่มผู้นี้กลับดันสดเหมือนแสงอาทิตย์ โอหังอย่างพอดิบพอดี ราวกับเขาเกิดมาก็ควรใส่สีประเภทนี้อยู่แล้ว
“คุณชาย” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกอบหมัดคารวะ ถึงยิ้มให้เด็กหนุ่มว่า “ใช่ ว่าไปแล้วก็เพราะเหล่าหยางโชคดี หากไม่ได้พบผู้อาวุโสสองท่านนั้น อย่าว่าแต่จะส่งสินค้าให้ถึงได้อย่างราบรื่นเลย เกรงว่าแม้แต่คนพร้อมเรือ ก็ต้องฝังตัวในท้องปลากินกระดูกนานแล้ว”
“ปลากินกระดูก? น่านน้ำแถบนี้ดูเหมือนน้อยมากที่จะมีปลากินกระดูกนี่นา” ชายหนุ่มชุดแดงเลิกคิ้ว ดูเหมือนสนใจขึ้นมา
“ก็นั่นน่ะสิขอรับ จนถึงบัดนี้ข้าน้อยยังสงสัยเลย ไม่เพียงเจอฝูงปลากินกระดูก ปลากินกระดูกที่เป็นหัวหน้ายังอยู่ขั้นหกอีก!” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเอ่ยด้วยสีหน้าที่ยังกลัวไม่หาย
ในตาชายชุดแดงเป็นประกายแวบผ่านว่า “ขั้นหก หมายความว่า พวกเขาสองคนเป็นคนรับมือ?”
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานรีบพยักหน้าว่า “อืม ท่านผู้อาวุโสสองท่านนั้นเป็นคนรับมือ ไม่เพียงเท่านี้ ต่อมายังเจอลมเซาะดำเข้า เดิมทีม้วนพวกเขาเข้าไปแล้ว ไม่คิดว่าจะสามารถดิ้นหลุดออกมาได้ ช่างได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”
ชายชุดแดงในตายิ่งฉายแววสนใจเข้มขึ้นว่า “อ๋อ? เหล่าหยาง เจ้ารู้ที่มาของพวกเขาสองคนหรือไม่?”
“เรียนคุณชาย ข้าน้อยรู้เพียงว่าพวกเขาสองคนเป็นพี่น้องคู่หนึ่ง น่าจะมาฝึกตนจากทวีปอื่นอันไกลพ้น ส่วนอย่างอื่น ข้าน้อยก็ไม่รู้แล้วขอรับ” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตอบตามตรง
ชายชุดแดงไม่ถามอีก เขาเข้าใจว่าสองคนนั้นคือนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ แม้โดยสารมากับเรือ เหลียวแลนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานได้ก็หายากแล้ว นี่เกรงว่ายังมีสาเหตุมาจากการที่พวกเขาเพิ่งมาถึงอยากสืบหาข่าวคราว หากเปลี่ยนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณในท้องถิ่น ต้องขี้เกียจสนใจนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเป็นแน่
“เฉิงอู่ รับสินค้าเถอะ” ชายชุดแดงสั่งนิ่งเรียบ
“ขอรับ” เด็กหนุ่มกอบหมัด แล้วตามนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเหล่าหยางเดินขึ้นเรือไป
ชายชุดแดงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน กลับส่งเสียงทางจิตว่า “ไป ไปสืบดูหน่อยว่าสองคนนั้นพักที่ใด มีแผนการอะไร”
ไม่มีคนพบว่า ไม่ไกลออกไปชายใส่เสื้อสีเหลืองดินที่ไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อยคนหนึ่งแอบจากไปเงียบๆ
“น้องพี่ เอ๊ะ น้องพี่ รอข้าด้วย” ถังมู่เฉินไล่ตามอย่างเร่งรีบ
มั่วชิงเฉินไม่หยุดฝีเท้า เดินไปข้างหน้าไม่แม้แต่จะหันกลับมา
เกาะหมายเลขสามสิบห้าไม่ใช่เกาะใหญ่ มั่วชิงเฉินเพียงแต่ใช้จิตตระหนักสำรวจทีหนึ่ง ก็พบว่านอกจากท่าเรือที่ครึกครื้นเป็นพิเศษ เดินเข้าข้างในอีกก็คือตลาดที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง ถนนหลังตลาดเป็นร้านรวงทั้งแถบ เดินหน้าต่อไปอีก จิตตระหนักก็ถูกกำแพงที่มองไม่เห็นขวางไว้ คิดว่าด้านนั้นน่าจะเป็นที่พำนักที่ให้นักบำเพ็ญเพียรเช่า
นอกเหนือจากนี้ นางสำรวจส่งเดชดู ไม่คิดว่าจะพบกลิ่นอายของนักบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันหลายสิบสาย กระทั่งยังมีตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่า มีบางคนสัมผัสได้ถึงการสำรวจของนาง จิตตระหนักได้ตามข้ามมาแล้ว นางรีบเก็บจิตตระหนักกลับมาทันที
เกาะเล็กเช่นนี้ ไม่เพียงครึกครื้นอย่างผิดปกติยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งมากมายถึงเพียงนี้ ช่างน่าตระหนกจริงๆ
“หลีกไป รีบหลีกไป…” ทันใดนั้นเสียงตะคอกอย่างรีบร้อนดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงฝีเท้าม้า
พอมั่วชิงเฉินเงยหน้า ก็เห็นคนข้างหน้าขี่ม้าแผงคอสีแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งทะยานมา
ทว่าเมื่อดูดีๆ กลับพบสิ่งผิดปกติเล็กน้อย คนผู้นั้นส่ายไปมาไม่หยุดอยู่บนหลังม้า สามารถตกลงไปได้ทุกเมื่อ ส่วนม้าแดงตัวนั้นกลับสะบัดตัวไม่หยุด ดูท่าทางหงุดหงิดมาก
มั่วชิงเฉินรีบถอยหลบไปข้างๆ ปล่อยให้ม้าตัวนั้นวิ่งผ่านไป
สะบัดฝุ่นที่ถูกกีบม้าดีดขึ้นมา มั่วชิงเฉินแอบบส่งเสียงทางจิตว่า “อย่างไรก็เขาน้อยของข้าดีกว่า ว่าง่ายกว่าม้าตัวนั้นมากเลย”
“เจ้านาย นี่ท่านชมเขาน้อยอยู่ใช่หรือไม่?” เสียงนุ่มนิ่มของเขาน้อยดังมาจากถุงอสูรวิญญาณ
“ก็ใช่น่ะสิ เขาน้อยของข้าน่ารักที่สุดเลย” มั่วชิงเฉินพยักหน้ายืนยัน
เขาน้อยได้รับคำชมตาสองข้างเป็นประกาย แล้วยิ้มหวานออกมา
อีกาไฟที่ขลุกอยู่ในถุงอสูรวิญญาณเอ่ยอย่างไม่ยอมรับว่า “ดีใจอะไร เจ้าไม่ใช่ม้าเสียหน่อย!”
มั่วชิงเฉินและเขาน้อยมุมปากค้างพร้อมกัน
“อู๋เย่ว์!” มั่วชิงเฉินโกรธแล้ว
“พี่อู๋เย่ว์…” เขาน้อยกะพริบตาอย่างน้อยใจ
อีกาไฟเหลือกตาว่า “อยู่ไม่ไหวแล้ว สมัยนี้ไม่ให้คนพูดความจริงกันแล้ว”
ยามนี้เองเสียงถกกันของคนรอบข้างดังขึ้น มั่วชิงเฉินรีบตัดขาดการติดต่อกับอสูรวิญญาณแล้วตั้งใจฟัง
“จื้ดๆ คนผู้นั้นต้องชดใช้แย่แล้ว ไม่ได้ฝึกม้าโต้วายุให้ดี คลั่งเสียแล้ว”
เสียงประหลาดใจเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “เหตุใดต้องฝึกม้าด้วยล่ะ รับเป็นอสูรวิญญาณโดยตรงเสียก็สิ้นเรื่อง”
เอ๊ะ ไยเสียงนี้ถึงคุ้นเช่นนี้นะ?
มั่วชิงเฉินเบือนหน้าดูปุ๊บ ไม่ใช่ถังมู่เฉินแล้วจะเป็นใครไปได้ ยามนี้กำลังลากคนคนหนึ่งถามด้วยท่าทางเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็น
“เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้ เจ้าบ้านนอก เจ้ามาจากต่างถิ่นสินะ…อ๊าก ท่านผู้อาวุโส…”
ถังมู่เฉินรีบโบกมือว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้ารีบบอกเร็ว”
คนผู้นั้นถอนใจด้วยความโล่งอก บอกอย่างไม่อมพะนำว่า “ม้าโต้วายุเป็นอสูรปีศาจที่มีเฉพาะเราที่นี่ เพราะความอดทนเป็นเลิศ ความเร็วดุจวายุ จึงถูกขนานนามว่าโต้วายุ มีหมื่นทองก็หาซื้อไม่ได้ เพียงแต่ม้าโต้วายุมีลักษณะพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง หากรับเป็นอสูรวิญญาณโดยตรงแล้วก็จะไม่อาจถ่ายโอนให้ผู้อื่นได้อีก ต่อให้ยกเลิกพันธสัญญาอสูรวิญญาณ เมื่อยามที่ผู้อื่นเซ็นพันธสัญญาอีกครั้ง ม้าโต้วายุก็จะตาย ดังนั้นคนของเราที่นี่ล้วนบอกว่าม้าโต้วายุเป็นอสูรแห่งความซื่อสัตย์ คนเมื่อครู่เป็นนักล่าที่ล่าม้าโต้วายุโดยเฉพาะ ม้าโต้วายุนิสัยเย่อหยิ่ง กำราบยากมาก เผลอนิดเดียวก็จะบ้าคลั่งก่อนขายออกไปได้”
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง
มั่วชิงเฉินก็ประหลาดใจเล็กน้อย หยุดเดินฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจากไปอย่างไม่ให้เห็นร่องรอย
แต่กลับถูกถังมู่เฉินตาไวเห็นเข้า ก็ไม่คุยกับคนผู้นั้นแล้ว ก้าวพรวดตามขึ้นไป
“น้องพี่ เจ้าจะไม่สนใจพี่ใหญ่ไม่ได้นะ มิเช่นนั้นข้าก็จะส่งข่าวให้มารดา บอกว่าเจ้าหนีการแต่งงานออกมา!”
ข่าวนี้ความน่าสนใจแรงพอ สายตาเผ็ดร้อนของคนรอบๆ มองมาที่มั่วชิงเฉินทันที รอถึงยามที่เห็นหน้าตาของนางได้ชัดเจน เสียงสูดลมก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ ทันที
มั่วชิงเฉินตัวแข็งทื่อ คนแซ่ถัง ถือว่าเจ้าโหด ไยข้าถึงต้องมาเจอตัวทำลายอย่างเจ้าด้วยนะ!
เวลาช่วงนี้เอง ถังมู่เฉินก็เขยิบเข้ามาแล้ว ยิ้มเอาใจว่า “น้องสาวคนดี อย่าโมโหเลย พี่ใหญ่จะขายเจ้าได้อย่างไรกัน อีกอย่างเจ้าหมอนั่นทั้งทึ่มทั้งน่าเบื่อ อีกทั้งยังปั้นหน้าแข็งทื่อทั้งวัน คู่ควรกับน้องสาวข้าเสียที่ไหน”
เจ้าหมอนี่วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวันคือมีความแค้นกับเยี่ยเทียนหยวน?
“ตามข้ามา!” เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิต จากนั้นถลึงตาอย่างดุดันแล้วหันหน้าเดินไป
ถังมู่เฉินรีบตามไปอย่างกุลีกุจอ
มั่วชิงเฉินยิ่งเดินทางยิ่งเปลี่ยว คนเดินผ่านไปมาบนถนนค่อยๆ น้อยลง
ตามหลักแล้วเพิ่งมาถึง ตามความเคยชินของนักบำเพ็ญเพียรจะต้องไปตลาดหรือส่วนดูแลก่อนทั้งนั้น ทางที่นางไปเห็นชัดว่าไม่ใช่สองที่นี้ ถังมู่เฉินกลับถามก็ไม่ถาม ตามไปติดๆ
ในมุมเลี้ยวมุมหนึ่งนั่นเอง ทั้งสองคนก็หยุดลงกะทันหันแล้วหมุนตัวมาพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินโยนก้อนอิฐแสงทองระยับออกตบไปที่ที่ว่างเปล่าที่หนึ่ง ถังมู่เฉินสองมือถือกระบี่วิเศษแสงทองอร่ามเช่นกันฟันลงกลางอากาศ
กลางอากาศปรากฏคลื่นคล้ายลายน้ำ คนใส่ชุดสีเหลืองดินคนหนึ่งก็ตกลงมา
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง เดินขึ้นไปก้าวหนึ่งแล้วมองดูคนผู้นั้น
คนที่ปรากฏออกมานี้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย เพราะทั้งสองคนไม่ได้ลงมือรุนแรง ยามนี้เขาเพียงแต่เลือดไหลที่หัวไหล่ เอามือปิดบาดแผลพลางเงยหน้าขึ้น
เป็นใบหน้าที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว
ตั้งแต่ยามที่ถังมู่เฉินเข้ามาตื้อมั่วชิงเฉินก็สังเกตรางๆ ว่ามีคนสะกดรอยแล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่นางไม่ได้ดึงดันจะต่างคนต่างเดินกับถังมู่เฉินอีก
“สะกดรอยตามข้า อยากตายหรือ พูด เห็นน้องสาวข้าสวยใช่หรือไม่?” ถังมู่เฉินยกเท้าเตะเข้าไป
คนผู้นั้นล้มลงกับพื้น กลับไม่ส่งเสียงสักแอะ
มั่วชิงเฉินแอบเหลือกตา เดิมทีนางรู้สึกว่าไม่ต้องให้ตนเตือนสติ ถังมู่เฉินก็สังเกตแล้วว่ามีคนสะกดรอยตาม อีกทั้งยังเลือกที่จะลงมือในตำแหน่งและเวลาที่เอื้อประโยชน์ที่สุดพร้อมกัน นับว่าคนผู้นี้ยังพึ่งพาได้ ทว่าเมื่อเขาอ้าปาก ไยถึงทำให้คนแทบอยากจะเอาผ้าขี้ริ้วยัดปากนะ
โยนความคิดเหล่านี้ทิ้งไปแล้วมองคนผู้นั้นอย่างเย็นชาว่า “ไม่ทราบว่าเหตุใดสหายเต๋าถึงสะกดรอยตามพวกเราพี่น้อง?”
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นเม้มปาก จู่ๆ ในมือก็มีกริชโผล่มาเล่มหนึ่งเล็งตรงหัวใจแล้วจ้วงเข้าไป
“เต๊ง” เสียงหนึ่ง กริชตกลงพื้น บนตัวกริชมีรูเล็กๆ เพิ่มขึ้นรูหนึ่งอย่างไม่คาดคิด
มั่วชิงเฉินกวักมือ เก็บศรทองคำกลับไป ที่แท้เมื่อครู่ใช้ศรทองคำเป็นธนูลับโยนออกไปนั่นเอง ยิงถูกกริชในมือของคนผู้นั้น
“ไอยา ไม่คิดว่าจะเป็นนักรบเดนตายด้วย!” ถังมู่เฉินเกาศีรษะ
คนผู้นั้นจ้องกริชบนพื้นแล้วงงงันไปชั่วขณะ จากนั้นอ้าปาก หมายกัดลิ้นฆ่าตัวตาย
“พอแล้ว!” เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
พวกมั่วชิงเฉินสองคนเงยหน้ามองไป ห่างออกไปไม่ไกลนักชายหนุ่มชุดแดงคนหนึ่งเดินเข้ามา
“คุณชาย” คนผู้นั่นเปลี่ยนจากนั่งเป็นคุกเข่าทันที สีหน้านอบน้อมอย่างหาใดเปรียบไม่ได้
“เจ้าถอยลงไปเถอะ” ชายชุดแดงเอ่ยนิ่งเรียบ
คนผู้นั้นก้มหน้าต่ำ รับว่าขอรับ จากนั้นเกิดคลื่นพลังขึ้นรอบๆ จู่ๆ ก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
มั่วชิงเฉินตกตะลึงเล็กน้อย นี่ใช้วิธีการอะไร?
วิธีพลางตัวทั่วไป ก็คือใช้ยันต์ล่องหน ระดับสูงหน่อยก็ใช้ยันต์ซ่อนวิญญาณ ทว่าดูสถานการณ์ของคนผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีร่องรอยการใช้ยันต์ กลับเหมือนเป็นคาถาชนิดหนึ่ง ทว่าไม่เคยได้ยินว่ามีคาถาสนับสนุนประเภทนี้มาก่อนนี่นา
“เจ้านาย ปล่อยข้าออกไป” อีกาไฟกรีดร้องขึ้น
“เป็นอันใดหรือ?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ อีกาตัวนี้ยามอยู่ข้างนอก ก็ชอบขลุกอยู่ในถุงอสูรวิญญาณ นี่วันนี้เป็นอะไรไป
อีกาไฟตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “ข้าต้องไปถามเจ้าหมอนั่นน่ะสิ ว่าเพราะอะไรเขาถึงใช้คาถาพลางตัวได้ดีเช่นนี้ ไม่นึกเลยว่าจะสามารถพลางตัวได้ทุกครั้ง”
นี่ถึงเป็นเรื่องปกติตกลงไหม มิเช่นนั้นยังจะเรียกคาถาพลางตัวอะไรอีก! มั่วชิงเฉินบ่นในใจพลาง จากนั้นส่งเสียงทางจิตว่า “คนนั้นไปแล้ว เจ้าว่าง่ายๆ อยู่ข้างในก่อน คราวหน้าเจอค่อยว่ากัน”
จากที่ชายชุดแดงมองมา นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแปลกหน้าสองคนนี้ ผู้ชายใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มถากถาง เพ่งพิศเขาอย่างเหิมเกริม ส่วนหญิงสาวกลับดูเหมือนใจลอยเล็กน้อย
ถากถาง? ใจลอย?
ชายชุดแดงเลิกคิ้ว นี่ดูเหมือนจะเป็นสีหน้าที่เขาแสดงต่อผู้อื่นบ่อยๆ กระมัง วันนี้ผู้อื่นทำเช่นนี้ใส่เขา ที่แท้ก็ทำให้คนไม่สบอารมณ์ได้ถึงเพียงนี้!
ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาต้องเป็นดังที่เหล่าหยางพูดเป็นแน่ เป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่บำเพ็ญเพียรสักตระกูลหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
“สหายทั้งสอง ข้าน้อยเฉิงหรูเยียน” ชายชุดแดงกอบหมัดยิ้ม รอยยิ้มสดใส