พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 392 เกิดสัมผัสขึ้นในใจ
พอคำพูดนี้ดังออกมาทุกคนรู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดผ่าน และมั่วชิงเฉินนั้นยังได้ยินเสียงหัวเราะเงียบอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าของถังมู่เฉินหนาอยู่แล้วแต่เดิม เมื่อเห็นว่าตะโกนออกมาเช่นนี้ทุกคนล้วนรู้สึกขำขัน กลับผ่อนคลายลงไม่น้อย พูดพึมพำว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องดูๆ พวกเจ้าอยากจะดูให้ได้!”
ทุกคนน้ำตาไหลอาบหน้า โดยเฉพาะชายหนุ่มทั้งหลายที่ลอบด่าในใจ อยากดูให้ได้…นี่มันคำพูดของคนหรืออย่างไร!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็แล้วไปเถิด พี่ถัง แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าตนเองนั้นต่างจากพวกเขาสองคน” เฉิงหรูยวนส่งเสียงทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้
ถังมู่เฉินสะบัดในมือให้คลี่ออก โบกสองสามครั้งพลางหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ดูสหายเต๋าเฉิงพูดเข้า คนกับคนเหมือนกันได้ด้วยหรือ”
พูดถึงตรงนี้ก็เดินเข้าไปใกล้แม่นางจอมพิษ “แม่นางจอมพิษ ให้ข้าดูบาดแผลของเจ้าเสียหน่อย”
แววตาของแม่นางจอมพิษสะท้อนประกาย นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วยื่นแขนซ้ายออกไป ใช้มืออีกข้างค่อยๆ แกะผ้าพันแผลออก
รอจนนางคลายผ้าพันแผลทุกชั้นออกจนหมดก็มองเห็นรูลึกขนาดใหญ่จนเห็นกระดูกรูหนึ่ง ปรากฏให้เห็นเลือดเนื้อที่สลับขาวแดงทำให้คนต้องสูดลมหายใจลึกด้วยความตื่นกลัว
ถังมู่เฉินยื่นมือออกมากดไปที่บาดแผลของแม่นางจอมพิษ
“เจ้าทำอะไร” ใบหน้าของแม่นางจอมพิษขาวซีดเย็นชา ยื่นมือออกมาห้ามเขาไว้
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหอเทียนยิ่งแสดงท่าทีโกรธแค้น พยายามฝืนทนเอาไว้ไม่ให้ตะคอกติเตียนออกมา
ถังมู่เฉินแสดงท่าทีเสเพลไม่จริงจัง ยิ้มแย้มพูดว่า “ข้าย่อมต้องดูอาการบาดเจ็บให้แม่นางอย่างไรเล่า ในเมื่อแม่นางคิดว่าไม่จำเป็นเช่นนั้นก็แล้วแต่”
แม่นางจอมพิษไม่ใช่สตรีที่ไร้สมอง นางได้รับบาดเจ็บแล้วยังไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณได้ ท่ามกลางเขตเดนตายนี้ถือว่าตกอยู่ในภาวะที่ลำบาก บุรุษเบื้องหน้าผู้นี้แม้จะดูไม่น่าเชื่อถือแต่บุรุษในโลกบำเพ็ญเพียรมีมากไปที่ไม่อาจดูเพียงรูปลักษณ์
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนหน้า ยิ้มแย้มพูดว่า “คุณชายถังอย่าได้ถือโทษ เป็นข้าที่ตระหนกมากเกินไป รบกวนท่านช่วยดูด้วยเถิด”
ดวงตาเรียวยาวของถังมู่เฉินยิ้มจนเป็นเส้นโค้ง แล้วยังมองกวนประสาทไปยังเหอเทียนทีหนึ่ง แล้วถึงได้เอามือไปทับไว้บนบาดแผลของแม่นางจอมพิษ
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ชักมือกลับมา หันไปพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “น้องสาวเจ้าลองใช้ยาอวี้หลงอีกครั้งดู”
มั่วชิงเฉินกวาดตามองเขาทีหนึ่ง ไม่พูดอะไรออกมา เดินตรงไปทายาอวี้หลงลงบนบาดแผลของแม่นางจอมพิษ ครั้งนี้ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายบาดแผลที่น่าหวาดกลัวค่อยๆ สมานเข้าหากัน ผิวเนื้อเรียบดุจหยกแม้แต่รอยแผลเพียงนิดเดียวก็ไม่มีทิ้งไว้
“นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร!” สหายเต๋าจ้าวที่บาดเจ็บเช่นเดียวกันพูดพึมพำ
แม่นางจอมพิษเองก็มีความตื่นตะลึงเต็มใบหน้า มองถังมู่เฉินที่สีหน้านิ่งเรียบสบายใจด้วยความตะลึงงัน
“คุณชายถัง ท่านทำได้อย่างไร” แม่นางจอมพิษหลุดพูดออกมา
ถังมู่เฉินพูดออกมาอย่างเปิดเผยท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน “ข้าเพียงแต่นำไอแห่งความตายที่อยู่ในบาดแผลออกก็เท่านั้นเอง”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจเหมือนไม่เคยพบถังมู่เฉินมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครไล่ถามต่อไปอย่างไร้กาลเทศะ อย่างไรซะวิธีการของผู้บำเพ็ญเพียรแต่ละคนย่อมไม่พูดให้คนนอกฟัง
แม่นางจอมพิษผ่อนลมหายใจ “มิน่าเล่าข้าถึงรู้สึกว่าลมหายใจประหลาดในร่างหายไปแล้ว”
“สหายเต๋าถัง ช่วยดูให้ข้าน้อยด้วยได้หรือไม่” ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวพุ่งเข้าหา
ถังมู่เฉินไฉนเลยจะไม่รับปาก เขาช่วยผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวกำจัดไอแห่งความตายอย่างรวดเร็ว อาการบาดเจ็บของผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวหายดีในทันใด
“โชคดีที่สหายเต๋ามีฝีมือนี้ ข้าน้อยซาบซึ้งเป็นอย่างมาก” ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวประสานมือ
ถังมู่เฉินโบกพัดในมือด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจๆ”
ในใจกลับค่อนขอด ในเมื่อรู้สึกซาบซึ้งใจแล้วไม่รู้จักแสดงออกมาหรืออย่างไร ช่างไม่รู้ความเลย
เมื่อผ่านเรื่องนี้มาถังมู่เฉินที่มีภาพลักษณ์ทะเล้นไม่เอาไหนในสายตาของทุกคนก็กลายเป็นแฝงความลึกลับเอาไว้ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่แสดงออกมา เริ่มนั่งตบะบำเพ็ญฟื้นฟูพลังวิญญาณ
มั่วชิงเฉินฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้วแต่ไม่ลืมตาขึ้นมา กลับปล่อยสมาธิล่องลอยไปข้างนอก
แท้จริงแล้วถังมู่เฉินมีความลับอะไรที่ไม่สามารถบอกคนได้ เหตุใดถึงสามารถรักษาไอแห่งความตายได้
นางไม่ใช่คนที่ชอบล้วงความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดกลับเกิดความรู้สึกรุนแรงชนิดหนึ่งว่าความลับในตัวถังมู่เฉินสำคัญเป็นอย่างมากต่อตนเอง
เมื่อบำเพ็ญเพียรมาถึงระดับก่อแก่นปราณมีบางครั้งที่จะเกิดปฏิกิริยาตอบรับประหลาด นี่ไม่ใช่เรื่องตลกล้อเล่น ฉะนั้นมั่วชิงเฉินเชื่อว่าความรู้สึกที่จู่ๆ ก็ก่อตัวขึ้นนี้ไม่มีทางพลาด
เช่นนั้นจะลองไถ่ถามดูดีหรือไม่
มั่วชิงเฉินท้าวคาง ลืมตาหันไปมองถังมู่เฉิน สบเข้ากับสายตาของเขาพอดี
“น้องข้า เจ้ามองข้าทำไมกัน เป็นเพราะถูกความสามารถอันน่าตื่นตะลึงของข้าเมื่อครู่นี้สะกดไปเช่นนั้นหรือ ถึงได้เกิดอารมณ์เทิดทูนหลั่งบ่าเข้ามาไม่หยุดยั้ง…”
ฟังคำยินดีปรีดาไร้สาระของถังมู่เฉิน มั่วชิงเฉินกลับไม่เอ่ยขัดอย่างที่เคยเป็นมา แต่กลับลืมตาโตมากกว่าเดิม จ้องเขม็งเขาอย่างไม่กระพริบตา
จนถึงสุดท้ายเสียงของถังมู่เฉินเบาลงโดยไม่รู้ตัว พูดเสียงเบาว่า “น้องข้า เจ้ามองอะไรกันแน่ อ่า แย่แล้ว หรือเจ้าจะมีใจผูกสมัครรักใคร่ต่อข้า ไม่ได้ๆ ดอกไม้มีเจ้าของข้าไม่เด็ดดม ดูท่าเจ้าจะต้องเสียใจแล้ว”
“หุบปาก!” เส้นเลือดบริเวณขมับของมั่วชิงเฉินเต้นแรง อดรนทนไม่ไหว
ถังมู่เฉินเหมือนได้ปลดปล่อยภาระหนัก “เฮ้อ แบบนี้ข้าถึงจะคุ้นชิน”
มั่วชิงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กระพริบตาปริบ “ท่านพี่”
“หืม?”
“ข้ากำลังคิดว่าเหตุใดท่านถึงสามารถคลายไอแห่งความตายได้” พูดจบมั่วชิงเฉินตาเป็นประกายจ้องมองปฏิกิริยาของถังมู่เฉิน นางรู้ว่าคำถามเช่นนี้ไม่ควรถาม แต่แค่อยากฟังว่าเขาจะตอบเช่นไร ต่อให้ตอบแบบผ่านๆ ก็ไม่สามารถกล่าวโทษได้
ตามที่คาดไว้สีหน้าของถังมู่เฉินเปลี่ยนไปในทันใด แม้จะกลับมาเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังหนีสายตาของมั่วชิงเฉินไม่พ้น
“ท่านพี่ นี่เป็นเพียงข้อสงสัยของข้าเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องตอบ ข้าเองก็ไม่มีคุณสมบัตินั้น” มั่วชิงเฉินเข้าใจดี นี่เกรงว่าคงจะไปโดนจุดต้องห้ามสำคัญของถังมู่เฉินเข้าจึงไม่ได้ฝืนทำให้ลำบากใจอีก เบนสายตาหลบหนีไป
ผ่านไปนานเสียงของถังมู่เฉินดังขึ้นในหัวอีกครั้ง “น้องข้า หากสามารถหนีออกจากเขตไร้จนได้ ข้าจะบอกเจ้าดีหรือไม่”
มั่วชิงเฉินหันหน้ากลับมาในทันใด มองสบตาถังมู่เฉิน เห็นสายตาจองเขาสว่างเป็นประกาย มุมปากมีรอยยิ้มอยอุ่นประดับอยู่ก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
ไม่ว่าจะเอ่ยขอบคุณหรือบอกว่าไม่จำเป็นก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องเท่าไรนัก อย่างไรซะนี่ก็ถือว่าเป็นการฝืนเปิดเผยความส่วนตัวของผู้อื่น มั่วชิงเฉินทำได้เพียงยิ้มแย้ม ถือว่าเป็นการจบประเด็นที่น่าอึดอัดนี้
เมื่อเห็นว่าทุกคนฟื้นฟูกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเผยสิบสามและเฉิงหรูยวนสบตากัน เผยสิบสามเอ่ยปากพูด “สหายเต๋าทุกท่าน เมื่อครู่ข้าและพี่เฉิงปรึกษากันแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้พลังชีวิตในร่างกายถูกกัดกร่อนไปจนหมดในทุกวัน พวกเราจะต้องออกจากที่นี่อย่างเร็วที่สุด นับตั้งแต่นี้ไปพวกเราถือเป็นกลุ่มเดียวกัน สืบเสาะค้นหาทางออกด้วยกัน เช่นนี้จะได้มีการดูแลกันได้ แม้จะบาดเจ็บก็ยังมีสหายเต๋าถังคอยช่วยเหลือ ทุกท่านว่าอย่างไร”
“ฟังการจัดการของคุณชายทั้งสอง” ทุกคนพูดพร้อมกัน
ในตอนนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่เวลาที่ดีในการตะเดินหน้าเพียงลำพัง แล้วยิ่งสถานการณ์เบื้องหน้าเมื่อทอดมองออกไปไกลล้วนหมองหมัว ออกสืบเสาะตามลำพังนั้นอันตรายอย่างมาก
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้ทุกคนก็เดินกลางหมอกควันดำคล้ำไม่รู้ว่านานเท่าไร อสูรประหลาดที่แอบซ่อนอยู่ในหมอกหนามากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็ยังคงตามหาทางออกไม่พบ นอกจากถังมู่เฉินที่มีท่าทีเช่นเดิมแล้วทุกคนล้วนมีสีหน้าขาวซีดดูแล้วมีความอ่อนระโหยโรยแรง
“แม่นางมั่ว เจ้าลองใช้กระแสจิตเสาะหาอีกสักครั้งลองดูว่ามีจุดแตกต่างบ้างหรือไม่” เฉิงหรูยวนพูด
เดินติดต่อกันเจ็ดวันทุกคนรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่ค่อยๆ หายไปอย่างชัดเจน พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าหากยังหาทางออกไม่ได้ เกรงว่าคงต้องฝังตนอยู่ที่นี่แล้ว
และบุคคลสำคัญในการค้นหาทางหนึ่งคือถังมู่เฉินผู้ซึ่งสามารถคลายไอแห่งความตายได้ อีกคนหนึ่งคือมั่วชิงเฉินที่สามารถปล่อยกระแสจิตออกไปได้
ทั้งหมดนี้เฉิงหรูยวนเป็นคนที่รับรู้ลึกซึ้งมากที่สุด เขารู้สึกโชคดีอีกครั้งที่เชิญสองพี่น้องมาเข้าร่วม
หากมั่วชิงเฉินรู้เข้าเกรงว่าคงจะคิดอย่างอนาถใจว่า ยินดีบ้าอะไรกัน หากไม่มีถังมู่เฉินใครจะไปมีโชคได้เข้ามาในเขตเดนตาย!
ภายในเขตเดนตายนี้ขอบเขตในการสืบเสาะของกระแสจิตยิ่งแคบลง ระยะที่ไกลที่สุดของมั่วชิงเฉินก็ไปได้ไกลเพียงไม่กี่สิบลี้เท่านั้น แล้วยังได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง มีบางครั้งที่เพิ่งปล่อยกระแสจิตไปแล้วกระเด็นกลับมาเหมือนกระแทกกับหินโสโครก
มั่วชิงเฉินพยักหน้า หลับตาปล่อยกระแสจิตออกไป
นางพบว่าเมื่อหลับตาลงไม่เห็นหมอกเทาที่ทำให้คนนึกขยะแขยงอีกต่อไป จิตใจกลับรู้สึกแจ่มใสขึ้นมา
กระแสจิตผูกมัดรวมกันกลายเป็นช่อละเอียด คดเคี้ยวมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างยากลำบากท่ามกลางหมอกเทา
‘หมอกเทา ก็ยังคงเป็นหมอกเทา ทางนี้มีอสูรประหลาดหลายตำซ่อนอยู่ มุ่งไปข้างหน้าอีก…’
จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ลืมตาขึ้น
“แม่นางมั่ว!” ทุกคนมีท่าทียินดี
กี่ครั้งแล้วไม่อาจนับได้ ทุกครั้งที่การค้นหาจบลงมั่วชิงเฉินล้วนส่ายหน้า การที่ลืมตาขึ้นแล้วไม่พูดอะไรถือเป็นครั้งแรก
“แม่นางมั่ว แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร” ทุกคนเห็นว่ามั่วชิงเฉินไม่พูดอะไรอยู่นาน ในใจนึกหวาดระแวงขึ้นมา
มั่วชิงเฉินชี้ไปทิศทางหนึ่ง “ข้าไม่ได้พบเห็นสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจน แต่ยิ่งสืบเสาะไปทางนั้นก็ยิ่งพบว่าหมอกเทายิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ”
ทุกคนกวาดตามองหมอกเทารอบกายตามสัญชาตญาณ แม้จะมีหมอกควันแน่นหนาลอยวนไปมา แต่กลับมองไม่ออกว่าทางไหนบางทางไหนหนา
เผยสิบสามตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ไปทางนั้น หมอกเทารุนแรงขึ้นย่อมต้องเป็นสถานที่พิเศษ!”
เป็นไปตามที่คาดไว้เมื่อเดินลึกเข้าไปตามทิศทางนั้นหมอกควันที่อยู่รอบข้างยิ่งแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ หากพวกเขาอยู่ตรงนี้ตลอดเวลาหรือว่าไม่รู้เรื่องมาก่อนก็เกรงว่าคงไม่ทันได้สังเกต แต่เมื่อตั้งใจพิจารณาให้ดีก็รู้สึกถึงความแตกต่างขึ้นมา
มาจนถึงสุดท้ายหมอกควันด้านหน้าก็แทบจะรวมตัวกันเป็นกำแพงด้านหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าข้างหน้ามีอะไร แม้แต่จะเดินต่อไปข้างหน้าก็ยังยากลำบาก
“แย่แล้ว หมอกควันนี้ยิ่งดูดพลังชีวิตเร็วมากขึ้น!” เหอเทียนฝืนตัวเบียดเข้าไป แต่กลับต้องถอยออกมาในทันใด สีหน้าหวาดกลัว
“ล่าช้าต่อไปไม่ได้แล้ว ตรงนี้หมอกควันแน่นหนานัก ล่าช้าเกินไปไม่ดีต่อพวกเราเป็นแน่” เฉิงหรูยวนยืนตัวตรง ชุดสีแดงเข้มสะบัดตามลม แต่เห็นชัดว่าสีหน้าซีดขาวอย่างมาก
ทันใดนั้นถังมู่เฉินก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ให้ข้าลอง”
“สหายเต๋าถัง (ท่านพี่) ระวัง!” ทุกคนเอ่ยกำชับ
ถังมู่เฉินหันมาส่งยิ้ม มองไปยังมั่วชิงเฉิน “น้องข้า หากครั้งนี้ข้ากลับมาไม่ได้ หินวิญญาณที่ติดค้างเจ้าก็แล้วซึ่งต่อกันเถิด”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าแล้วต่อกันไปแล้วหรือ ปากเสีย!”
ท่าทางของทุกคนไม่น่ามองเท่าไรนัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เรื่องที่เป็นจริงมากที่สุดคือเมื่อได้รับบาดเจ็บที่นี่ย่อมไม่สามารถขาดถังมู่เฉินไปได้ หากว่าเขาเป็นอะไรขึ้นมานั่นยิ่งสิ้นหวังไปกันใหญ่
“เช่นนั้นข้าเข้าไปแล้ว” ถังมู่เฉินโบกมือ ก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป