พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 389 พบเผยสิบสามอีกครั้ง
ณ เวลานี้เข้ามาในพื้นที่ลับเป็นครั้งแรกคนกลุ่มเหล่านี้ล้วนยังหาดอกสำลีตกสวรรค์ไม่พบ การบังเอิญเจอกันแม้จะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะตึงเครียดถืออาวุธเข้าหากัน
ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าพื้นที่ลับย่อมต้องเป็นตระกูลใหญ่เหล่านั้น บางตระกูลที่ค่อนข้างโดดเด่นแม้จะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนก็ต้องเคยได้รับข้อมูลของแต่ละฝ่ายกันมาแล้ว ในตอนนี้เมื่อได้พบหน้ากันย่อมรู้ว่าเป็นใคร
“พี่สยง” เฉิงหรูยวนกุมมือคารวะ
เขาและคุณชายสยงสี่ผู้นี้ไม่เคยมีผูกสัมพันธ์กันมาก่อน แต่หลังจากที่เห็นข้อมูลแล้วกลับมีความประทับใจอย่างลึกซึ้ง เหตุผลไม่มีอะไรอื่นนอกจากในพื้นที่เซิงโจวแต่เดิมเป็นดินแดนของผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ แต่คุณชายสยงผู้นี้กลับเลือกฝึกสิ่งที่หาพบยากอย่างสายพละกำลัง
พูดได้ว่าในตระกูลบำเพ็ญเพียรของเซิงโจวนี่ถือว่าขัดกับหลักทำนองคลองธรรมแล้ว
เล่าต่อกันมาว่าในตอนนั้นหัวหน้าตระกูลสยงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตัดสินใจไล่เขาออกจากตระกูล ตราบจนเขาร่ำเรียนวิชาสำเร็จแล้วกลับมา วิชาการฝึกพละกำลังนั้นแข็งแกร่งไม่มีทีเปรียบ เมื่อทำการแข่งขั้นต่อสู้ในตระกูลก็กลายเป็นคนที่อยู่อันดับหนึ่งด้วยการกำราบศิษย์ระดับเดียวกันอย่างราบคาบจนหมดสิ้นถึงได้รับการยอมรับกลับมาอีกครั้ง และเพราะเหตุนี้คนผู้นี้ถึงได้พอมีชื่อเสียงในเซิงโจว
แม้สยงสี่จะเลือกเดินทางบำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง แต่ก็ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหล่านั้น ไม่ได้มีรูปร่างใหญ่โตเอวหนา ในทางกลับกันรูปร่างของเขาไม่สูงไม่กำยำ สวมใส่เสื้อตัวสั้นที่กระชับคล่องแคล่วกล้ามเนื้อนูนขึ้นโดดเด่น หากเป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องจะต้องคิดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ที่บึกบึนแข็งแรงเป็นแน่
สยงสี่กวาดตามองกลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามหมอกพิษ พยักหน้าน้อยๆ ให้เฉิงหรูยวน จากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้า
ข้างกายกลับมีชายหนุ่มเสื้อฟ้าผู้ซึ่งผมขาวโพลนแต่สุขภาพดี ใบหน้างดงามไม่อาจที่เปรียบก้าวขึ้นมาจับข้อศอกเขาเอาไว้ กระซิบพูดสองสามประโยค
ใบหน้าของสยงสี่ปรากฏแววประหลาดขึ้นมาแล้วหายไปในทันใด พลางมองที่หมอกพิษอีกครั้ง ท่าทีดูหวาดระแวงขึ้นมา
“ตรงข้ามนั่นคือคุณชายเจ็ดของตระกูลเฉิงกระมัง” สยงสี่ถึงได้กุมมือคารวะ
เฉิงหรูยวนควบคุมตนเองได้เป็นอย่างดี พยักหน้าน้อยๆ ตอบรับ “เป็นข้าน้อยเอง”
“พี่เฉิง แม่นางผู้นั้นใช่แม่นางจอมพิษที่มีชื่อเสียงโด่งดังใช่หรือไม่” สยงสี่ชี้ไปทางหญิงสาวชุดดำผู้ซึ่งมีรูปร่างเย้ายวน ยืนตัวเป็นๆ อยู่ข้างกายเฉิงหรูยวน
เฉิงหรูยวนมองแม่นางจอมพิษทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองสยงสี่ “ใช่แล้ว ”
น้ำเสียงของสยงสี่แฝงความเกรงใจเอาไว้บางส่วน “ข้าได้ยินสหายพูดว่าหมอกพิษเบื้องหน้ามีฤทธิ์ทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะจนเกิดคลุ้มคลั่ง หากคิดจะผ่านไปอย่างไหลลื่นเกรงว่าต้องให้แม่นางจอมพิษออกโรง ไม่ทราบว่าพี่เฉิงยินยอมช่วยเหลือสักครั้งหรือไม่ ตัวข้าสกุลสยงย่อมจำจดไว้ในใจ”
คำขอเช่นนี้หากเป็นผู้อื่นอาจปฏิเสธอย่างไม่คิด แต่เฉิงหรูยวนครุ่นคิดแล้ว หากจะไล่ต้นแกะหนึ่งตัวก็ต้องไล่ต้อน ไล่ต้อนแกะสามก็ต้องไล่ต้อนอยู่ดี เขาตกลงรับปากจู้ห้าและสวี่แปดแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจผิดกับสยงสี่
“หากแม่นางจอมพิษสามารถทำลายหมอกพิษนี้ได้ ตัวข้าสกุลเฉิงย่อมต้องช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน” เฉิงหรูยวนพูดจบก็มองไปทางแม่นางจอมพิษทีหนึ่ง
แม่นางจอมพิษพยักหน้า ก้าวขึ้นมาในมือมีขวดทรงน้ำเต้าขวดหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ปากพึมพำไม่หยุด ปล่อยเคล็ดวิชาที่ซับซ้อนวุ่นวายเข้าไปในน้ำเต้าหยกไม่หยุด เห็นว่าน้ำเต้าหยกส่องแสงประกายจัดจ้า เป็นประกายสวยงาม
มุมปากของนางประดับรอยยิ้มบางๆ แสดงเสน่ห์กระชากวิญญาณออกมา แต่ดูเหมือนตัวนางไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ ยื่นนิ้วเรียวยาวออกมาดึงปากน้ำเต้าออกด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ปากน้ำเต้าดูเหมือนมีแรงดูดมหาศาล ไออากาศสีเขียวอ่อนที่ลอยวนอยู่บนยอดหญ้าค่อยๆ ลอยหายเข้าไปในน้ำเต้า
แม่นางจอมพิษโยนขวดน้ำเต้าหยกขึ้นกลางอากาศ น้ำเต้าหยกเริ่มเคลื่อนย้ายไปตามทิศทางต่างๆ ช้าๆ ทุกการเคลื่อนไหวหมอกพิษที่อยู่บริเวณนั้นก็จะถูกดูดจนหมดสิ้น
ลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศเช่นนี้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ หมอกพิษบริเวณนั้นก็สลายหายไปหมดสิ้น ทั้งหมดถูกดูดหายเข้าไปในน้ำเต้าหยก
แม่นางจอมพิษชูมือขึ้นเรียก น้ำเต้าหยกลอยเข้ามาในมือ แต่ใบหน้าของนางกลับซีดขาวไปเล็กน้อย นางใช้ผ้าสีขาวผืนเล็กเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มให้เฉิงหรูยวน “คุณชายเฉิง สำเร็จแล้วเจ้าค่ะ”
จนถึงตอนนี้ริมฝีปากถึงได้ยกขึ้น แลดูมีความภูมิใจแฝงอยู่
พูดถึงเรื่องการสร้างพิษและควบคุมพิษนางกล้าพูดว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันไม่มีใครเป็นคู่แข่งนางได้
หมอกพิษถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น เฉิงหรูยวนไม่คิดอยู่นาน ประสานมือคารวะผู้คนกลุ่มนั้นแล้วจากไป
จ้องมองทิศทางที่กลุ่มเฉิงหรูยวนจากไปอยู่นานสยงสี่ถึงหันกลับมา มองไปยังจู้ห้าและสวี่แปด
“พี่สยงมีกิจใดหรือ” จู้ห้าเกิดนึกตื่นเต้น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงถามขึ้น
ดวงตาทั้งสองข้างของสยงสี่จับจ้องสองคน จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงกัง “พี่จู้ พี่สวี่ พวกท่านจะออกไปเองหรือจะให้น้องส่งพวกท่านออกไปดีเล่า”
พูดจบก็เหลือบไปมองวงแหวนสีขาวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลทีหนึ่ง
สีหน้าของจู้ห้าเปลี่ยนไปในทันใด แม้ว่าเขาจะสู้กับสวี่แปดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทางนี้กลับสูญเสียไปเพียงคนเดียว ย่อมต้องไม่ยินยอมพร้อมใจกลับไปเช่นนี้เป็นแน่
สวี่แปดแม้จะแค้นสยงสี่ แต่คิดไม่ถึงว่าจู้ห้าเองก็หนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน ใจรู้สึกเหมือนได้พ่นลมแค้นออกมาระลอกหนึ่งในฉับพลัน กลับกลายเป็นมองสยงสี่ถูกชะตาขึ้นมา
“ขอลา” สวี่แปดประสานมือ พาผู้ช่วยเพียงคนเดียวเหยียบเข้าไปในวงแหวนสีขาว แววตาประกายยินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของผู้อื่น
“พี่สยง ตอนนี้เรื่องดอกสำลีตกสวรรค์ยังไม่มีแม้แต่เงาให้เห็น ไม่จำเป็นต้องเอาเป็นเอาตายกับพี่น้องกระมัง” จู้ห้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
สยงสี่มองเขาด้วยอาการคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะยิ้ม “พี่จู้เลือกดีแล้วหรือ”
กลายเป็นว่าไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
สีหน้าจู้ห้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ในที่สุดก็เข้าใจว่าคนที่ขัดหลักทำนองคลองธรรมอย่างเขาไม่รู้การไว้หน้าผู้อื่น
เขากัดฟันแน่น “ได้ พี่สยง พวกเราได้พบกันใหม่แน่!”
พูดจบก็หมุนตัวแต่จังหวะที่สยงสี่นำกลุ่มคนเตรียมหันไปอีกทาง จู้ห้าและผู้ช่วยอีกสี่คนหันกลับมาอย่างรวดเร็วต่างคนต่างใช้วิธีของตนเองโจมตีฝ่ายตรงข้าม
ทางด้านสยงสี่เหมือนคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว หันกลับไปบุกโจมตีกลับในทันใด ทางด้านจู้ห้าที่ปราณดั้งเดิมเสียหายไปเยอะเพราะการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเห็นความแตกต่างได้ชัด เพียงแค่พริบตาเดียวก็ไม่มีแรงต่อสู้ดิ้นรน หมดปัญญาหนีรอดไปได้
มองดูห้าคนที่ถูกจับกุม สยงสี่ก้าวขึ้นมาข้างหน้าทีละก้าว
“สยงสี่ เจ้า เจ้ากล้าหรือ!” จู้ห้าแสร้งทำเป็นแข็งข้อตะคอกออกมา
สยงสี่สืบเท้าเข้ามาไม่หยุด เมื่อมาถึงข้างหน้าจู้ห้าก็ลากเขาขึ้นมาเหมือนเป็นลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆ แล้วโยนเข้าไปในวงแหวนสีขาวในทันใด
จากนั้นก็ไม่หยุดเขาโยนสี่คนที่เหลือเข้าไปทีละคน แล้วปัดมือไปมาพูดว่า “ไม่รู้กำลังตัวเอง!” แววตาสะท้อนความเย้ยหยันเอาไว้
ชายหนุ่มผมขาวโพลนผู้นั้นเขยิบเข้ามาใกล้ “ซื่อหยวน แล้วคุณชายเฉิงผู้นั้นจะทำเช่นไร”
สยงสี่ขมวดคิ้ว สุดท้ายก็พูดออกมาอย่างไม่ยินยอยพร้อมใจเท่าไรนัก “ช่างเถิด ปล่อยเขาไป เฉิงเจ็ดไม่ใช่คนที่เอาไปเทียบกับคนอ่อนแอแบบนั้น”
เฉิงหรูยวนและพวกเดินวนไปมาแต่ยังหาม่านพลังเคลื่อนย้ายสีเขียวไม่พบ จำต้องวนกลับมาด้วยความจนปัญญา พวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้
“พี่เฉิง พบกันอีกแล้ว” มาถึงสุดปลายทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็บังเอิญพบกับกลุ่มสยงสี่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ไกลมีวงแหวนสีเขียวอยู่จำนวนหนึ่ง
ทั้งสองกลุ่มแยกย้ายตำแหน่งไปอย่างรู้กันและกัน ต่างฝ่ายต่างเลือกม่านพลังเคลื่อนย้ายเหยียบเข้าไป
ช่วงเวลาหลังจากนั้นเฉิงหรูยวนและพวกพ้องก็เริ่มไปกลับระหว่างเขตพื้นที่ต่างๆ ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดหาพบยากล้วนประสบมานับครั้งไม่ถ้วน การต่อสู้ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ประสบผ่านมาไม่น้อยเช่นเดียวกัน ไม่นานก็เริ่มรู้สึกว่าพบกลุ่มอื่นน้อยลงเรื่อยๆ
จะว่าไปแล้วก็ใช่เขตไร้จนแห่งนี้แต่เดิมมีเขตพื้นที่มากมายไร้ที่สิ้นสุด แม้พวกเขาจะมีกลุ่มเยอะมากมาย แต่หากแยกย้ายไปเมื่อไรก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร พร้อมกับมีกลุ่มที่บังเอิญเจอแล้วปะมือกัน กลุ่มที่พ่ายแพ้ย่อมถูกโยนเข้าไปในวงแหวนสีขาวโดนขับไล่ กลุ่มคนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
พวกมั่วชิงเฉินเพิ่งจะฟื้นฟูพลังวิญญาณหลังจากสู้กับสัตว์อสูร พบวงแหวนสีเขียวกำลังจะเหยียบเข้าไปก็เห็นว่าวงแหวนสีเขียวนั้นส่องประกายพอให้เห็นร่างของคนหกคน
ทั้งหกคนนั้นเมื่อเห็นพวกมั่วชิงเฉินก็ไม่รอช้า ต่างฝ่ายต่างบุกโจมตีในทันใด
สถานการณ์ที่เปิดศึกต่อสู้ทันทีที่พบหน้าเช่นนี้ผู้คนทั้งหลายต่างประสบผ่านกันมาหลายครั้งแล้ว ออกกำลังแสดงฝีมืออย่างต่อสู้กับผู้ที่มาถึงไม่ลังเล
คนที่สู้กับมั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังผู้หนึ่ง คนผู้นั้นมีพละกำลังมหาศาล กำปั้นลมพุ่งมาทางมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินคิดว่าหากกำปั้นนี้พุ่งโดนเป้าตนเองคงจะต้องลอยกระเด็นเป็นแน่
แต่นางกลับไม่หลบหลีก มุมปากอมยิ้มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจในทันใด กังวลว่ามีอะไรแอบแฝง แต่ตอนนี้เมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ พลังกำปั้นของเขาพุ่งไปที่หญิงสาวโดยไม่ลดลง
ในชั่วขณะที่กำลังสัมผัสถึงผิวเนื้อของมั่วชิงเฉิน จู่ๆ นางก็ขยับตัว เห็นว่านางทิ้งตัวไปข้างหลังจากนั้นในจังหวะที่ทิ้งตัวลงไปกลับเอนไปทางซ้ายด้วยระยะที่ไม่น่าคาดคิด หลบเลี่ยงผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังพอดิบพอดี
ความเร็วในการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเร็วและมีพลังอย่างมาก แรงส่งย่อมมากเช่นเดียวกัน ในเสี้ยววินาทีที่กำปั้นพุ่งโดนอากาศต่อให้เขาเกิดความระแวงขึ้นในใจตอนนี้ก็ตั้งตัวไม่ทันแล้ว เขาเห็นว่าเบื้องหน้าจู่ๆ มีก้อนอิฐสีมองส่องประกายก้อนหนึ่งแล้วทั้งใบหน้าก็ปะทะเข้าไป เกิดเสียงดังกระหึ่ม
เสียงดังก้องที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้คนที่กำลังต่อสู้มือกันต้องหยุด สายตาหันมามองทางมั่วชิงเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ
พอดีกับที่นางกระโดดตัวลอยยกขาข้างหนึ่งเตะร่างของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังลอยออกไปไกลจนตกลงบนวงแหวนสีขาวสายหนึ่ง กระพริบเพียงสองสามทีก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
มั่วชิงเฉินจับก้อนอิฐแน่นช้อนตามองคนอื่น มองดูว่าใครต้องการให้ตนเองช่วยเหลือบ้าง
เห็นว่าคนอื่นดูตื่นตะลึงไปเล็กน้อย จึงเม้มปากยิ้ม “ท่านพี่ ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”
ยังไม่รอให้ถังมู่เฉินพูดอะไรคนที่ต่อสู้กับเขาก็ถอยหลังห่างออกไปจากขอบเขตการต่อสู้ โบกมือไปมาพร้อมพูดว่า “สหายเต๋าทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้วจริงๆ”
เฉิงหรูยวนอมยิ้มมองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง ถึงได้หันไปทางคนผู้นั้น “จะเข้าใจผิดหรือไม่ไม่สำคัญ พี่น้องเชิญเถิด” ชี้ไปยังแสงสีขาวที่อยู่ไม่ไกล
ผู้นำของกลุ่มนี้เขาไม่รู้จัก คิดว่าน่าจะไม่ใช่ตระกูลที่มีชื่อเสียงอะไร เฉิงหรูยวนที่ประสบพบพาลการต่อสู้มานานนับครั้งไม่ถ้วนย่อมขี้เกียจพูดไร้สาระ เลือกใช้วิธีที่เห็นผลมากที่สุด
ผู้นำกลุ่มตรงข้ามกัดริมฝีปาก ถลึงตามองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง “ได้ เจ้าเด็กน้อย ตัวข้าจำเจ้าไว้แล้ว!”
เฉิงหรูยวนไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักเฉิงหรูยวน อดนึกเสียใจที่ตอนแรกไม่ดูสถานการณ์ให้ดีบุกชิงลงมือไปก่อน แล้วยังถูกเจ้าเด็กคนนั้นคุมตัวคนหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือความสามารถในการต่อสู้ยิ่งด้อยถอยลงไป
ลูกผู้ชายเมื่อตกที่นั่งลำบากก็ต้องยอมถอยเพื่อที่จะไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง หากเขาไม่ไปก็แค่ถูกจัดการอีกครั้งเท่านั้นเอง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ฉวยโอกาสตัดสินใจดำเนินการอย่างฉับพลัน พลางถลึงตามองมั่วชิงเฉินอีกครั้ง แล้วถึงได้หันกลับไปด้วยท่าทางโมโห
มั่วชิงเฉินหลุบตาลง แววตาปรากฏความดูถูกขึ้นมา
ต่อให้มีความสามารถไม่พอ แต่การถอยหนีโดยไม่สู้กับการสู้อย่างสุดความสามารถแต่พ่ายแพ้สุดท้ายแล้วก็ยังต่างกัน
มีบางครั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรทำ พอทำแล้วดูขลาดเขลา แต่มีบางครั้งกลับเป็นเรื่องศักดิ์ศรีและจิตใจ ยอมแพ้ทั้งๆ ที่ไม่สู้ หลังจากนี้คิดจะพัฒนาขึ้นเกรงว่าคงเป็นเรื่องยากอย่างมาก
“แม่นางถัง ของวิเศษของท่าน…ช่างวิเศษนัก” เฉิงหรูยวนมองก้อนอิฐที่ส่องประกายแสงสีทองทีหนึ่ง รู้สึกว่าคำชมนี้แลดูกระอักกระอวนอยู่เล็กน้อย
เสิ่นฉงเหวินขมวดคิ้ว “น่าเกลียด!”
หญิงสาวผู้หนึ่งถือก้อนอิฐหนึ่งก้อน ช่างหยาบคายนัก!
ในตอนนี้เองที่วงแหวนสีเขียวอันหนึ่งเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในฉับพลัน ทุกคนตั้งป้อมหวาดระแวงในทันใด แต่กลับพบว่ากลางวงแหวนนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา คนที่นำมานั้นสวมใส่ชุดสีเขียวแกมฟ้า เลิกคิ้วส่งยิ้มให้ “พี่เฉิง พี่เสิ่น เอ๋ แม่นางมั่วอย่างนั้นหรือ”