พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 383 เอกลักษณ์เฟิ่งหลินโจว
คนผู้นั้นสวมชุดสีดำรัดรูป มองมาทางนางด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร ดูจากแววตาแล้วก็ได้เห็นความแปลกใจเช่นเดียวกัน เป็นคนผู้นั้นที่ไม่รู้ว่าก่อโทษอะไรไว้ให้ตอนตั้งแผงคราวที่แล้ว
“ปล่อยให้พี่เฉิงรอนานแล้ว” ถังมู่เฉินอมยิ้มพลางยกมือคารวะ
มั่วชิงเฉินเพียงยืนอยู่ข้างกายถังมู่เฉินเงียบๆ ไม่ในใจสายตาแปลกประหลาดของแต่ละคนในห้องที่มองมา
“ขอแนะนำให้สหายเต๋าทุกท่านรู้จัก นี่คือพี่น้องตระกูลถัง ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเต๋า” เฉิงหรูยวนเชิญให้ทุกคนประจำที่นั่ง พลางเอ่ยแนะนำ
ทุกคนยกมือขึ้นคารวะถือว่าเป็นการแสดงความเคารพ แต่ท่าทีบนใบหน้าไม่ได้มีความกระตือรือร้นเท่าไรนัก
เฉินหรูยวนกวาดตามองทุกคนครั้งหนึ่ง ยิ้มออกมาก่อนจะพูด “ที่ตัวข้าเชิญทุกท่านมาเป็นเพราะเหตุใดคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ ต้องขอบคุณความใส่ใจของทุกท้านวันนี้ถึงได้มีสหายเต๋าเดินทางมาเก้าคน ก่อนนี้ข้าเคยพูดไว้การเดินทางไปพื้นที่ลับต้องการผู้ช่วยห้าท่าน…”
“ความหมายของคุณชายเฉิงคือจะตัดออกสี่คนอย่างนั้นหรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรร่างกายกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถามเสียงดัง
โดยปกติแล้วการที่เชื้อเชิญผู้อื่นให้มาด้วยตนเองแต่ผลลัพธ์คือต้องตัดออกอีกสี่คนจะดูไม่ให้ความเคารพเท่าไรนัก มั่วชิงเฉินเงยหน้าเหลือบมองไปทางเฉิงหรูยวน แต่กลับเห็นว่าแม้มุมปากเขาจะมีรอยยิ้มประดับ แต่ท่าทีกลับดูนิ่งเฉย เห็นชัดว่าไม่รู้สึกว่าการทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม ความโอหังตามธรรมชาติของคุณชายตระกูลใหญ่ยากที่จะสลัดทิ้ง
ได้ยินเสียงเฉิงหรูยวนตอบตามคาด “เป็นเช่นนั้น แต่พี่น้องตระกูลถังเป็นผู้บำเพ็ญสายเต๋า คุณชายเสิ่นเป็นพี่น้องของข้า ยังมีที่วางอีกสองที่ ไม่สู้ว่าสหายเต๋าทั้งหกเจรจากันสักหน่อย แน่นอนว่าทุกท่านให้เกียรติมาครั้งนี้ข้าไม่มีทางให้สหายเต๋าทุกท่านกลับไปมือเปล่าเป็นแน่ สหายเต๋าที่ไม่ได้ไปพื้นที่ลับตัวข้าก็มีของมอบให้”
หากเป็นคนปกติพูดประโยคนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคงต้องหงุดหงิดแล้วเป็นแน่ แต่คนที่พูดเป็นคุณชายเฉิงเจ็ด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งหกคนนั้นย่อมรู้สึกยอมรับตามธรรมชาติ สายตาของทั้งหกคนที่มองสบกันมีความไม่หวังดีแอบแฝง
จะเจรจากันอย่างไรทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ แน่นอนว่าต้องใช้กำปั้นเจรจา
ทั้งหกคนมีสองคนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง คนหนึ่งเป็นหญิงสาว แล้วยังมีผู้บำเพ็ญเพียรที่แต่งกายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ ไม่นานพวกเขาก็เจรจากันเสร็จ ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า “คุณชายเฉิง พวกเราหกคนอยากจะทดสอบเสียหน่อย ใครมีความสามารถสูงสุดคนผู้นั้นจะตามท่านไป แต่ท่านว่ามีสถานที่เหมาะสมหรือไม่”
ความหมายของคำพูดนี้คือไม่อยากให้คนอื่นมาล้อมดูตอนที่ทดสอบ
จะว่าไปแล้วก็ถูก สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรวิธีการรักษาชีวิตยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี ใครจะยินยอมเอาสมบัติติดกายของตนให้คนอื่นดูต่อหน้าธารกำนัล
เฉิงหรูยวนพยักหน้า “ได้” พูดพลางตบมือ กำแพงข้างหน้าต่างห้างเทียนจื้อหมายเลขหนึ่งจู่ๆ มีประตูเพิ่มขึ้นมาหนึ่งบาน
ทั้งหกคนยกมือขึ้นคารวะเฉิงหรูยวนทีหนึ่ง แล้วพากันเดินเข้าไป
มั่วชิงเฉินพบว่าตอนนี้ภายในห้องรับรองนอกจากเฉิงหรูยวนและพวกเขาสองคนแล้ว ยังเหลือชายหนุ่มชุดดำผู้นั้น คิดว่าน่าจะเป็น ‘คุณชายเสิ่น’ ที่เฉิงหรูยวนพูดถึง
นางกำลังคิดก็เห็นว่าคุณชายเสิ่นผู้นั้นกำลังมองมาทางนาง ในแววตาเต็มไปด้วยการพิจารณาและดูถูก ริมฝีปากยกขึ้นดูแคลนอย่างยากจะปิด
มั่วชิงเฉินหันไปไปมองวิวทิวทัศน์เงียบๆ
บนโลกใบนี้มักมีคนบางจำพวกที่เพิ่งเจอหน้าก็เหมือนเจอเพื่อ ย่อมต้องมีคนบางจำพวกที่เพิ่งเจอก็รู้สึกไม่ถูกชะตา
“ท่านพี่ ท่านไม่พิจารณาให้ละเอียดอีกสักหน่อยหรือ สตรีผู้นั้นแม้จะฝึกสายเต๋า แต่ก็เป็นเพียงระดับก่อแก่นปราณชั้นต้น ให้นางครอบครองตำแหน่งหนึ่งไปดูจะไม่คุ้มเท่าไรนัก” เสียงกระจิตของชายหนุ่มชุดดำดังขึ้นในหัวของเฉิงหรูยวน
เฉิงหรูยวนสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง กลับพูดว่า “ฉงเหวิน พวกเจ้าเคยเจอกันหรือ”
สิ่งที่ตอบเขาคือเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง
เฉิงหรูยวนยิ้มอย่างจนปัญญา เสิ่นฉงเหวินเป็นญาติผู้น้องของเขา ทั้งสองคนพูดได้ว่าเติบโตมาด้วยกัน นิสัยของเขาตนเองย่อมเข้าใจที่สุด ทั้งโอหังทั้งหัวแข็ง ถ้าไม่ใช่เพราะเคยพบแม่นางถังผู้นั้นมาก่อนก็ไม่รู้ว่าไปสร้างเรื่องให้เขาไม่ชอบใจได้อย่างไร เรื่องเหล่านี้เขาขี้เกียจเอามาใส่ใจ
“ฉงเหวิน เจ้าอย่าเอาแต่ใจ พี่น้องสกุลถังเข้าออกพร้อมกัน ข้าคงไม่อาจเลือกเพียงคนเดียวได้ เจ้าก็น่าจะรู้ว่ามีบางครั้งที่ผู้บำเพ็ญเพียรสายเต๋ามีประโยชน์อย่างมาก” เฉิงหรูยวนส่งกระแสจิตกลับไป จู่ๆ ก็เห็นว่าสายตาของมั่วชิงเฉินกวาดมาทางนี้อดไม่ได้ที่จะตกใจ หรือว่านางจะรู้ว่าทั้งสองคนกำลังส่งกระแสจิตคุยกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ก็หยุดส่งกระแสจิตคุย หันไปส่งเสียงสนทนากับถังมู่เฉิน
มั่วชิงเฉินหลุบตาลงลอบยิ้ม นับตั้งแต่ฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาตนเองก็ยิ่งมีสัมผัสที่เร็วมากขึ้นต่อการกระทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกระแสจิต แน่นอนว่านางไม่ได้ยินเนื้อหาที่พวกเฉิงหรูยวนพูด แต่ก็พอจะรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนกำลังส่งกระแสจิตคุยกัน
สองคนนั้นพูดอะไรนางไม่รู้ แต่จากหน้าตาดูแคลนของคุณชายเสิ่นผู้นั้นกลับสามารถเดาได้บางส่วน นางถึงได้ตั้งใจทำให้เฉิงหรูยวนเข้าใจว่าตัวนางสังเกตเห็น เป็นการเตือนเขาสักหน่อย
แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อเอาประโยชน์นั้นไม่เป็นอะไร แต่ถ้าทำให้คนอื่นคิดว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอจริงๆ ความรู้สึกนั้นย่อมไม่ดีนัก
เวลาประมาณครึ่งชั่วยามผ่านไป ประตูบานนั้นค่อยๆ มีคนเดินออกมา หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็กลับมาในห้องรับรองกันพร้อมหน้า
เฉิงหรูยวนลุกขึ้น “ทุกท่านเจรจากันเป็นอย่างไรบ้าง”
ทั้งหกคนสบตากัน ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังและหญิงบำเพ็ญคนหนึ่งก้าวนำคนอื่นขึ้นมา พูดพร้อมกันว่า “ข้าน้อยยินยอมติดตามคุณชายเฉิงเจ็ดเดินทางไป”
เฉิงหรูยวนเลิกคิ้ว หกคนนี้เขาสังเกตเอาไว้นานแล้ว มีผลลัพธ์เช่นนี้ก็ไม่แปลก
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายเพียงคนเดียวในบรรดาหกคน ตบะบำเพ็ญแข็งแกร่งที่สุด และหญิงบำเพ็ญผู้นั้นแม้จะอยู่เพียงระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นแต่กลับเป็นแม่นางจอมพิษที่มีชื่อเสียงโด่งดัง วิชาการใช้พิษยอดเยี่ยมเลิศล้ำที่สุด
เขาและญาติผู้น้องเสิ่นฉงเหวินล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นกลาง บวกกับสองพี่น้องผู้ฝึกวิชาเต๋าสกุลถัง การจัดกลุ่มเช่นนี้ช่างถูกใจมากนัก
“เช่นนั้นต้องขอบคุณสหายเต๋าทั้งสองที่ช่วยเหลือแล้ว” เฉิงหรูยวนสะบัดมือ มีถุงหินวิญญาณปรากฏขึ้นมาสี่ถุงพลางส่งให้ทั้งสี่คนที่เหลือ “สหายเต๋าทั้งสี่ นี่เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆขอให้ทุกท่านโปรดรับไว้ หลังจากนี้ตัวข้าคงต้องรบกวนทุกท่านไม่น้อย”
สามคนในนั้นรับถุงหินวิญญาณไปใช้กระแสจิตเหลือบมองดูภายในแล้วยิ้มออกมา คุณชายเสิ่นช่างใจกว้างสมคำร่ำลือ เพียงแค่มาตามคำนัดไม่ได้ถูกเลือกก็ยังได้ตั้งหนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ บวกกับเมื่อครู่นี้ใช้มีดใช้หอกในการปะมือกันจริง ตอนนี้ฝีมือสู้เขาไม่ได้แต่กลับได้รับหินวิญญาณมากกว่าปกติ สำหรับเฉิงหรูยวนแล้วไม่ต้องพูดว่าไม่พอใจ ในใจนั้นเหลือเพียงความรื่นรมย์และยอมรับจากใจจริง
ทั้งสามคนเอ่ยขอบคุณ หยิบถุงหินวิญญาณหมุนตัวจากไป แต่นักผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนสุดท้ายกลับไม่รับถุงหินวิญญาณไป
“สหายเต๋ายังมีเรื่องอะไรหรือ” มุมปากเฉิงหรูยวนยกขึ้น ท่าทีกลับอ่อนโยนนิ่งสงบ
แม้ชาติตระกูลของเขาผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านี้จะไม่อาจเทียบได้ แต่อย่างไรก็เชิญคนอื่นมาช่วยเหลือ หากกระจายออกไปว่าต้อนรับไม่ดีก็จะเกิดผลไม่ดีต่อตนเอง อย่างไรซะในเซิงโจวไม่ได้มีเขาเป็นคุณชายตระกูลใหญ่เพียงผู้เดียว
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังกลับเผชิญหน้ากับเฉิงหรูยวนด้วยความเกรงใจ เขาค้อมตัวลงแล้วถึงพูดว่า “คุณชายเจ็ด ข้าน้อยตอบรับคำเชิญก็เพราะมุ่งไปพื้นที่ลับ แต่นี่กำลังยังไม่ทันออกกลับได้ประโยชน์ไปมากมายโดยไม่ได้ทำอะไร”
“สหายเต๋าพูดเกินไปแล้ว ที่มุ่งหน้าไปพื้นที่ลับครั้งนี้กฎของตระกูลบังคับให้พาผู้ช่วยไปได้เพียงห้าคนเท่านั้น มิเช่นนั้นคนมากพรสวรรค์เช่นสหายเต๋าข้าจะปล่อยไปได้อย่างไร สหายเต๋าไม่จำเป็นต้องรู้สึกไม่สบายใจ ภายภาคหน้าไม่แน่ว่าตัวข้าอาจจะมีเรื่องให้สหายเต๋าช่วยเหลือก็เป็นได้” เฉิงหรูยวนพูดจาระมัดระวังรอบคอบ
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังหัวเราะเสียงดัง “คุณชายเฉิงเรื่องเหล่านี้ข้าน้อยล้วนเข้าใจ การแข่งขันเมื่อครู่นี้ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่สหายเต๋าทั้งสองท่านนี้ไม่เคยแข่งขันมาก่อน พวกเขาแม้จะฝึกบำเพ็ญสายเต๋ามีทักษะอยู่บ้าง แต่ไม่จำเป็นจะต้องครอบสองตำแหน่งกระมัง”
นี่เป็นการเตือนเฉิงหรูยวนว่าความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรสายเต๋าไม่ถือว่าโดดเด่น ต่อให้จะมีข้อดีในบางเรื่องแต่มีแค่คนเดียวก็มากพอแล้ว
ไม่รอให้เฉิงหรูยวนส่งเสียงผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเขยิบเข้ามาใกล้มั่วชิงเฉินในทันใด ประคองมือเข้าหากันพูดว่า “แม่นางมั่ว ไม่ทราบว่ายินยอมปะมือกับข้าน้อยสักรอบหรือไม่”
ที่เขาพุ่งเป้าไปที่มั่วชิงเฉินก็ต้องเป็นเพราะเห็นว่านางอยู่เพียงระดับก่อแก่นปราณชั้นกลาง หากว่าเฉิงหรูยวนจะเปลี่ยนสักคนหนึ่งคนที่เป็นไปได้มากที่สุดย่อมเป็นนาง
จะต้องรู้ว่าคุณชายตระกูลดังเช่นเฉิงหรูยวนล้วนเคยพบเจอสตรีทุกแบบมาหมดแล้ว ไม่มีทางที่จะละทิ้งผลประโยชน์ของตนเองเพียงเพราะภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของหญิงสาว ต้องเป็นเพราะว่าไม่อาจทำให้สหายเต๋าถังผู้นั้นเสียหน้าถึงได้นับรวมพวกเขาสองคนพี่น้อง
ตนเองเอ่ยปากขอร้องไม่แน่ว่าเป็นการหาที่ลงให้คุณชายเฉิงเจ็ด
ใครจะคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังกลับคะเนพลาดไป เสียงเขาเพิ่งจบลงเฉิงหรูยวนก็เอ่ยปฏิเสธออกมาโดยตรง “การปะมือคงไม่ต้อง แม่นางถังเป็นเพื่อนที่ตัวข้าเชื้อเชิญไว้นานแล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเกร็งแข็งไป มองเฉิงหรูยวนด้วยรอยยิ้มสง่างามสูงส่ง แต่กลับกดความโกรธาลงไปในใจ ยกมือประคองและพูดว่า “เช่นนี้ต้องขอบคุณน้ำใจของคุณชายเฉิงเจ็ด ข้าน้อยขอตัว”
เห็นว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังจากไปแล้ว เสิ่นฉงเหวินอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกระแสจิต “ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าท่านถูกใจหญิงสาวผู้นั้นกระมัง โอกาสเช่นนี้เปลี่ยนนางไปดีเพียงใด เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น”
เฉิงหรูยวนรู้สึกจนปัญญา “ฉงเหวิน แท้จริงแล้วแม่นางถังไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ”
เสินฉงเหวินกดเสียงต่ำ “ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อข้า เพียงแต่สตรีเช่นนางมองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่ามีดีแค่หน้าตาสวยแต่ไม่มีสติปัญญาความรู้”
มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดถึง หญิงสาวผู้นี้เป็นนักหลอมโอสถ หรือจะยังคาดหวังให้นักหลอมโอสถคนหนึ่งมีฝีมือดีเช่นนั้นหรือ
เฉิงหรูยวนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฉงเหวิน เจ้ามีอคติแล้ว ต่อไปนี้หากยังเป็นเช่นนี้อยู่เจ้าจะต้องพบเจอหายนะเป็นแน่ แม่นางถังผู้นั้นเคยใช้มือเปล่ากำจัดปลากินกระดูกขั้นหกมาแล้ว อีกอย่างคำพูดที่ว่าถูกใจหรือไม่อะไรนั่นหลังจากนี้อย่าได้พูดขึ้นมาอีก อย่าลืมว่าครั้งนี้ข้าไปพื้นที่ลับเพราะอะไร!”
ฟังถึงตรงนี้สายตาที่เสิ่นฉงเหวินมองถังมู่เฉินแลมีความสงสารขึ้นมา
พวกเขาเหล่านี้มีใครไม่รู้บ้างว่าจุดประสงค์การไปพื้นที่ลับเป็นเพราะการมุ่งหน้าไปเฟิ่งหลินโจว แต่ไม่ว่าคุณหนูตระกูลซั่งกวนแห่งเฟิ่งหลินโจวปัจจุบันจะโดดเด่นเพียงใด แต่ที่นั่นกลับยกสตรีเป็นใหญ่!
น่าสงสารญาติผู้พี่ของเขา หลังจากนี้ไม่ต้องพูดถึงคู่บำเพ็ญหรือเมียรอง หากชนะการคัดเลือกเขยพี่สะใภ้ในอนาคตอย่าเพิ่มพี่น้องมาอยู่เป็นเพื่อนเขาก็ดีมากแล้ว
คิดถึงเท่านี้จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแม้ตนเองจะโดดเด่นไม่เท่าตระกูลเฉิง ไม่มีคุณสมบัติในการแย่งชิงกลับกลายเป็นเรื่องดี
แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้วถือเป็นเรื่องดี สำหรับตระกูลกลับไม่ใช่ หากว่าไม่มีผลประโยชน์ที่มากกว่าตระกูลใหญ่เหล่านี้ก็คงไม่ตั้งใจเอาชนะมากเช่นนี้
เขาเคยถามเฉิงหรูยวน หรือว่าใจของเขานั่นยินยอม
เฉิงหรูยวนกลับตอบเช่นนี้ ‘ตระกูลให้ข้ามากเกินไป หากข้าใช้เรื่องสำคัญในชีวิตมาตอบแทนตระกูลก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรนัก ข้าเป็นบุรุษ เรื่องรักใคร่แต่เดิมจะมีหรือไม่ก็ได้ ในอนาคตนางจะทำเรื่องอะไรแล้วไม่เข้าไปข้องเกี่ยว ขอเพียงเดินไปตามทางเซียนของตนเองก็พอแล้ว’
ในตอนนั้นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความโอหังยากจะปิดบัง เขารู้ว่าเขายังคงเป็นเฉิงหรูยวนที่ศักดิ์ศรีฝังลงไปลึกถึงกระดูกดำ
ผู้คนแนะนำตัวเองอย่างง่ายๆ แล้วจึงออกจากหอวั่งไห่โดยสารเรือเร็วลำหนึ่ง มุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ลับ
บนท้องทะเลคลื่นสีหยกไร้ขอบเขต เวลาส่วนใหญ่มั่วชิงเฉินมักจะอยู่ในห้องฝึกฝนวิชาน้ำพลิ้วตามกายา แต่ผ่านมานานก็ไม่มีทางทะลุไปถึงขั้นสาม
วันนี้นางฝึกจนรู้สึกน่าเบื่ออยู่เล็กน้อยจึงผลักประตูออกมายืนพิงราวกั้นมองทิวทัศน์อย่างสบายอารมณ์ จังหวะที่สายตาทอดมองไปยังปลาที่กำลังพลิกตัวใจก็เกิดฉุกคิดขึ้นมา