พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 374 เก็บกวาดสถานการณ์วุ่นวาย
มั่วชิงเฉินมีความคิดเพียงสองแบบ หนึ่งคือจัดการทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวสลบไป หรืออีกอย่างคือหาเส้นทางหลบหนี เมื่อดูจากรอยเลือดบริเวณมุมปากและตบะบำเพ็ญของเผยสิบสามแล้วย่อมทำให้นางตัดสินใจเลือกอย่างหลัง นางกัดฟันขยับหางปลาออกแรงว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ
เมื่อผุดตัวขึ้นจากผิวน้ำกระโดดขึ้นฝั่งแล้ว เห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งบวกกับอีกาไฟที่ยืนมองด้วยความตื่นตะลึง นางก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น
“เกิดอะไรขึ้น” มั่วชิงเฉินพูดเน้นชัดทีละคำ เสียงเยือกเย็นหนาวเหน็บ
อีกาไฟกระพริบตาปริบๆ ตัวมันที่เข้าใจอารมณ์ของมั่วชิงแป็นอย่างดีในตอนนี้ย่อมรู้ว่ามั่วชิงเฉินอยู่ระหว่างช่วงระเบิดอารมณ์ มันเอ่ยเสียงสั่น “ผ่า ผ่าผิดแล้ว…”
เส้นเลือดตรงขมับมั่วชิงเฉินเต้นตุบๆ “ผ่าผิดอะไรกัน”
อีกาไฟรู้สึกน้อยใจอยู่เล็กน้อย เบะปากพูดว่า “นายท่าน ท่านจะโมโหทำไมเล่า ชายหญิงสกปรกคู่นี้คิดจะตลบหลังท่าน อู๋เย่ว์เกือบถูกพวกเขาจัดการ แต่ข้าพูดว่าฟ้าผ่าฟาดลงมา ใครจะคิดว่าฟ้าจะผ่าลงชายหนุ่มที่มาใหม่…แต่นี่ก็ไม่มีอะไรไม่ใช่เหรอ ตัวข้าก็ทำเพื่อช่วยท่าน…”
“ช่วยข้า?” มั่วชิงเฉินอึดอัดใจ ในมือปรากฏก้อนอิฐขึ้นลอยขึ้นไปทักทายอีกาไฟ
นางโมโหมากจริงๆ โตจนขนาดนี้เรื่องร้ายกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว แต่การที่ถูกชายแปลกหน้าเห็นร่างเปลือยเปล่าแล้วยังเป็นเพราะปากอีกาตัวนี้ อีกครู่ไม่เพียงโทษเขาไม่ได้ ไม่แน่ว่าจะต้องขอโทษด้วย แค่คิดก็ทำให้กระอักเลือดแล้ว วันนี้ไม่ได้เอาก้อนอิฐตีมันก็คงยากจะดับไฟโกรธในใจ
“แงๆๆ นายท่านจะทำอะไร ท่านไม่อาจทำเช่นนี้ได้นะ ข้าเป็นสัตว์วิญญาณของท่าน สัตว์วิญญาณของท่านนะ หรือเจ้าหน้าขาวนั่นจะสำคัญกว่าข้า ถูกฟ้าผ่าทีเดียวท่านก็สงสารแล้วอย่างนั้นหรือ” อีกาไฟร้องไห้งอแงหนีหัวซุกหัวซุน
มั่วชิงเฉินโมโหจนหายใจไม่คล่อง ก้อนอิฐในมือหมนุรอบโยนไปทางอีกาไฟ ขนนกหลุดลอยสองสามเส้น
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังและหญิงบำเพ็ญมองหน้ากัน
“นี่ ผู้บำเพ็ญเพียรและสัตว์วิญญาณของตัวเองทะเลาะกันเช่นนั้นหรือ” หญิงบำเพ็ญแสดงสีหน้าประหลาด อุทานออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังยิ้มกว้าง หัวเราะเยาะพลางพูดว่า “เรื่องแปลกมีทุกปีเลยจริงๆ ปีนี้เยอะเสียหน่อย ทะเลาะกันเองก็ดีๆ จัดการตีอีกาไฟตัวนั่นจนตายจบเรื่อง!”
หญิงบำเพ็ญปิดปากหัวเราะ “นั่นนะซิ เจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่นด่าขึ้นได้น่าโมโหนัก แต่…ไม่รู้ว่าคุณชายเผยสิบสามจะเป็นเช่นไร…”
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหลือบตามอง “ทำไม เข้าเป็นห่วงหรือ หากเป็นห่วงก็ลงไปดูเอง เรื่องลำบากคราวนี้ข้าไม่ยุ่งด้วย” พูดจบก็หมุนตัวคิดจากไป
หญิงบำเพ็ญพูดเสียงอ่อน “สหายเต๋ารอข้าน้อยก่อนซิ”
เรื่องวันนี้มีแต่ความแปลกประหลาด แม้นางจะคิดอยากเกาะคุณชายเผยสิบสามมากแค่ไหนแต่ก็ยังไม่กล้าเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่น
อยู่ด้วยกันมากว่าครึ่งวันก็ถือว่าพอมองออก ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนี้แม้จะพูดจากระทำการตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ใช่คนจิตใจโหดร้าย อย่างมากเขาเพียงคิดอยากได้ร่างกายของนาง แล้วก็ปล่อยไป หากไปยุ่งพัวพันที่นี่ไม่แน่ว่าต้องเอาชีวิตไปเกี่ยวด้วย
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังและหญิงบำเพ็ญเตรียมจากไป มั่วชิงเฉินกลับหมุนตัวมาหยุดเบื้องหน้าทั้งสองคน “สหายเต๋าทั้งสองจะไปแล้วหรือ”
นางมีอีกาไฟและเจ้าเขาน้อย แม้จะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนักแต่ถ้าบวกตัวเองไปด้วยการรับมือทั้งสองคนนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ก่อนที่เรื่องยังไม่กระจ่างย่อมไม่อาจปล่อยสองคนนี้ไปได้
อีกอย่างที่เอาก้อนอิฐไล่ตีอีกาไฟก็เป็นเพียงความโมโหชั่ววูบเท่านั้น คงไม่อาจปล่อยให้สัตว์วิญญาณของตนเป็นอะไรไปได้
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังขมวดคิ้วมุ่น “แม่นางเจ้าจะทำอะไร คงไม่ใช่เชื่อคำของสัตว์เดรัจฉานขนดกตัวนี้คิดว่าพวกข้าจะตลบหลังเจ้าหรอกกระมัง”
“ใครเป็นสัตว์เดรัจฉานขนดกกัน ห๋า เหตุใดเจ้าไม่ก้มหัวดูตัวเองขนบนแขนของเจ้ายังยาวกว่าข้าอีก ช่างไร้ยางอายเสียจริง!” อีกาไฟกรอกตามองบน สะบัดปีกแสดงอาการ
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังหงุดหงิดใจ เจ้าสัตว์เดรัจฉานขนดกพูดจาน่าโมโหนัก!
แต่ตอนนี้ไม่คิดจะหาเรื่องวุ่นวายเพิ่มขึ้นยังคงอดทนอดกลั้นรอฟังคำของมั่วชิงเฉิน
สีหน้าของมั่วชิงเฉินไม่ได้น่ามองเท่าไรนัก พูดเรียบๆ “สัตว์วิญญาณของข้าพูดมากไปเสียหน่อย ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดถามสหายเต๋าทั้งสองท่านตรงๆ ให้กระจ่าง ไม่ได้ตั้งใจที่จะหาเรื่องสหายเต๋าทั้งสอง”
หญิงบำเพ็ญกลับทนไม่ไหว แม้นางจะไม่ได้มีชาติกำเนิดดีเลิศ แต่ก็มาจากตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร บวกกับตบะบำเพ็ญสูงและรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ปกติแล้วผู้ชายเจ้าชู้ล้อมรอบอยู่ข้างกายไม่หวาดไม่ไหว มีใครบ้างที่ไม่ได้เทิดทูนทะนุถนอมนาง แต่นับตั้งแต่มาถึงเกาะหมายเลขสามสิบห้ากลับต้องอดทนอดกลั้นตลอดมา
คุณชายเผยสิบสามที่มีชาติกำเนิดสูงส่งและผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังที่มีความสามารถโดดเด่นก็แล้วไป แต่เจ้าเด็กน้อยที่มีตบะบำเพ็ญพอๆ กับตนเองยังกล้าพูดฉอดๆ คิดว่าตนเองเป็นคนหัวอ่อนเช่นนั้นหรือ
หรือจะบอกว่าคิดว่าตนเองหน้าตาสวยแล้วมีคุณสมบัติเช่นนั้นหรือ
หญิงบำเพ็ญยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่ พูดเย้ยหยันออกมา “โอ้ พูดเสียดูดี ไม่คิดหาเรื่องพวกข้า เป็นพวกข้าที่ไม่คิดหาเรื่องเจ้าต่างหาก เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน เป็นแค่เพียงเด็กน้อยระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นเท่านั้นเอง หึ มีสัตว์เดรัจฉานขนดกขั้นห้าแล้วทำไม สัตว์เดรัจฉานขนดกของเจ้านั้นสำแดงวิชามารฟ้าผ่าคุณชายเผยสิบสาม กระทำผิดต่อเขาพวกเจ้าจะยังมีชีวิตรอดหรือ ฮาๆ ช่างน่าตลกเสียจริง!”
มั่วชิงเฉินอารมณ์ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วตั้งแต่แรกแต่พอได้ยินคำพูดของหญิงบำเพ็ญนางไม่รู้สึกโกรธกลับหัวเราะออกมา “สหายเต๋าผู้นี้ กระทำผิดต่อคุณชายเผยสิบสามแล้วจะมีชีวิตรอดหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่หากเจ้ายังพูดไม่คิดข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าอะไรคือไม่มีทางรอด!”
“เจ้า เจ้าช่างเหิมเกริมนัก!” หญิงบำเพ็ญอับอายจนโมโห ยื่นนิ้วชี้หน้ามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหลุดหัวเราะ สายตาเหลือบมองผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังที่อยู่ข้างๆ “สหายเต๋า เหิมเกริมหรือไม่เจ้าจะลองดูก็ได้ เหอๆ หรือเจ้าคิดว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จะเป็นผู้พิทักษ์เช่นนั้นหรือ”
การเตือนของมั่วชิงเฉินทำให้หญิงบำเพ็ญต้องนิ่งเกร็งไป นางเพิ่งคิดได้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังที่ยืนข้างตนคนนี้ไม่ใช่คนที่รักหยกถนอมบุปผาเหมือนคนอื่นๆ แล้วตนเองยังติดค้างหนี้เขาเอาไว้อีกด้วย
คิดถึงตรงนี้ความมั่นใจที่มีก็หดหายไป ฝืนทำตัวแข็งแกร่งแต่ภายในอ่อนปวกเปียก “เจ้า เจ้าคิดว่าไม่มีคนช่วยข้าแล้วข้าจะกลัวเจ้าเช่นนั้นหรือ พวกเราก็เป็นระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นเหมือนกัน!”
เมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วยที่จริงแล้วมั่วชิงเฉินไม่คิดจะตีกับหญิงบำเพ็ญผู้นี้ จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องมือที่สามฉวยผลประโยชน์ไปครอบครอง ในตอนนั้นจึงหัวเราะพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีคนช่วย แต่ข้ามีนะ อู๋เย่ว์ อีกครู่หากพวกเราสู้กันขึ้นมาจริงๆ เจ้ายืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดไปเรื่อยๆ บางครั้งก็พ่นลูกไฟออกมา คิดว่าคงจะเกิดประโยชน์อยู่บ้าง”
หญิงบำเพ็ญโมโหจนแทบหงายหลัง นิ้วมือที่ยื่นออกมาสั่นเล็กน้อย หญิงบำเพ็ญที่เคยพบเจอก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายหากไม่ใช่เสแสร้งสงบนิ่งเขินอาย หรือไม่ก็แสร้งทำเป็นนุ่มนวลอ่อนหวาน หรือแสร้งสูงส่งบริสุทธิ์ แต่คนผู้นี้ที่ร่วมมือกับสัตว์วิญญาณรังแกคนแล้วยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเป็นครั้งแรกที่เคยพบเจอ!
“พอแล้ว เจ้าเอาอะไรมาพูดมากมายเช่นนี้!” จู่ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังก็ตะคอกออกมา
“ใช่แล้ว!” หญิงบำเพ็ญเกิดความมั่นใจขึ้นมาในทันใด
เป็นอย่างไรเล่า นางบอกแล้วว่าไม่มีผู้ชายที่ไหนที่ชอบนิสัยองอาจแข็งกร้าว หน้าตาดีแล้วจะทำไม เด็กน้อยที่ไม่เข้าใจโลก!
แต่กลับเห็นผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังหันหน้าขวับ สีหน้าดำคล้ำพูดว่า “ข้าหมายถึงเจ้า!”
“เจ้า!” สีหน้าหญิงบำเพ็ญเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว แต่ไม่กล้าพูดค้าน
ริมฝีปากของมั่วชิงเฉินกระตุก หลุดหัวเราะออกมา อารมณ์ไม่พอใจเมื่อครู่นี้สลายหายไปในทันที
ดูไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนี้จะเป็นคนรู้งาน
“แม่นาง พวกเราสองคนไม่ได้คิดตลบหลังเจ้าจริง แต่เดิมมาที่นี่ก็คิดจะลงน้ำไปตามหาหอยผูกมัด แต่กลับบังเอิญพบสัตว์วิญญาณของเจ้า สัตว์วิญญาณของเจ้านั้นปากคอร้ายกาจนัก พวกข้ายังไม่เอ่ยปากมันก็ด่ามาเป็นชุด ต่อให้อารมณ์ดีกว่านี้ก็เกรงว่าทนไม่ไหวอยู่ดี ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังจ้องมองดวงตามั่วชิงเฉิน พูดออกมาด้วยความสงบ
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ฝึกกายมั่วชิงเฉินเกิดเชื่อขึ้นมา เพราะนางรู้ดีว่าเข้าอีกาไฟนั้นเป็นอย่างไร เป็นคนเก็บเอาขนไก่มาทำเป็นธนูคำสั่ง กลัวว่าโลกนี้จะมีเรื่องวุ่นวายไม่พอ!
คิดถึงตรงนี้ก็ต้องฝืนหัวเราะออกมา “เช่นนั้นสัตว์วิญญาณของข้าก็ทำผิดไปแล้ว ขอให้สหายเต๋าอย่าได้ถือโทษกับอีกาตัวหนึ่งเลย”
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังแสยะยิ้ม โบกมือไปมา “ช่างเถิด ข้าน้อยเองก็ไม่คิดเสียเวลาอยู่ที่นี่ ต้องขอตัวลาก่อนแล้ว แม่นาง พวกเรายังไม่เท่าไร แต่คุณชายเผยสิบสามกลับถูกฟ้าผ่าทั้งที่ไม่รู้ตัว นี่ก็นานแล้วยังไม่เห็นขึ้นมาทางที่ดีเจ้าลงไปดูหน่อยเถิด”
พูดจบก็เหลือบมองหญิงบำเพ็ญทีหนึ่ง เร่งฝีเท้าก้าวตรงไปข้างหน้า
หญิงบำเพ็ญถลึงตามองมั่วชิงเฉินทีหนึ่งแล้วรีบเดินตาม
มั่วชิงเฉินรู้สึกไร้คำพูด นี่มันสิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งได้จริงๆ หญิงบำเพ็ญและผู้ฝึกกายมีความสัมพันธ์น่าประหลาดเช่นนั้นแต่กลับกระทำเลียนแบบเหมือนเป็นสามีภรรยาเสียอย่างนั้น
ทั้งสองคนเป็นเช่นไรนางขี้เกียจสนใจ แต่ประโยคสุดท้ายของผู้ฝึกกายทำให้สายตาของมั่วชิงเฉินมองไปยังผิวทะเลสาบ
เผยสิบสามยังไม่ขึ้นมา ช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตาในน้ำแม้จะเหลือบมองอย่างรวดเร็ว แต่ก็เห็นรอยเลือดตรงมุมปากเขา หรือจะถูกฟ้าผ่าตายไปแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นจริงตนเองคงจะผูกความแค้นไว้แล้ว
ถลึงตามองอีกาไฟครึ่งหนึ่ง ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นหางปลาอีกครั้ง นางกระโดดลงไปในทะเลสาบ
ฟองอากาศรอบกายผุดขึ้นผิวน้ำไม่หยุดสะท้อนสีสันต่างๆ มั่วชิงเฉินดำลึกไปถึงก้นทะเลสาบอย่างรวดเร็วแล้วจึงได้พบกับเผยสิบสามที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างหอยผูกมัด
นางรีบว่ายไปจับเขาให้นั่งนิ้วมือวางไปบนข้อมือของเขา
พลังวิญญาณจำนวนน้อยถูกถ่ายทอดเข้าไปทันใดนั้นพลังวิญญาณที่คลุ้มคลั่งถูกบีบออก สีหน้าของมั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาลุ่มหลงเข้าสู่ทางอธรรมไปแล้ว
ถึงไม่ลงมาฆ่าเขา แต่เขาก็ตายเพราะข้า แล้วอีกอย่างเรื่องในตอนนี้ล้วนเป็นเพราะอีกาไฟ นางไม่อาจหลุดพ้นไปได้
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก อุ้มเผยสิบสามค่อยๆ ว่ายขึ้นไป แล้วยังไม่ลืมเอาหอยผูกมัดเก็บไว้ในกำไลเก็บวัตถุ
เสียงน้ำดังซ่า มั่วชิงเฉินผุดขึ้นสู่ผิวน้ำ พาร่างเผยสิบสามบินขึ้นฝั่ง
“นายท่าน เขาถูกฟ้าผ่าตายจริงๆ หรือ” อีกาไฟพุ่งเข้ามา
“เงียบปาก!” มั่วชิงเฉินหลุดปากพูด จากนั้นก็ผ่อนน้ำเสียงลง “อู๋เย่ว์ ข้าจะรักษาเขา เจ้าคอยขึงผนังป้องกันไว้”
อีกาไฟพยักหน้ารัวๆ “นายท่านไว้ใจเถิด ข้าจะต้องทำความดีชดเชยความผิด!”
‘ข้าไว้ใจซิแปลก’ มั่วชิงเฉินพูดเย้ยหยันในใจ แต่นางก็ไม่มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อื่น สำหรับเจ้าเขาน้อยก็เป็นเพียงเด็กเท่านั้น ทำได้เพียงเอ่ยกำชับ “เจ้าเองก็เฝ้าดูเฉยๆ ไม่ต้องพูด!”
เมื่อเห็นอีกาไฟพยักหน้า มั่วชิงเฉินสะบัดมือ ตั้งเขตพลังป้องกัน นั่งขัดสมาธิอยู่หลังเผยสิบสาม พลังวิญญาณกระแสหนึ่งค่อยๆ ถูกถ่ายทอดเข้าไป
เผยสิบสามเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย พลังวิญญาณในร่างกายย่อมมีมากมายกว่ามั่วชิงเฉิน ตอนนี้พลังวิญญาณของเขาพุ่งกระแทกไปมาเหมือนอาชาป่าหลุดหนีจากบังเ**ยนทำให้ชีพจรของเขาตัดขาดไปจำนวนมาก
มั่วชิงเฉินทำเพียงใช้พลังวิญญาณค่อยๆ นำทาง ช่วยให้พลังวิญญาณในร่างกายของเขาเข้าที่เข้าทาง และยังป้อนโอสถวิเศษให้เขาหนึ่งเม็ด ใช้พลังวิญญาณของตนเองเร่งถ่ายฤทธิ์ยาให้ค่อยกระจายดูดซับเข้าไป
เวลาผ่านไปสามวันสามคืนเต็มๆ ในที่สุดเผยสิบสามก็ลืมตา