พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 388 มหันตภัยทุ่งหมอกพิษ
“คุณชายเผย กลุ่มนั้นจากไปแล้ว” ชายบำเพ็ญรูปร่างผอมเล็กผู้นี้เดินสังเกตรอบต้นหลิวแดงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงพูดกับเผยสิบสาม
“อ่า เช่นนั้นพวกเราควรเลือกทางใด” เผยสิบสามถาม
ชายบำเพ็ญรูปร่างผอมเล็กผู้นี้ชื่อว่าลี่ว์เหยียน มีชื่อเสียงด้านการสะกดรอย เป็นผู้ช่วยที่เขาตั้งใจเชิญมา
ลี่ว์เหยียนพูดพึมพำ “ก่อนหน้านี้พวกเขาน่าจะไปทางตะวันออก พวกเราไปตะวันตก ฉะนั้นหลังจากนี้พวกเราไปเพียงทิศเหนือและใต้สองทางก็พอแล้ว”
หากว่าพวกเฉิงหรูยวนอยู่ที่แห่งนี้คงจะต้องตกตะลึงพรึงเพริดเป็นแน่ คนผู้นี้แม้แต่ทิศไหนที่พวกเขาจะไปก่อนยังสังเกตออก ช่างทำให้คนตกตะลึงเสียจริง
“เช่นนั้นไปทิศเหนือเถิด” เผยสิบสามพูดเรียบๆ
พวกเขาโชคดีอย่างแท้จริง เข้าไปก็พบวงแหวนสีเขียวกว่าสิบลำทางทิศเหนือ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเลือกวงแหวนหนึ่งเดินเข้าไปตามใจ
ร่างของมั่วชิงเฉินกำลังตกลงไปพบว่าด้านล่างเป็นหลุมขนาดใหญ่ ภายในหลุมมีงูพิษเลื้อยอยู่เต็มไปหมด พวกมันพงกหัวแลบลิ้น ดวงตาสีเขียววาวจ้องเขม็งกลุ่มคนที่กำลังตกลงมา
“แย่แล้ว ของวิเศษบินลอยสูญเสียการใช้!” ช่วงที่ตกใจก็ได้ยินเยงเหอเทียนผู้ฝึกกายตะโกนเสียงดัง
ในตอนนี้วิธีการรับมือของทุกคนต่างกันออกไป
หอกเปลวไฟปรากฏขึ้นในมือทั้งสองข้างของเฉิงหรูยวน โจมตีไปด้วยความเร็วงูยาวตัวหนึ่งถูกกระแทกจนลอยไป ในช่วงที่เขากำลังจะตกถึงพื้นหอกเปลวไฟกระแทกพุ่งเข้าไปบนพื้นเต็มๆ อาศัยแรงดันนั้นทำให้ทั้งร่างกระเด็นออกไปด้านนอก เขาพลิกตัวทิ้งตัวลงนอกหลุม ขยับมือเล็กน้อยหอกเปลวไฟก็กลับเข้าประจำที่อีกครั้ง พลิกข้อมืองูตัวยาวที่อยู่บนหอกเปลวไฟก็ถูกเขวี้ยงกลับไปในหลุมเหมือเดิม
ถังมู่เฉินร้องโวยวายเสียงดัง พัดในมือสะบัดอย่างแรงทีหนึ่ง พัดลอยวนหนึ่งอยู่บนหลุมลึกปรากฏเป็นเสือสีดำตัวตัวหนึ่ง ในช่วงที่เขาตกลงบนพื้นก็พอดีกับที่ตกลงบนหลังเสือ เสือสีดำคำรามเสียงดังทีหนึ่ง ขาหลังสะกิดพื้นกระโดดขึ้นมา
เหอเทียนผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังกลับทิ้งตัวตกลงไป จากนั้นบริเวณเท้าก็ปรากฏแสงสีทองสะท้อนขึ้นมา เขาออกตัววิ่งอย่างแรงพุ่งขึ้นมาข้างบน ตลอดทางนั้นไม่รู้ว่าเหยียบงูพิษตายไปมากเท่าไร เบื้องหลังของเขามีเลือดเนื้อของงูพิษกลายเป็นกองโคลน แล้วยังมีงูพิษจำนวนไม่นอนที่บินลอยไปทั่วเพราะแรงของเท้าใหญ่ที่เหยียบลงไป
แม่นางจอมพิษขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ ลอบคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังผู้นี้ช่างบุ่มบ่ามป่าเถื่อน ช่างน่ารังเกียจเสียจริงเลย
แม้ว่านางจะตกลงไปในหลุมแต่บนนิ้วมือทั้งสิบมีฝุ่นผงจำนวนมากลอยตก งูพิษที่อยู่บริเวณนั้นหลีกหนีไปทั่วด้านในทันใด กลัวว่าจะเข้ามาใกล้กายนาง
มุมปากของแม่นางจอมพิษอมยิ้ม เดินผ่านไปด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
การแสดงออกของเสิ่นฉงเหวินถือว่าน่าตะลึงใจ เขาเขวี้ยงมีดบินในมือติดต่อกันเจ็ดเล่ม เพียงแค่หมุนเท้าเบาๆ ร่างก็ไปยืนอยู่บนมีดบิน จากนั้นก็อาศัยแรงกระโดเหยียบอยู่บนมีดบินอีกเล่มหนึ่ง
ท่าทางคล่องแคล่วร่างกายพลิ้วไหวว่องไวกระโดดขึ้นไปบนมีบินเจ็ดเล่มทีละเล่ม ทิ้งตัวลงบนขอบฝั่งพอดี
ในบรรดาหกคนคนที่สบายที่สุดย่อมเป็นมั่วชิงเฉิน ในที่แห่งนี้แม้ว่าของวิเศษบินลอยจะใช้ไม่ได้ แต่นางเคยกินผลเซียนบินมาแล้วจึงไม่ได้ผลกระทบแม้แต่น้อย นางถึงได้ลอยตัวอยู่กลางอากาศบินลงมาทิ้งตัวอยู่ข้างหลุม พิจารณามองวิธีการของคนอื่นอยู่เงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก
“ให้ตายเถอะ นี่มันสถานที่บ้าอะไรกัน!” เหอเทียนผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังขมวดคิ้วมุ่นบนเท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเนื้อเละโคลนเปื้อน ยกเท้าพลางสะบัดทิ้ง
แม่นางจอมพิษกัดริมฝีปาก “สหายเต๋าเหอ ท่านระวังหน่อย!”
เหลือบเห็นแววตารังเกียจจากแม่นางจอมพิษ ใบหน้าของเหอเทียนแดงกล่ำขึ้นมาในทันใด อึกๆ อักๆ พูดอะไรไม่ออก
เฉิงหรูยวนยิ้มพูดไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “สหายเต๋าทั้งหลายพวกเรารีบไปเถิด ที่นี่ไม่อาจใช้พาหนะบินลอย เกรงว่าจะเสียเวลาไปไม่น้อย”
ที่น่าบังเอิญคือหลุมงูนี้ตั้งอยู่ริมขอบฝั่งหนึ่งพอดี พวกเขาเพียงแต่เดินตรงไปข้างหน้าก็พอแล้ว
ตลอดทางงูพิษมีให้เห็นอยู่ตลอด มักจะโผล่เข้ามาสร้างความลำบากให้คนโดยไม่ทันตั้งตัว
ตอนแรกทุกคนยังแสดงฝีมือจัดการ ต่อมาแม่นางจอมพิษเริ่มรำคาญ นางสะบัดมือและพูดว่า “ข้าเอง”
เห็นนางยกมือเปล่าขึ้น ผงสีขาวจำนวนไม่น้อยตกลงไปอย่างรวดเร็ว มันกระจายออกไปตามแรงลม ขอบเขตบริเวณที่ทุกคนยืนอยู่เงียบสงบในทันใด
“สำเร็จแล้ว ไปเถิด” แม่นางจอมพิษหันกลับมาส่งยิ้มให้ เชิดหน้ายืดอกเดินตรงไปข้างหน้า
นางมีเอวคอดบั้นท้ายงอน หน้าอกเชิดสูงอยู่แต่เดิม การเดินที่อวดทรวดทรงองค์เอวชายกระโปรงระพื้นเบาๆ เช่นนี้ทำให้เกิดเสน่ห์สง่าราศีขึ้นมาในทันใด
มั่วชิงเฉินได้ยินเสียงเหอเทียนกลืนน้ำลายอย่างชัดเจน นางปาดเหงื่อรีบเดินตามไป ไม่ลืมที่จะปล่อยกระแสจิตออกไปดูเหตุการณ์รอบด้าน
กระแสจิตของนางแม้จะไม่อาจสู้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายได้ แต่เพราะเคยฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา มีส่วนที่พิเศษออกไปกระแสจิตสามารถรวมกันเป็นเส้น มีกำลังในการเจาะทะลุอย่างมาก
เพราะที่แห่งนี้แม้จะกีดขวางกระแสจิตทำให้ขอบเขตการสืบเสาะของกระแสจิตทุกคนนั้นอยู่เพียงไม่กี่ลี้เท่านั้น แต่นางกลับดีกว่ามาก ขอบเขตการสืบเสาะสามารถไปไกลถึงร้อยลี้
“เจ้าทำอะไร!” เห็นจู่ๆ มั่วชิงเฉินชะงักไป เสิ่นฉงเหวินที่อยู่ข้างหลังเกือบจะขนเข้า เขารีบหลบไปอีกข้าง ในดวงตาสะท้อนแววโกธราเอาไว้
“น้องสาว มีเหตุการณ์อะไรเช่นนั้นหรือ” ถังมู่เฉินตบเสื้อสีขาวปลอดบนกาย เขามักรู้สึกว่าบนร่างกายมีกลิ่นแปลกที่บอกไม่ถูก หรือจะเป็นน้ำลายของงูพิษเหล่านั้น
มั่วชิงเฉินเงยหน้ามองผู้คนที่เข้ามาล้อมรอบ ชี้ไปทางหนึ่งแล้วพูดว่า “ทางนั้น มีคนกำลังต่อสู้”
คำพูดเพิ่งจบ กลุ่มคนเหล่านั้นต่างพากันปล่อยกระแสจิตออกไปสืบเสาะทางทิศนั้นพร้อมกัน แต่กลับไร้ซึ่งผลลัพธ์
“แม่นางถัง ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่” เหอเทียนขมวดคิ้วถามขึ้น เขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย แม้จะไม่เก่งกาจพลังยุทธ์ แต่กระแสจิตกลับไม่อ่อนแอ อย่างน้อยก็น่าจะสามารถเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้น
เสิ่นฉงเหวินฮึดฮัดไม่พูดอะไรออกมา ในใจของเขาแม้จะยังไม่คิดเชื่อ แต่ก็ค่อยๆ รู้สึกว่าแม่นางถังผู้นี้ไม่ใช่คนที่คุยโวโอ้อวด
“แม่นางถัง ห่างออกไปไกลอีกประมาณเท่าใดหรือ” เฉิงหรูยวนถามออกมาตรงๆ ไม่พูดแม้แต่คำเดียวว่าเหตุใดมั่วชิงเฉินถึงรู้สึกได้
กระแสจิตของมั่วชิงเฉินยังคงถูกปล่อยออกไป นางกัดริมฝีบากเบาๆ พูดว่า “เพราะปัญหาการรบกวนของห่วงเวลา การใช้กระแสจิตเข้าไปสอดส่องจะขาดๆ หายๆ ตอนนี้จับสัมผัสไม่ได้อีกแล้ว แต่การต่อสู้เมื่อครู่นี้อยู่ห่างออกไปร้อยลี้”
“ร้อยลี้ นี่เป็นไปได้อย่างไร!” เหอเทียนเอ่ยขัดโต้แย้งขึ้นมา
หากว่ากระแสจิตของมั่วชิงเฉินสามารถสืบเสาะได้ไกลกว่าคนอื่นเสียหน่อยก็แล้วไป แต่ในสถานการณ์ที่เขาสามารถสอดส่องได้เพียงกี่สิบลี้ นางกลับสามารถสอดส่องได้ไกลกว่าร้อยลี้ ช่างไม่น่าเชื่อเสียจริง
ครั้งนี้แม้แต่เฉิงหรูยวนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา “แม่นางถัง ท่านสอดส่องได้ไกลกว่าร้อยลี้จริงหรือ”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วมุ่น “โกหกไปแล้วจะส่งผลดีอะไรต่อข้าน้อย สหายเต๋าเฉิง ท่านรีบตัดสินใจว่าต่อไปพวกเราควรทำเช่นไรเถิด”
สีหน้าของเฉิงหรูยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไป ไปดูทางนั้น แม่นางถัง ต่อจากนี้ต้องรบกวนให้ท่านนำทางแล้ว”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ก้าวเท้าเดินไปยังทิศทางนั้น
ไม่สามารถใช้พาหนะบินลอยได้ความเร็วจึงลดลงไปมาก รอจนไปถึงบริเวณนั้นกลับพบว่ามีคนสองกลุ่มกำลังปะมือกันอยู่ ระดับความรุนแรงนั้นทำให้พวกเฉิงหรูยวนต้องตกใจ
คนอื่นที่เหลือพากันส่งสายตามองเฉิงหรูยวน ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่าหลังจากเข้ามาในพื้นที่ลับแล้วแม้จะมีการต่อสู้แก่งแย่ง แต่ก็มีข้อจำกัด ไม่สามารถทำร้ายคนถึงแก่ชีวิต แต่สถานการณ์ที่เห็นในตอนนี้เห็นชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ไม่ถูกต้องเท่าไรนัก” สายตาของแม่นางจอมพิษกลับถูกกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้ดึงดูด จู่ๆ พูดขึ้นมา
“แม่นางจอมพิษมีความเห็นเช่นไรหรือ” เฉิงหรูยวนขมวดคิ้วมองผู้คนที่ต่อสู้กัน ผู้นำกลุ่มทั้งสองคนเขาล้วนรู้จัก คนหนึ่งคือคุณชายห้าของตระกูลจู้ อีกคนคือคุณชายแปดของตระกูลสวี่
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนต่างมีสภาพพอๆ กัน จู้ห้าเปื้อนเลือดทั้งตัว ร่างกายโซเซเหมือนจะล้ม ส่วนสวี่แปดยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แขนเขาหักไปแล้วข้างหนึ่ง แม้จะบอกว่ามีโอสถต่อติดกระดูกที่หักสามารถโตขึ้นมาใหม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ยังตะลึงต่อภาพที่เห็น
“พวกเจ้าดูไอหมอกสีเขียวอ่อนที่ลอยอยู่บนยอดหญ้า นั่นมันหมอกพิษ!” แม่นางจอมพิษชี้ยังไปบริเวณที่ทุกคนกำลังต่อสู้กันอยู่
“หมอกพิษ?” สำหรับพวกเขาหมอกพิษถือว่าเป็นสิ่งหายาก อดไม่ได้ที่จะทอดสายตามองแม่นางจอมพิษ
แม่นางจอมพิษยิ้มกว้าง “ข้าลองให้ได้ แต่พวกเขาทำเช่นไร” พูดพลางชี้ไปยังกลุ่มคนที่ต่อสู้กันอยู่
“ห้ามพวกเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” เฉิงหรูยวนพูด
“เช่นนั้นก็ง่าย พวกท่านให้พวกเขาหลีกห่างออกมาจากหมอกพิษก่อน ที่เหลือข้าจัดการเอง จำเอาไว้ว่าห้ามเข้าไปในเขตหมอกพิษ” แม่นางจอมพิษพูด
เฉิงหรูยวนพยักหน้า แต่ละคนนำสมบัติวิเศษออกมาพร้อมกัน ดึงคนที่อยู่ในหมอกพิษออกมา
แต่เดินทั้งสองกลุ่มมีคนรวมกันสิบสองคน ตอนนี้เหลือเพียงเจ็ดคน
ในมือของแม่นางจอมพิษมีขวดหยกเพิ่มขึ้นมาขวดหนึ่ง นำไข่มุกน้ำค้างที่สุกสกาวออกมาไว้บนฝ่ามือจำนวนหนึ่ง จากนั้นนิ้วเรียวดีดออกไป ไข่มุกน้ำค้างแต่ละเม็ดไหลเข้าปากแต่ละคนไป หลังจากนั้นดวงตาของพวกเขาก็กลับกลายเป็นชัดเจน
“สวี่แปด เจ้าลอบโจมตี ช่างไร้ยางอายนัก!” จู้ห้าได้สติกลับมา เห็นฝั่งตรงข้ามเป็นสวี่แปดแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขากระโดดพลางชี้หน้าด่าขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกว่าขาอ่อนแรงต้องทรุดตัวนั่งลงบนพื้น
ดวงตาทั้งสองข้างของสวี่แปดดำสนิทส่องประกาย สะท้อนความเยือกเย็นประดุจงูพิษ “ข้าไร้ยางอาย จู้ห้า เจ้าลืมตาดูให้ดี ตอนนี้ข้ามีสภาพเป็นเช่นไร ข้างกายข้ายังเหลืออีกกี่คน!”
แท้จริงแล้วท่ามลางคนเจ็ดคนที่มีชีวิตรอด นอกจากจู้ห้าและสวี่แปดแล้ว ก็มีเพียงคนเดียวที่เป็นคนของสวี่แปด
“พี่น้องทั้งสองท่านอย่าทะเลาะกันเลย พวกเจ้าโดนหมอกพิษเล่นงานจึงสูญเสียสติสัมปชัญญะไป” เฉิงหรูยวนพูดขึ้น
“เฉิงเจ็ด เจ้า!” สวี่แปดมีสีหน้าระแวดระวัง
จู้ห้ากลับหัวเราะ “แท้จริงก็เป็นพี่เฉิงนี่เอง ขอบคุณพี่เฉิงที่ช่วยเหลือ”
สวี่แปดกัดริมฝีปากอย่างแรก จู้ห้าเจ้าคนชั่วช้า ช่างเข้าหาคนเป็นนัก วันนี้ทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ แค้นนี้ไม่อาจปล่อยวาง
อากัปกิริยาเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ในสายตาของจู้ห้าทั้งหมด แต่กลับลอบแค่นเสียงใส่ ตอนนี้เจ้าเหลือกันเพียงสองคนเท่านั้น ข้าจะต้องกลัวเจ้าด้วยหรือไร หากออกไปจากที่นี่ได้เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ต้องกลัวแล้ว!
คิดเช่นนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันที พูดคุยสนทนากับเฉิงหรูยวนขึ้นมา
เฉิงหรูยวนและจู้ห้าไม่ได้ถือว่ามีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งนัก แต่กลับเคยทักทายพูดคุยกันอยู่บ้าง จึงรับคำพูดว่า “พี่น้องทั้งสองท่านโปรดพักผ่อนให้ดีเถิด ข้าน้อยขอตัวก่อน”
เขาส่งกระแสจิตไปให้แม่นางจอมพิษนานแล้ว เดินผ่านหมอกพิษบริเวณนี้ไปไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่นัก
เห็นเฉิงหรูยวนก้าวเท้าเตรียมจากไป จู้ห้าร้อนใจขึ้นมา “พี่เฉิง โปรดหยุดก่อน”
“จู้ห้ายังมีธุระหรือ” เฉิงหรูยวนหันกลับมามอง
จู้ห้ากัดฟันพูด “พี่เฉิง ช่วยเหลือข้าได้หรือไม่ พาพวกน้องผ่านไปด้วย”
ตอนนี้เขายังมีอยู่ห้าคน เห็นชัดว่ายังไม่สูญเสียโอกาสในการแย่งชิง ย่อมไม่ยินยอมโดนขังอยู่ที่นี่
สวี่แปดเห็นเหตุการณ์แล้วร้อนใจขึ้นมา “พี่เฉิง ตัวน้องตอนนี้เหลือเพียงสองคนเท่านั้น ย่อมไม่คิดเป็นการอื่น แต่วงแหวนสีขาวมีจำต้องผ่านเขตหมอกพิษส่วนนี้ไปถึงจะมี ขอให้พี่เฉิงโปรดช่วยเหลือ หลังจากนี้ข้าน้อยต้องซาบซึ้งในน้ำใจไปตลอดเป็นแน่”
เฉิงหรูยวนเปลี่ยนความคิดในฉับพลัน อมยิ้มพูดว่า “ได้”
แต่เพิ่งพูดจบบริเวณฝั่งตรงข้ามหมอกพิษก็มีอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา เห็นคนที่อยู่ฝั่งนี้ต้องตะลึงไป