พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 367 ความโกรธาของชิงเฉิน
“อ่า หินพลังวิญญาณของข้า!” ถังมู่เฉินกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด ร่างยกสูงกำลังจะไล่ตาม แต่หญิงบำเพ็ญเพียรที่ขายเครื่องประดับข้างๆ รีบดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ “คุณชาย อย่าได้ใช้อาวุธบินตามโดยเด็ดขาด บินเหาะในเมืองจะถูกขับไล่ออกจากเกาะ!”
ถังมู่เฉินหน้าม่อยคอตกชักฝีเท้ากลับมา มั่วชิงเฉินที่ได้ยินเช่นนี้ก็ชะงักร่างไปเช่นเดียวกัน มองไปยังถุงหินพลังวิญญาณที่ลอยไปตามลมสูงขึ้นเรื่อยๆ ลอยหายไปจนแทบไม่เห็นเงาด้วยสายตาละห้อย
“น้อง…น้องข้า…” เพราะสายตาที่เหมือนจะฆ่าคนของมั่วชิงเฉิน ถังมู่เฉินก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว
“นาย…นายท่าน…” อีกาไฟที่ขาดกลัวเช่นกันก็ก้มหน้าแสดงอากัปกิริยาเดียวกันกับถังมู่เฉิน
‘ดีมาก แม้แต่บริบทการพูดก็ยังเหมือนกัน!’
มองดูสิ่งมีชีวิตสองตนตรงหน้ามั่วชิงเฉินรู้สึกว่าภาพตรงหน้าดำคล้ำไม่ชัดเท่าไรนัก
โอสถวิญญาณที่นางหลอมออกมาอย่างยากลำบาก ลืมวันลืมคืน เพิ่งจะแลกเป็นหินพลังวิญญาณมาเพียงพริบตาเดียวกลับบินลอยจากไปเช่นนี้หรือ
จริงๆ แล้วต้องบีบคอถังมู่เฉินให้ตายหรือบีบคออีกาไฟให้ตายกันแน่
ความคิดนี้ลอยไปมาในหัวมั่วชิงเฉิน สายตากรอกมองไปมาระหว่างสองคน
คนหนึ่งคนกับอีกาหนึ่งตัวยิ่งก้มหน้าต่ำลงไปอีก นึกยากให้ตนเองไม่มีตัวตน
ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่อีกข้างเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด จู่ๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรร่างอ้วนหน้าแดงกลับนิ่งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
มั่วชิงเฉินกำหมัดแน่นหันหน้าไปมองก็พบกับใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกว้างและรอยยิ้มน้อยๆ อย่างละคน
‘นิ่งไว้ นางยังต้องอาศัยให้เจ้าหน้าแดงคนนั้นประดิษฐ์เขี้ยวของปลากระหายกระดูกอีก’ มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ปลอบใจตัวเอง
ยังดีที่ตอนแรกตนเองเก็บหินพลังวิญญาณเอาไว้เอง จากนั้นเพราะยุ่งจนไม่ไหวถึงได้ให้คนเฮงซวยนั่นมาช่วย ไม่ได้ถึงขั้นขาดทุนจนไม่มีกำไร อีกอย่างยาบำรุงพลังวิญญาณชั้นเลิศทั้งสิบเม็ดนางได้แอบเก็บเอาไว้เพราะจะได้ไม่เป็นที่สะดุดตามากเกินไป ถือว่าโชคดีในโชคร้าย
แต่เจ้าปีศาจร้ายนี้คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องทางใครทางมัน นางกลัวแล้วได้หรือไม่!
ชายหนุ่มชุดดำเห็นสีหน้าดำคล้ำของมั่วชิงเฉินในใจรู้สึกได้เพียงความสะใจอย่างไม่มีที่เปรียบ เขาไม่ได้หาเรื่องอีกต่อไป ก้าวเท้าเดินไปทางผู้บำเพ็ญร่างอ้วนหน้าแดง
มั่วชิงเฉินจัดการอารมณ์ให้ดี เดินไปด้านข้างสองก้าวก็มาถึงแผงหมายเลขแปดสิบแปด ยิ้มบางๆ พูดว่า “สหายเต๋าจินเป่า ข้าอยากรบกวนให้ท่านทำอาวุธให้ชนิดหนึ่ง ไม่ทราบว่าพอมีเวลาหรือไม่”
ชายหนุ่มชุดดำฝีเท้าชะงักไป ริมฝีปากกระตุกเกร็งขึ้นมา จากนั้นก็รีบเร่งเดินมาหน้าแผงขายของ พูดว่า “สหายเต๋าจินเป่า ข้าน้อยมีอาวุธชิ้นหนึ่งต้องการให้ท่านประดิษฐ์” พูดจบก็ปรายตามองมั่วชิงเฉินด้วยความเย็นชาทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจ ชาติที่แล้วตนเองเคยไปขุดสุสานของชายผู้นี้หรืออย่างไร เหตุใดเขาถึงไม่ถูกชะตากับตนเองขนาดนี้
ผู้บำเพ็ญร่างอ้วนหน้าแดงยิ้มตาหยี จากนั้นก็พูดว่า “ทั้งสองท่านคงรู้กฎของข้าอยู่แล้ว ข้านั้นไม่เคยรับงานสองงานพร้อมกัน ทำเช่นนั้นจะทำให้ข้าไม่มีสมาธิ เช่นนี้ก็แล้วกันทั้งสองท่านบอกหน่อยว่าอยากประดิษฐ์อะไร ข้าดูว่าอะไรน่าสนใจมากกว่ากัน”
มั่วชิงเฉินตะลึงงัน ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มชุดดำถึงชักสีหน้าใส่นาง แต่การนำเอาเขี้ยวปลากระหายกระดูกมาทำเป็นอาวุธไม่อาจล่าช้าได้ นางเองก็ไม่ยอม รีบนำห่อผ้าที่ห่อเขี้ยวปลากระหายกระดูกส่งไปให้
และชายหนุ่มชุดดำเองก็ส่งกล่องไม้ยาวกล่องหนึ่งไปให้
จินเป่าเจินเหรินรู้กฎดี เขารับของและหันหลังให้ทั้งสองคน เปิดของของทั้งสองคนดู จากนั้นก็หันกลับมาส่งยิ้มน้อยๆ ให้คนทั้งสอง
ใจของทั้งสองคนเกิดขนลุกขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็หันไปมองจินเป่าเจินเหรินด้วยแววตาน่าสงสาร
สายตาของจินเป่าเจินเหรินมองพิจารณาทั้งสองคน จากนั้นก็ยิ้มเห็นฟันออกมา “แม่หญิงผู้นี้มาถึงก่อน สิ่งที่จะให้ทำก็ถูกใจข้านัก เช่นนั้นประดิษฐ์ให้แม่หญิงผู้นี้ก่อนก็แล้วกัน”
‘มาถึงก่อน?’ ชายหนุ่มชุดดำกำหมัดแน่น มองไปยังมั่วชิงเฉิน ใบหน้าที่สวยงามปานเมืองล่มไม่ได้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอะไร แต่เส้นเลือดบริเวณขมับกลับตึงเกร็ง แอบคิดว่าหญิงคนนี้หรือจะมีชะตาไม่ถูกกับตน เหตุใดถึงต้องแพ้นางอยู่ร่ำไป
พู่กันซื้อไม่ได้ก็แล้วไป ตอนนี้อาวุธก็ยังมาประดิษฐ์ไม่ได้ ช่างน่ากระอักเลือดเสียจริง
“ขอถามเสียหน่อย เมื่อไรที่สหายเต๋าเจินเหรินจะประดิษฐ์อาวุธของสหายเต๋าผู้นี้เสร็จ”
จินเป่าเจินเหรินยิ้มใจดีกว่าปกติ คำพูดที่ออกมาจากปากกลับทำให้ชายหนุ่มชุดดำอึดอัดใจอย่างมาก “วัสดุของแม่หญิงผู้นี้ค่อนข้างดี และยังขัดเงาได้ยาก คาดว่าอย่างน้อยต้องหนึ่งเดือนกระมัง”
หนึ่งเดือน? หนึ่งเดือนก็สายเกินไปเสียแล้ว!
ชายหนุ่มชุดดำกัดฟันแน่น “เช่นนั้นอีกหนึ่งเดือนให้หลังต้องรบกวนจินเป่าเจินเหรินแล้ว” พูดจบก็เหลือบมองมั่วชิงเฉินด้วยความเย็นชาทีหนึ่ง จากนั้นก็เร่งก้าวฝีเท้าจากไป รูปร่างที่สมบูรณ์งดงามนั้นดึงดูดสายตาของหญิงบำเพ็ญที่เดินผ่านให้มองตามไปไม่น้อย
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าระยะนี้ตนเองทำอะไรก็ติดขัดไปหมด นางถอนหายใจหมุนตัวกลับมา ยิ้มให้เจินเป่าเจินเหรินและพูดว่า “สหายเต๋าจินเป่า ไม่ทราบว่าค่าประดิษฐ์เท่าไรหรือ”
‘แต่ไม่ถามว่าจะให้ประดิษฐ์เป็นอะไร’
จินเป่าเจินเหรินลอบพยักหน้า ยื่นมือออกไปวาดออกมาสองนิ้ว
“สองร้อยก้อนหินพลังวิญญาณหรือ” มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าก็ไม่แพง แต่ก็เห็นเจินเป่าเจินเหรินส่ายหน้าในทันใด
“สองพัน?”
ราคาขายของอาวุธชั้นเลิศอย่างมากก็ไม่เกินสองพัน ที่นางจะทำแม้จะเป็นอาวุธวิเศษแต่วัสดุก็เป็นของนางเอง ค่าใช้จ่ายจะเก็บสองพันก็ถือว่าแพงไปเล็กน้อยแล้ว มิน่าผู้ดูแลตลาดถึงบอกว่าจินเป่าเจินเหรินชอบเรียกราคาขูดเลือดขูดเนื้อ
“สองหมื่น” เจินเป่าเจินเหรินยิ้มตาหยี ยิ้มแลดูใจดีอย่างผิดปกติ
มั่วชิงเฉินสะดุดจนเกือบจะล้มลงไป “สอง…สองหมื่นหรือ”
นี่เขาจัดทำอาวุธหรือว่าลักขโมยกันแน่ คงต้องเป็นอย่างหลังกระมัง นางขายโอสถวิญญาณแลกกับหินพลังวิญญาณ ตัดส่วนที่โดนลมพัดลอยไปแล้วก็เหลือไม่ถึงสามหมื่น!
จินเป่าเจินเหรินยิ้มสดใสมากกว่าเดิม “สหายเต๋าได้ยินไม่ผิด ราคาสองหมื่น งดต่อราคา”
“น้องข้า เจ้าอย่าตกหลุมพรางเชียว ข้าเห็นอาวุธวิเศษในตัวเป่าเก๋อไม่มีเกินราคานี้ นี่มันโกงกันเกินไปแล้ว” ถังมู่เฉินเดินมาลากมั่วชิงเฉินให้เดินออกไป
“หุบปาก” มั่วชิงเฉินถลึงตามอง พลางเงยหน้าขึ้นมาจินเป่าเจินเหริน เห็นเขานั่งไม่ขยับไปไหนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา ปล่อยให้ทั้งสองคนจากไปตามใจชอบ
มั่วชิงเฉินลอบสูดลมหายใจเข้า เอ่ยออกมาช้าๆ “สหายเต๋าจินเป่า อาวุธวิเศษถือเป็นมือซ้ายขวาของผู้บำเพ็ญเพียร ราคาแพงก็เพราะว่ามีเหตุผล เพียงแต่ข้าน้อยมีความรู้เกี่ยววิชาหลอมอาวุธไม่มาก อยากขอถามสหายเต๋าว่าอาวุธที่ทำมาจากฟันเขี้ยวคู่นี้แพงที่อะไรหรือ”
“ราคาแพงก็เพราะว่ามีเหตุผลเช่นนั้นหรือ อืม แม่หญิงช่างเข้าใจแตกฉานเสียจริง ไม่เหมือนกับพวกหัวแข็งบางคน” จินเป่าเจินเหรินพูดพลางเหลือบมองถังมู่เฉินไปพลาง พูดต่อว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเองก็คอยดูอยู่ข้างๆ มาตลอด รู้สึกว่าแม่หญิงช่างน่าสนใจนัก แต่การงดต่อราคาเป็นกฎของข้ามาโดยตลอด เช่นนี้แล้วกัน ถึงเวลาข้าจะลงสลักม่านพลังแหหนึ่งลงบนเขี้ยวคู่นี้ ถือว่าเป็นการให้ประโยชน์แก่แม่หญิง แม่หญิงลองพิจารณาดู จะให้ข้าทำให้หรือไม่ก็แล้วแต่สะดวก””
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไปสักพัก จินเป่าเจินเหรินก็ไม่ได้พูดเร่งอะไร
หินพลังวิญญาณสองหมื่นก้อนไม่ใช่ว่าจ่ายไม่ได้ แต่การเป็นคนโง่นางก็ไม่อยากเป็น พอครุ่คิดพิจารณาแล้วก็ยังคงพยักหน้า นำหินพลังวิญญาณส่งไปให้ “เช่นนั้นต้องลำบากสหายเต๋าแล้ว”
จินเป่าเจินเหรินผู้นี้สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังในที่แห่งนี้คิดว่าคงไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงจอมปลอม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้ว่าตรงไปตรงมาเสียหน่อย จะได้ไม่ทำให้คนมาดูถูก
จินเป่าเจินเหรินหัวเราะออกมา หยิบหินสองพันก้อนออกมาและนำที่เหลือคืนกลับไป “หินพลังวิญญาณสองพันก้อนเป็นค่ามัดจำ หลังจากนี้หนึ่งเดือนแม่หญิงมารับอาวุธวิเศษไป หากไม่พอใจ เงินมัดจำนี้จะต้องคืนให้เต็มจำนวน”
ได้ยินคำพูดของจินเป่าเจินเหริน มั่วชิงเฉินก็สบายใจขึ้นมา คนที่กล้าพูดเช่นนี้ย่อมต้องมีฝีมือเป็นแน่ ในตอนนั้นก็หันกลับไปเก็ฐแผงและเดินตรงไป
“ไอ๊ น้องข้า เจ้าจะไปไหน” ถังมู่เฉินรีบเดินตามมา อีกาไฟก็บินมาเช่นเดียวกัน มันลังเลว่าจะหยุดเกาะบนไหล่ของมั่วชิงเฉินดีหรือไม่
มั่วชิงเฉินเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งสองตัวนี้แล้วนึกโมโห กัดฟันพูด “พวกเจ้ากลับไปรอก่อน อย่าตามข้ามา!”
เห็นมั่วชิงเฉินโมโห คนหนึ่งคนและอีกาหนึ่งตัวต่างจากไปด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก ห่างไปไกลแล้วยังได้ยินเสียงทะเลาะถกเถียงกัน
ในมือของมั่วชิงเฉินเหลือหินพลังวิญญาณไม่ถึงหนึ่งหมื่นก้อน แต่เดิมคิดจะซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาวิเศษหรือวิทยายุทธ์ของเซิงโจวสักสองสามเล่ม แต่พบว่าเล่มที่ถูกใจนั้นกลับแพงจนน่าตกใจ ที่เหลือล้วนเป็นสิ่งของเหมือนแผ่นดินใหญ่ ไม่มีอะไรน่ายกยอ สำหรับวิชาลับ นางเดินทั่วแผงหนังสือในตลาดแล้วแต่กลับไม่พบแม้แต่เล่มเดียว
ในเวลานี้นางอดคิดถึงคำเชื้อเชิญของเฉิงหรูยวนขึ้นมาไม่ได้ ดูท่าทางว่าเพื่อที่จะได้วิชาลับมาครอง คำเชื้อเชิญของเขาคงต้องพิจารณาให้ดีเสียแล้ว
เมื่อเดินวนมาถึงสุดท้ายในมือของมั่วชิงเฉินมีเพียงหนังสือวิชากำหนดไฟเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แล้วยังใช้จ่ายไปหว่าสี่พันก้อนหินพลังวิญญาณ แล้วถึงได้เดินทางหลับที่พัก
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เห็นถังมู่เฉินและอีกาไฟนั่งรออยู่บนบันได หันหน้าไปคนละด้าน ไม่มีใครสนใจใคร
เห็นมั่วชิงเฉินเดินเข้ามา ก็พุ่งตัวเข้าหาในทันใด “น้องข้า (นายท่าน) เจ้ากลับมาแล้ว!”
พูดจบก็สบตามองกันทีหนึ่ง ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา
เส้นเลือดตรงขมับของมั่วชิงเฉินเต้นกระตุก นางไปสร้างบาปอะไรเอาไว้ มีนกปากเปราะตัวหนึ่งยังไม่พอ แล้วยังมีเทพแห่งความซวยอีกคนหนึ่ง ไม่ได้ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตัดสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาด
คิดได้เช่นนี้ก็มีท่าทีเย็นชาขึ้นมา มองไปยังถังมู่เฉิน พูดว่า “สหายเต๋าเชียนหัน”
“อ่า น้องข้า เจ้าเกรงใจกันแล้ว เหอๆ เจ้าดูซิว่านี่คืออะไร มอบให้เจ้า” ถังมู่เฉินหยิบดอกไม้มุกรูปดอกไห่ถังอันหนึ่งส่งมาให้
“เอามาจากที่ใด” มั่วชิงเฉินตกใจ เขายังมีหินพลังวิญญาณอีกหรือ
ได้ยินเสียงถังมู่เฉินพูดว่า “เหอๆ เป็นหญิงบำเพ็ญเพียรที่ขายเครื่องประดับมอบให้ข้า น้องสาวชอบหรือไม่”
มองดูดวงตาเรียวรีของเขาที่กระพริบไปมา ท่าทางประจบเอาใจ มั่วชิงเฉินเตือนตนเองว่าไม่อาจใจอ่อน กัดฟันพูดขึ้น “ไม่จำเป็นแล้ว สหายเต๋าเชียนหัน น้องคิดว่าหลังจากนี้พวกเราแยกย้ายกันเดินทางจะดีกว่า”
“อ่า นี่…นี่มันอะไรกัน” ถังมู่เฉินมีท่าทีเจ็บปวดแสดงออกมา หากเป็นสตรีบำเพ็ญเพียรคนอื่นมาเห็นย่อมต้องมีจิตใจโอบอ้อมอารีอย่างมาก แทบจะคว้าชายหนุ่มแสนเสน่ห์อย่างไม่มีที่เปรียบผู้นี้เข้ามากอดอยู่ในอ้อมอก
มั่วชิงเฉินกลับไม่ตามน้ำ ไม่ต้องพูดถึงตัวนางเอง บรรดาชายหนุ่มหลายคนและพี่น้องที่นางค่อนข้างสนิทสนมมีใครบ้างที่ไม่ได้มีหน้าตาโดดเด่นงดงาม
นางยื่นถุงหินพลังวิญญาณไปให้และพูดว่า “สหายเต๋าเชียนหัน ในนี้มีหินพลังวิญญาณอยู่สองพันก้อน พวกเราล้วนมาจากแผ่นดินใหญ่เทียนหยวน ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าคืนอีก แต่หลังจากนี้ตัวน้องต้องการดำเนินการเพียงลำพัง”
ถังมู่เฉินกัดฟัน ริมฝีปากบางปรากฏรอยสีขาวขึ้นมาแผงหนึ่ง แต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับถุงหินพลังวิญญาณ เพียงแค่พูดเสียงเบาว่า “รู้แล้ว น้องข้า การสูญเสียของเจ้าก่อนนี้พี่จะต้องคืนให้เจ้า” พูดจบก็หมุนตัวค่อยๆ เดินออกไปด้านนอก ปิดประตูเรือนเบาๆ
เมื่อได้ยินเสียงบานประตูทบกันไม่รู้ว่าเหตุใดมั่วชิงเฉินถึงรู้สึกว่าตนเองเป็นจิ้งจอกสีเท่าตัวใหญ่รังแกกระต่ายตัวน้อยกัน
แต่ครั้งนี้ก็แยกย้ายกันเดินคนละทางเถิด
นางถอนหายใจออกมาอย่างไม่มีเหตุผล เดินตรงกลับไปในห้องอย่างไม่สนใจอีกาไฟด้วยเช่นเดียวกัน