พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 391 ให้พวกข้าได้ดู
เสียงหอบหายใจน่าเวทนาที่ดังขึ้นมาแม้จะเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่มั่วชิงเฉินที่รวบรวมสมาธิจดจ่อกลับฟังออกว่ามีสองคน นางไม่มีเวลาให้คิดมากรีบมุ่งไปยังแหล่งที่มาของเสียงที่อยู่ห่างจากตนน้อยที่สุดด้วยความรวดเร็ว
หมอกเทารอบกายยังคงรุนแรงเหมือนเดิม นางมองไม่เห็นทางข้างหน้า ในใจกลับสงบและชัดเจนไร้ที่เปรียบ ความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยจากรอบข้างสะท้อนดังเข้ามาถึงใจ
มั่วชิงเฉินยกธนูเขียวซ่อนเร้นขึ้นสูงไปในขณะที่วิ่งไปข้างหน้า ศรแหลมคมปรากฏขึ้นในมือ นางเม้มริมฝีปากง้างสายธนู ศรแหลมคมพุ่งทะลุผ่านเข้าไปในหมอกเทา เสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้นให้ได้ยิน
ฝีเท้าของนางหยุดลง เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจก็วิ่งออกมาไกลระยะหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นภาพเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างชัดเจน
แม่นางจอมพิษนั่งอยู่บนพื้นสีหน้าซีดขาว ไหล่ซ้ายมีเลือดสดไหลริน แต่เลือดนั้นกลับไม่ใช่สีแดงแต่เป็นสีเทาเข้ม มองดูแล้วแปลกประหลาดยิ่งนัก
เบื้องหน้านางมีอสูรประหลาดขนดกสีเทานอนหงายอยู่ดูท่าทางไร้รมหายใจไปแล้ว
“แม่นางจอมพิษ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” มั่วชิงเฉินก้าวขึ้นไปประคองแม่นางจอมพิษขึ้นมา
แม่นางจอมพิษสีหน้าซาบซึ้งใจ “ขอบคุณสหายเต๋ามั่วที่ช่วยเหลือ…”
แต่จู่ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป พูดออกมาอย่างร้อนรน “แม่นางมั่ว พวกเรารีบกลับไปเถิด บาดแผลของเขาไม่อาจล่าช้าได้”
มั่วชิงเฉินเหลือบมองบาดแผลตรงข้อศอกของนางทีหนึ่ง รู้ว่าคำพูดนี้ไม่ได้ลวงหลอก จึงไม่ได้พูดอะไร ยกข้อศอกข้างหนึ่งของขึ้นมาคล้องไว้ที่คอของตนแล้วเดินกลับไป
เดินออกมาไม่กี่จั้งสีหน้าของมั่วชิงเฉินก็เปลี่ยนไป นางผลักแม่นางจอมพิษไปข้างหลัง ดึงสายธนูสอดลูกดอก ธนูเขียวซ่อนเร้นสะท้อนแสงส่องสว่างศรแหลมคมพุ่งออกไป พลันเสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นศรแหลมคมลอยกลับเข้าในมืออีกครั้ง จากนั้นก็ง้างธนูยิงออกไปอีกครั้ง
เสียงดังพลั่กร่างของอสูรประหลาดสองตัวล้มลงบนพื้นแทบจะเวลาเดียวกัน ปรากฏร่างออกมาท่ามกลางหมอกควันหมองมัว
มั่วชิงเฉินไม่แม้แต่จะมองร่างอสูรประหลาดสองตัว นางเม้มริมฝีปากแน่นประคองแม่นางจอมพิษขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แล้วเดินตรงต่อไป
กลับเป็นแม่นางจอมพิษที่สีหน้าแฝงความหวาดกลัวพิจารณามองอสูรประหลาดสองตัวทีหนึ่ง เห็นว่าบนร่างของอสูรประหลาดสองตัวนั้นมีตัวหนึ่งที่มีรูเลือดอยู่ประมาณบริเวณหัวใจ ส่วนอีกตัวกลับโดนบริเวณลำคอ ตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก มองมั่วชิงเฉินพูดว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกมันหลบอยู่ที่ใด”
อสูรประหลาดประเภทนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ความสามารถที่แท้จริงกลับไม่ได้เก่งกาจมากนัก แค่พวกมันหลบซ่อนตัวอยู่กลางหมอกเทาไร้ซึ่งเงาและรูปร่างทำให้คนป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่ไหว เพราะเหตุนี้นางถึงได้ตกหลุมพรางไปก่อนหากไม่ใช่เพราะมั่วชิงเฉินมาทันเกรงว่าชีวิตคงจะดับสูญไปแล้ว
การที่มั่วชิงเฉินสามารถทำให้จิตใจแจ่มใสสว่างชัดพูดให้ชัดเจนก็เป็นเพราะเคยฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตามาก่อน บวกกับสมบัติวิเศษเจ้าชะตาเป็นธนู การที่เป็นมือยิงยอดเยี่ยมย่อมไม่อาจเลี่ยงพ้นสัมผัสที่อ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม เวลาที่สั่งสมผ่านมานานถึงทำได้เช่นนี้ ไม่ถือว่าน่าแปลก
แต่เรื่องเหล่านี้นางไม่มีความจำเป็นจะต้องอธิบายอย่างละเอียดให้แม่นางจอมพิษฟัง หัวเราะพลางชูคันธนูในมือ “ข้าใช้การฟัง”
จู่ๆ ก็เห็นว่าสีหน้ามั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปอีกครั้ง เสียงใสดังขึ้นมา “ย่อตัวลง!”
แทบจะในทันใดแม่นางจอมพิษย่อตัวลงในทันที
และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่นางย่อตัวลงไป สองเท้าของมั่วชิงเฉินเขย่งส่งร่างกายให้ขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ ธนูและศรในมือเล็งเป้าไปที่ด้านหลังแล้วปล่อยออกไป ร่างเงาหนึ่งร่างล้มลงในทันใด
ขานางยังไม่ทันถึงพื้นมือทั้งสองข้างง้างสายธนู ศรแหลมคมที่คมกริบไม่มีที่เปรียบเรียกกลับมาไม่ทัน แต่กลับหลอมอนัตตากลางอากาศแสงวิญญาณหลายสายรวมตัวกันเป็นศรวิญญาณลอยออกไป
ในช่วงเวลาสั้นๆ แสงสว่างจัดจ้าหลายสายวิ่งวนไปมาเหมือนงูสีทอง ร่างของอสูรประหลาดหลายตัวพลันล้มลง
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากแน่น ร่างกายที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศร่อนลงมา มองดูแม่นางจอมพิษที่ย่อตัวอยู่บนพื้นแล้วต้องถอนหายใจออกมา “แม่นางจอมพิษ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
เสียงของแม่นางจอมพิษฟังแล้วดูอ่อนระโหยโรยแรงยิ่งนัก “สหายเต๋ามั่ว…ข้ารู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก…แผลตรงข้อศอกมีไอแปลกกำลังกระจายเข้าข้างใน เมื่อครู่นี้ข้าฉวยโอกาสตอนที่เจ้าโจมตีกินยาถอนพิษเข้าไปแต่ไม่เห็นผลเลยแม้แต่น้อย คาดว่าฟันของอสูรประหลาดนั่นไม่ได้มีพิษ…”
มั่วชิงเฉินพิจารณาสีหน้าของแม่นางจอมพิษ พบว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ สีหน้าของนางดูย่ำแย่กว่าเมื่อครู่มากนัก
เหลือบมองบาดแผลของนางทีหนึ่งจู่ๆ ก็ยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อขึ้น เห็นว่าผิวหนังที่อยู่เหนือบาดแผลขึ้นไปนั้นกลายเป็นสีดำเทาแล้ว
“แม่นางจอมพิษ พวกเราไปไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องหยุดเลือดให้เจ้าก่อน เมื่อครู่นี้จู่ๆ ก็มีอสูรประหลาดเพิ่มมากขึ้น เกรงว่าคงเป็นเพราะเลือดจากบาดแผลของเจ้า แต่ลมหายใจที่เจ้าบอกว่าแปลกในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ยากที่จะแยกแยะ…” มั่วชิงเฉินพูดด้วยสีหน้าไม่น่ามองเท่าไรนัก
หากว่าแม่นางจอมพิษอาศัยความสามารถของตนเองย่อมต้องมีวิธีการควบคุมเป็นแน่ แต่นางพูดว่าไม่ได้ต้องพิษแล้วบาดแผลกลับเป็นเช่นนั้นก็ยากที่จะจัดการแล้ว
แม่นางจอมพิษกัดฟัน จู่ๆ ในมือมีกริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา
“แม่นางจอมพิษ เจ้า…”
มั่วชิงเฉินยังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงร้องในลำคอ ฟันหน้าของแม่นางจอมพิษขบริมฝีปากล่างจนเลือดออก มือข้างที่ถือกริชกลับบิดทีหนึ่ง ผิวเนื้อบริเวณรอบบาดแผลที่กลายเป็นสีดำเทาถูกเฉือนออกมา
เห็นว่าเลือดสดไหลลงมาไม่หยุด ในมือมั่วชิงเฉินมีขวดกระเบื้องสีขาวขวดหนึ่งแล้วเทผงหยุดเลือดที่อยู่ภายในลงไปบนบาดแผลในทันใด บาดแผลหยุดเลือดไหลในทันใดกลายเป็นรูขนาดใหญ่รูหนึ่งขึ้นมาแทน
ยังไม่รอให้มั่วชิงเฉินส่งเสียงก็เห็นแม่นางจอมพิษหัวเราะน้อยๆ “ทำให้สหายเต๋ามั่วเหนื่อยแล้ว”
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “แม่นางจอมพิษพูดอะไรกัน จะว่าไปตัวน้องนั้นชื่นชมนัก เจ้ากล้าที่จะลงมือ”
แม่นางจอมพิษแค่นยิ้ม “ก็ต้องมีชีวิตต่อไป”
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้ารู้สึกเช่นไร ลมหายใจแปลกประหลาดนั่นยังอยู่ในร่างกายหรือไม่” มั่วชิงเฉินรู้สึกชมเชยผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า น้ำเสียงที่พูดแฝงความห่วงใยเอาไว้หลายส่วน
แม่นางจอมพิษริมฝีปากขาวซีด “ยังมี แต่เป็นของก่อนหน้านี้ ตอนนี้ไม่เพิ่มขึ้นแล้ว แต่พลังวิญญาณในร่างกายข้าดูเหมือนจะถูกหยุดยั้ง ไม่อาจนำมาใช้ได้”
ในมือของมั่วชิงเฉินมีขวดหยกเพิ่มขึ้นมาอีกขวดหนึ่ง สิ่งที่อยู่ภายในคือยาทาอวี้หลงที่เอาไว้รักษาบาดแผลภายนอกโดยเฉพาะ แต่พอทายาอวี้หลงลงไปบนปากแผล บาดแผลกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้ผสานเข้าหากันในทันใดเหมือนบาดแผลทั่วไป
“สหายเต๋ามั่ว พวกเรากลับไปก่อนเถิด บาดแผลนี้เกรงว่าคงไม่หายเร็วเช่นนั้น” แม่นางจอมพิษก้มหน้าลง ใช้ฟันฉีกแขนเสื้อลงมาชิ้นหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเข้าใจความหมายของนางแต่กลับส่ายหน้า นำเอาผ้าบางสะอาดนุ่มนวลผืนหนึ่งออกมาจากกำไลเก็บวัตถุของตนเองพันบาดแผลที่น่ากลัวเอาไว้ แล้วถึงได้เอาเศษผ้าชิ้นนั้นมัดไว้ด้านนอก
จากนั้นมั่วชิงเฉินก็ประคองแม่นางจอมพิษให้เดินกลับไปด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างจับธนูเขียวซ่อนเร้นเอาไว้แน่น ตลอดทางไม่รู้ว่ากำจัดอสูรประหลาดไปมากมายเพียงใด
มีหลายครั้งที่อสูรประหลาดลอบเข้าโจมตีมากเกินไป มักจะมีปลาที่หลุดจากแหพุ่งเข้าใกล้ แม่นางจอมพิษแม้จะไม่อาจใช้พลังวิญญาณ แต่ก็โปรยผงสีสันต่างๆ ออกมาวางยาให้อสูรประหลาดเหล่านั้นตาย
ทั้งสองคนร่วมมือกันเช่นนี้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็กลับมาถึงบริเวณที่ทุกคนรวมตัวกัน
“เสี่ยวมั่ว เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ถังมู่เฉินเป็นคนแรกที่พุ่งเข้ามา
มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “ยังดี แต่แม่นางจอมพิษได้รับบาดเจ็บ พวกท่านเล่า”
ถังมู่เฉินรับตัวแม่นางจอมพิษเอาไว้ ทั้งสามคนมาถึงที่ทุกคนรวมตัวแล้วทิ้งตัวลงนั่งลงถึงได้เห็นว่าสีหน้าของทุกคนไม่ได้น่ามองนัก นอกจากสีหน้าเย็นชาไม่มีที่ติของเสิ่นฉงเหวินแล้ว คนอื่นที่เหลือแลดูมีความย่ำแย่อยู่ไม่น้อย นอกจากนั้นแล้วยังหายไปคนหนึ่ง
“แม่นางทั้งสองเองก็เจออสูรประหลาดกระมัง” สายตาของเผยสิบสามแฝงความเป็นห่วงกวาดมองทั้งสองคน
“ใช่ ดูท่าสหายเต๋าทุกท่านก็คงเจอเช่นกัน ใช่ว่าสหายเต๋าทานหนึ่งยังไม่กลับมาใช่หรือไม่” มั่วชิงเฉินถาม
บรรยากาศอึมครึมในฉับพลัน
เผยสิบสามพยักหน้า “ใช่แล้ว สหายเต๋าจังฝั่งข้านั้นดับสูญแล้ว”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา ทุกคนก็นิ่งเงียบไป
ผ่านไปนานแม่นางจอมพิษถึงได้ทำลายความเงียบลง “ข้าเองก็โชคดีที่มีสหายเต๋ามั่ว มิเช่นนั้นเกรงวว่าคงจะมีจุดจบเช่นเดียวกับสหายเต๋าจัง สหายเต๋าทุกท่าน อสูรประหลาดนั่นแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่”
นางจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร จนถึงตอนนี้พลังวิญญาณของนางก็ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ หากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีขึ้นนางจะกลายเป็นคนสูญเปล่าหรือไม่
เฉิงหรูยวนและเผยสิบสามสบตากันแล้วส่ายหน้าทั้งคู่
“พวกข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ในบันทึกก่อนนี้ไม่เคยพูดถึงสิ่งนี้มาก่อน คิดว่าน่าจะเป็นอสูรประหลาดที่มีในเขตเดนตายเป็นพิเศษกระมัง” เฉิงหรูยวนพูด
“สหายเต๋าทั้งหลายได้สังเกตจุดเด่นของอสูรประหลาดเหล่านี้มีหรือไม่ อีกอย่างภายในเขตเดนตายนี้แม้จริงแล้วมีอะไรที่ไม่เหมือนกับโลกข้างนอกเป็นแน่” มั่วชิงเฉินถามออกมาไม่หยุด
เผยสิบสามขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วกลายเป็นร่อง “ในเขตเดนตายเต็มไปด้วยไอแห่งความตาย ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้หากว่าไม่สามารถออกไปได้ก็จะถูกไอแห่งความตายค่อยๆ กลืนกินพลังชีวิต ถึงเวลานั้น…”
เขายังพูดไม่จบทุกคนก็เข้าใจว่าถึงเวลานั้นจะเป็นเช่นไร
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งผู้บำเพ็ญเพียรทางฝั่งเผยสิบสามเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางจอมพิษ หลังจากเจ้าบาดเจ็บแล้วพลังวิญญาณก็ไม่สามารถใช้ได้ใช่หรือไม่”
สีหน้าแม่นางจอมพิษเปลี่ยนไป แต่คนผู้นั้นแค่นยิ้ม “เจ้าอย่าคิดมาก ข้าเองก็บาดเจ็บเช่นกัน”
แม่นางจอมพิษเหลือบมองสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว เห็นว่าไม่มีใครแสดงท่าทีประหลาดใจออกมา รู้ว่าก่อนที่พวกนางทั้งสองจะมาถึงได้พูดคุยกันไปก่อนแล้ว
สิบสองคน ดับสูญไปแล้วหนึ่งคน ไร้ความสามารถสองคน แต่การค้นหาของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้น
การรับรู้เช่นนี้ทำให้คนยิ่งโศกเศร้ามากยิ่งขึ้น
ในเวลานี้นี่เอง จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้น “ข้าเองก็บาดเจ็บ แต่พลังวิญญาณยังสามารถใช้ได้”
ทุกคนรีบเงยหน้าหันไปมองในทันใด เป็นถังมู่เฉินนี่เอง!
“สหายเต๋าถัง เมื่อครู่นี้เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด” เฉิงหรูยวนตกใจ
ถังมู่เฉินหัวเราะแห้ง “ที่สหายเต๋าจ้าวพูดเมื่อครู่นี้ข้านึกว่าระดับอาการบาดเจ็บไม่เหมือนกัน มาจนถึงตอนที่แม่นางจอมพิษก็พูดเช่นนี้ข้าถึงได้พบว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นต่างไป”
เห็นเขายิ้มสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว ทุกคนก็ไม่อาจเอาเรื่องต่อได้ ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวผู้นั้นรีบพูดขึ้นว่า “สหายเต๋าถัง ขอข้าน้อยดูบาดแผลของท่านได้หรือไม่”
ถังมู่เฉินขมวดคิ้ว แสดงท่าทีลำบากใจ “ไม่จำเป็นต้องดูกระมัง ข้าใช้ยาทาอวี้หลง บาดแผลสมานกันไปแล้ว ดูไปก็มองไม่ออก”
“เป็นไปไม่ได้ ยาทาอวี้หลงไม่สามารถทำให้บาดแผลสมานตัวกันได้เลยสักนิด” แม่นางจอมพิษอดพูดขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นก็เบนหันไปมองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง แฝงความลุแก่โทษเอาไว้
ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวสีหน้านิ่งขรึม “แม่นางจอมพิษพูดถูกแล้ว ข้าน้อยก็ใช้ยาทาเช่นกัน เลือดสดหยุดไหล แต่บาดแผลไม่สามารถสมานตัวเข้ากันได้แม้แต่น้อย สหายเต๋าให้พวกข้าได้ดูตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บเสียหน่อยเถิด มีเพียงได้เห็นกับตาข้าน้อยถึงจะเชื่อ”
“ไม่ได้ๆ ข้าพูดว่าแผลสมานตัวแล้วจะยังหลอกพวกเจ้าได้หรือ ต่อให้ดูไปก็มองไม่เห็นร่องรอยอยู่ดี” ถังมู่เฉินส่ายหน้ารัว
คราวนี้คนอื่นก็ทอดมองด้วยสายตาสงสัย ตกอยู่ในสถานการณ์ไร้ความหวังเช่นนี้แต่เดิมอารมณ์ก็ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อมาเจออาการปิดบังซ่อนเร้นของถังมู่เฉินก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่
เฉิงหรูยวนยิ้ม “พี่ถัง มิเช่นนั้นถือว่าเห็นแก่หน้าข้าสกุลเฉิงได้หรือไม่ ให้ทุกคนได้ดูเถิด”
สายตาร้องขอความช่วยเหลือของถังมู่เฉินทอดมองมั่วชิงเฉิน “เสี่ยวมั่ว…”
มั่วชิงเฉินไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของเขา ถ้าเจ้าอยากจะเลี่ยงความวุ่นวายก็ไม่ต้องพูดออกมา พูดแล้วมาปิดบังซ่อนเร้นไม่ใช่ว่าหาเรื่องหรืออย่างไร จึงเอ่ยกล่อมว่า “ท่านพี่ ท่านอย่าหนีอีกเลย ให้ทุกคนได้ดูเถิด”
สีหน้าถังมู่เฉินเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดงสลับไปมา กัดฟันพูดว่า “ดูบ้าอะไรกัน ที่ข้าโดนกัดมันอยู่ตรงก้น!”