พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 399 บอกลาเขตไร้จน
ชายเสื้อสีแดงเพิ่งหายไปจากสายตาของทุกคน ก็สัมผัสถึงคลื่นแสงวิญญาณอันรุนแรงจากข้างนอก เสียงอาวุธปะทะกันดังขึ้น
เฉิงหรูยวนถึงยิ้มให้ทุกคน บอกเป็นนัยให้ตามไป
ร่างแยกที่เดินออกไปดึงดูดสายตาของคนข้างนอกแล้ว เฉิงหรูยวนหยุดลงที่ปากรอยแยก แล้วถึงแวบร่างออกไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด
พวกมั่วชิงเฉินรีบตามไป
มาถึงข้างนอก เห็นแสงวิญญาณโจมตีหลายสายตีลงบนร่างแยกของเฉิงหรูยวนพอดี ร่างแยกนั่นกลายเป็นแสงวิญญาณสลายไปทันที กระทั่งข้างริมฝีปากยังมีรอยยิ้มจางๆ
มั่วชิงเฉินพบว่า ในชั่วพริบตาที่ร่างแยกสลายไปนั่นเอง ร่างกายของเฉิงหรูยวนก็เซไปมาเล็กน้อย แต่กลับทรงตัวไว้ และยืดตัวตรงอย่างรวดเร็ว
“เฉิงหรูยวน เจ้าเจ้าเล่ห์จริงๆ!” ข้างนอกมีสิบกว่าคน ดูท่าทางมีอย่างน้อยสามทีม หนึ่งในผู้นำทีมนั้น ก็คือคุณชายหม่าเก้าที่พบยามที่เพิ่งมาถึงสถานที่เคลื่อนย้ายท่านนั้น
“พี่หม่า” เฉิงหรูยวนยิ้มอย่างเย็นชา แล้วผงกศีรษะแผ่วเบาให้อีกสองทีมที่เหลือ “นี่ท่านพี่ทั้งสามจะทำอะไร ข้าในอดีตเคยล่วงเกินพวกท่านหรืออย่างไร?”
คำพูดของเฉิงหรูยวน ทำให้คนนำทีมของทั้งสามทีมชะงัก เมื่อครู่เห็นเขาออกมาตามลำพังคนเดียว พวกเขาต่างนึกว่าทีมย่อยของเฉิงหรูยวนเหลือเพียงเขาคนเดียว ถึงได้ลงมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย คิดจะแย่งดอกสำลีตกสวรรค์มา ทว่าบัดนี้ถึงพบว่ามีอุบาย ทีมของเฉิงหรูยวนยังมีอีกห้าคน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทีมสี่ทีมในยามนี้พลังความสามารถจึงไม่ห่างกันเท่าไร ไม่ว่าฝ่ายไหนคิดจะแย่งดอกสำลีตกสวรรค์ ล้วนเป็นไปได้ว่าจะทำให้คนอื่นเป็นตาอยู่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
เฉิงหรูยวนเป็นใคร คาดการณ์ความคิดของคนพวกนี้ไว้แต่แรกแล้ว เห็นสามคนนี้ไม่พูดไม่จา จึงยิ้มว่า “ดูท่าข้าเข้าใจผิดไป เอ่อใช่ ดอกสำลีตกสวรรค์อยู่ในหุบเขานี่เอง ข้ามองผ่านๆ ทีหนึ่ง ข้างบนดูเหมือนยังมีดอกสำลีตกสวรรค์สีแดงอีกสี่ดอก”
คำพูดนี้หลุดออกไปปุ๊บ คนที่มาทีหลังพวกนี้สีหน้าก็แตกต่างกันไป
ดอกสำลีตกสวรรค์สีแดงสี่ดอก สามทีม หากเป็นเช่นนี้ ไยต้องแย่งกับเฉิงเจ็ดจนไม่เจ้าตายก็ข้าม้วย ต้องรู้ว่าเดิมทีเฉิงเจ็ดก็เป็นคนหนุ่มยอดฝีมือที่เลื่องชื่อของเซิงโจวอยู่แล้ว หากฝืนสู้กับเขา ไม่แน่ยังขโมยไก่ไมได้ ต้องเสียข้าวสารอีกกำมือ!
คนพวกนี้ก่อนมาเขตไร้จนต่างเตรียมพร้อมมาทุกด้านแล้ว ต่างคนต่างมีวิธีเก็บดอกสำลีตกสวรรค์ ที่พวกเขากลัวคือมาช้าไปก้าวหนึ่ง ยามนี้ในเมื่อยังมี ความคิดที่คิดจะใช้กำลังแย่งจึงจางลง
“พี่เฉิงพูดจริงหรือไม่?” ที่เอ่ยปากออกมาคือชายหน้าเหลี่ยมคนหนึ่ง
คนผู้นี้ใบหน้าหล่อเหลา เดิมทีรูปโฉมสง่างาม เสียดายบนคางมีไฝดำเม็ดหนึ่ง ทำให้เสียภาพลักษณ์อย่างไร้สาเหตุ
เฉิงหรูยวนเคยได้ยินเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อน เขาคือคุณชายรองแห่งตระกูลอู๋ ฝึกวิชาร่างพรหมจรรย์ ว่ากันว่าต้องระดับก่อแก่นปราณถึงเสียพรหมจรรย์ได้ ทว่าเขาอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายแล้ว ว่ากันว่ายังรักษาร่างหยวนหยางไว้ มีชื่อด้านพลังความสามารถโดดเด่น รากฐานมั่นคง
เฉิงหรูยวนกอบหมัด เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้าไม่เคยพูดเหลวไหลมาก่อน”
อู๋รองสายตาเป็นประกาย ตบมือว่า “ดี ข้าเชื่อพี่เฉิง พวกเราไป!”
เอ่ยพลางนำหน้าไปหนึ่งก้าว เดินสู่รอยแยกหุบเขา
ผู้นำทีมของอีกสองทีมที่เหลือเห็นดังนั้น สบตากันปราดหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่ทันได้มองเฉิงหรูยวนอีก เกรงว่าจะมีคนแย่งอย่างไรอย่างนั้น ชิงนำหน้ากรุกันไปที่รอยแยกหุบเขา
เฉิงหรูยวนบอกใบ้ด้วยสายตา พาพวกเขารีบจากไป
อาศัยจิตตระหนัก พวกเขาสัมผัสได้ว่าหลายๆ ทิศทางล้วนมีนักบำเพ็ญเพียรรีบเร่งรุดมา พวกเขาเจตนาหลีกเลี่ยงทิศทางเหล่านี้ เดินต่ออีกหนึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดก็พบวงแสงสีเขียวสองสามที่
สุ่มเลือกวงแสงสีเขียนที่หนึ่งแล้วก้าวเข้าไป ที่เข้าไปคือดินแดนที่อสูรปีศาจอาละวาด
ดินแดนเช่นนี้สำหรับทุกคนแล้วไม่นับว่ายากเย็น พวกเขาร่วมมือกันฆ่าอสูรปีศาจที่จู่โจมมา ตลอดทางพลางหาวงแสงสีขาวพลางฆ่าอสูรปีศาจ ยามที่หาวงแสงสีขาวเจอ ไม่เพียงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ยังได้ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยด้วย
ยามที่ก้าวเข้าวงแสงสีขาว อารมณ์ของทั้งห้าคนสงบและปิติ ข้างปากระบายยิ้มจางๆ ไม่ว่าอย่างไร ก็นับว่าทำภารกิจสำเร็จโดยสมบูรณ์ได้กลับแล้ว
เมื่อลืมตาขึ้น พวกเขาก็อยู่ในสถานที่ในยามที่เพิ่งมาถึงแล้ว ที่นั่นมีนักบำเพ็ญเพียรมากมายนั่งกระจัดกระจายอยู่รอบทิศ บ้างหลับตาบำเพ็ญเพียร บ้างรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ยังมีที่ทอดถอนใจอยู่
มั่วชิงเฉินเห็นใบหน้าคุ้นเคยบางส่วนที่เจอกันก่อนหน้านี้ รวมทั้งสวี่แปดและจู้ห้าที่พบกันที่ทุ่งหมอกพิษ
“ขอแสดงความยินดีกับพี่เฉิง” มีบางคนลุกขึ้น ทักทายเฉินหรูยวน
มั่วชิงเฉินแอบสงสัย คนพวกนี้แน่ใจได้เช่นไรว่าเฉิงหรูยวนได้ดอกสำลีตกสวรรค์ ต้องรู้ว่าหลังจากที่ก้าวเข้าวงแสงสีขาว นางก็เก็บงำสีหน้า เกรงว่าจะเผยเงื่อนงำออกมา แม้แต่คนที่เหลือ ก็เป็นเช่นเดียวนี้
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามมายิ่งทำให้นางประหลาดใจ เฉิงหรูยวนทักทายคนพวกนั้นแล้ว เอ่ยกับสองคนในนั้นว่า “พี่เจิ้ง พี่เฝิง เช่นกัน”
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว อย่าบอกนะว่าคนอื่นไม่เพียงแต่รู้ว่าเฉินหรูยวนได้ดอกสำลีตกสวรรค์ เฉิงหรูยวนเพิ่งออกมาก็ดูออกว่าในบรรดาคนพวกนี้ใครได้ดอกสำลีตกสวรรค์บ้าง หรือว่า ในนี้ยังมีความลับอะไร?
เพียงแต่พวกนี้ นางกลับไม่จำเป็นต้องกังวล
เฉิงหรูยวนนำลูกทีมเดินไปยังที่ที่คนน้อย นำหน้านั่งลงก่อน แล้วเอ่ยกับทุกคนว่า “สหายเต๋าทั้งหลาย พักผ่อนที่นี่ก่อนสักระยะ รอดอกสำลีตกสวรรค์สีแดงเจ็ดดอกถูกคนเด็ดหมดแล้วมาถึงที่นี่ พวกเราก็สามารถจากไปได้แล้ว”
มั่วชิงเฉินนั่งขัดสมาธิตามปกติ หลับตาเริ่มบำเพ็ญเพียร
นางมีสี่รากวิญญาณ หลังจากกำราบไฟหน่อไม้หินแล้ว พอกล้อมแกล้มนับว่ามีคุณสมบัติของสามรากวิญญาณได้ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรย่อมตามคนที่มีสองรากวิญญาณกระทั่งรากวิญญาณฟ้าไม่ทันเป็นธรรมดา
เพียงแต่ถึงระดับก่อแก่นปราณ ประโยชน์ของรากวิญญาณไม่โดดเด่นเช่นนั้นอีกต่อไป บางทีมีนักบำเพ็ญเพียรมากมายที่หยุดอยู่ที่คอขวดของเขตแดนเล็กหลายร้อยปี ปกติเร็วเล็กน้อยช้าเล็กน้อยก็ไม่สำคัญถึงเพียงนั้นแล้ว
ก็เพราะเช่นนี้ มั่วชิงเฉินถึงกินโอสถน้อยลง ที่สำคัญคือห่วงว่าตบะเพิ่มอย่างรวดเร็วรากฐานจะไม่มั่นคง สภาพจิตใจตามไม่ทัน อนาคตเลื่อนขั้นลำบาก ยังไม่สู้บำเพ็ญเพียรอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้มั่นคงกว่า
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางย่อมต้องคว้าเวลาที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดให้แน่น นกโง่บินก่อน[1]
แน่นอน ไม่ได้หมายความว่านางไม่กินโอสถอีกแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนมีขอบเขต หากทำเลยเถิดก็เท่ากับทำได้ไม่ดี กลับก็อย่าเพราะสำลักจึงเลิกกิน[2] ขอเพียงยืดระยะห่างในการกินโอสถออก ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องรากฐานไม่มั่นคงแล้ว
และสำหรับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณส่วนใหญ่แล้ว ยิ่งไม่มีปัญหานี้ เพราะโอสถที่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามารถกินเพื่อเพิ่มตบะมีน้อยและล้ำค่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องจงใจ เดิมทีก็ตั้งนานยังไม่มีให้กินสักเม็ดอยู่แล้ว ไม่เหมือนมั่วชิงเฉินที่จงใจเช่นนี้
หากรู้ว่ามั่วชิงเฉินหอบโอสถกำใหญ่ไว้ห่วงว่ารากฐานไม่มั่นคงไม่กล้ากิน เกรงว่าต้องกระอักเลือดสามลิตร ด่าสวรรค์อยุติธรรม
หลังจากนั้นครึ่งวัน ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นในวงแสงสีขาวอีก ครั้งนี้คือหม่าเก้าคนนั้น ตามมาด้วยลูกทีมสองคน เพียงแต่ครั้งนี้กลับไม่มีคนกล่าวยินดี เพียงแต่มีคนคุ้นเคยบางส่วนทักทาย มั่วชิงเฉินยังเห็นมีคนตบไหล่หม่าเก้าเหมือนเป็นการปลอมใจ หม่าเก้าส่ายศีรษะ ไม่พูดอะไรสักแอะแล้วนั่งลง
วันที่สอง อู๋รองที่พบกันนอกหุบเขาก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วเช่นกัน แล้วก็มีคนส่วนหนึ่งเข้าไปยินดี
วันเวลาต่อจากนั้น มั่วชิงเฉินหลบอยู่ที่มุมอับตลอด หลับตานั่งสมาธิแต่โดยดี ในวงแสงสีขาวจะปรากฏคนส่วนหนึ่งเป็นระยะๆ บางทีวันหนึ่งปรากฏคนหลายรอบ บางทีหลายวันก็ไม่มีโผล่มาสักคน
เจ็ดวันให้หลัง ออกมาอีกสองทีมแล้ว ทีมหนึ่งเป็นทีมที่นำโดยเผยสิบสาม อีกทีมหนึ่งมั่วชิงเฉินดูแล้วไม่รู้จัก มองคนอื่นคุยกันเงียบๆ รู้มาว่าคนผู้นั้นแซ่กู่ คนเรียกกันว่าคุณชายกู่หก
มั่วชิงเฉินแอบคำนวณ เฉิงหรูยวนเป็นทีมที่สามที่ได้ดอกสำลีตกสวรรค์ ต่อมาคืออู๋รอง จากนั้นก็คือเผยสิบสามและกู่หก เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เหลือทีมสุดท้ายแล้ว ก็ไม่รู้ดอกไม้จะตกไปอยู่บ้านใคร
รออีกครึ่งเดือนเต็มๆ สยงสี่พาลูกทีมเดินออกจากวงแสงสีขาว
ครั้งนี้ ผู้นำทีมที่ได้ดอกสำลีตกสวรรค์ทั้งหมดต่างเดินเข้าไป แสดงความยินดีกับสยงสี่
มั่วชิงเฉินแอบว่าสยงสี่มนุษย์สัมพันธ์ไม่เลว ทว่าต่อจากนั้นก็พบว่าไม่ได้ง่ายดายปานนั้น
เจ็ดคนนั้นไม่รู้หากระพรวนได้จากไหนอันหนึ่ง ตั้งค่ายกลที่แปลกประหลาดขึ้น แล้วเริ่มเขย่ากระพรวน
คลื่นเสียงที่เปล่งออกจากกระพรวนเจ็ดอันถักทอเข้าด้วยกัน ค่อยๆ ประสานเป็นเสียงเดียวกัน คนที่อยู่ที่นี่ฟังแล้วกลับรู้สึกกังวานเสนาะหู ไม่รู้สึกอึดอัดใดๆ
ทว่าอย่างรวดเร็ว ในวงแสงสีขาวก็ปรากฏเงาคนเป็นระยะ สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องไปสามวันเต็มๆ จากนั้นจู่ๆ เสียงกระพรวนก็แหลมและเล็กลง พุ่งขึ้นชั้นเมฆ ต่อมาตกลงพื้นดังผัวะ มืดมนไร้แสง
ต่อจากนั้นก็รู้สึกว่าที่ที่อยู่ฟ้าดินสั่นคลอน แสงสีดำปรากฏขึ้น
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน หลังจากรอแสงสีดำเสถียรแล้ว จึงกรุกันเข้าไป
มั่วชิงเฉินโล่งอก ในที่สุดก็ได้กลับแล้ว
ก้าวเข้าแสงสีดำ มาถึงข้างนอกอย่างรวดเร็ว แล้วก็เห็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านอมยิ้มยืนลอยฟ้าอยู่บนเกาะลอย ก้มมองทุกคนจากด้านบน
“ผู้ที่ได้ดอกสำลีตกสวรรค์ เป็นลูกหลานบ้านใคร?” นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ผมและหนวดล้วนขาวโพรนท่านนั้นอมยิ้มถามว่า
พวกเฉิงหรูยวนเจ็ดคนเดินออกจากกลุ่มคน
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านกวาดมองทั้งเจ็ดคนรอบหนึ่ง แล้วสื่อสารกันด้วยสายตาครู่หนึ่ง ถึงโบกแขนเสื้อกว้างว่า “กลับเถอะ”
มั่วชิงเฉินตามทุกคนขึ้นเรือลำหนึ่งในนั้น หลังจากล่องอย่างเร่งรีบเจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดก็มาถึงเกาะเคลื่อนย้าย
“พี่ถัง แม่นางมั่ว แม่หญิงจอมพิษ จากที่นี่กลับถึงเกาะหมายเลขแปด ยังต้องใช้เวลาครึ่งปี เราพักผ่อนที่นี่ก่อนสามวันค่อยกลับ” เฉิงหรูยวนเอ่ย
“เกาะหมายเลขแปด?” มั่วชิงเฉินพึมพำ
เฉิงหรูยวนว่า “เกาะหมายเลขแปดเป็นสถานที่ที่ตระกูลเฉิงตั้งอยู่”
เห็นมั่วชิงเฉินและถังมู่เฉินสบตากันปราดหนึ่ง รีบเอ่ยว่า “ไม่ทราบสหายเต๋าทั้งสามจะไปที่ใด ตระกูลเฉิงข้าเชี่ยวชาญการเดินเรือ จากเกาะหมายเลขแปดไปยังที่ต่างๆ ล้วนสะดวกยิ่งนัก”
“เราพี่น้องกะเตร็จเตร่ดูไปเรื่อยๆ” ถังมู่เฉินหัวเราะร่าว่า จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อทันทีว่า “สหายเต๋าเฉิง ไม่ทราบว่าสมบัติวิเศษเอย วิชาลับเอยที่เจ้าพูดถึง แหะๆ จะให้เราได้เมื่อไร?”
เฉิงหรูยวนชะงัก แล้วถึงว่า “ข้ากลัวพกติดตัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงทิ้งไว้ในตระกูล”
ถังมู่เฉินถอนใจยาวเสียงหนึ่งว่า “ดูท่าเกาะหมายเลขแปด เราพี่น้องไม่ไปไม่ได้แล้ว?”
เสิ่นฉงเหวินรู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้หยาบช้าเกินทน ฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง
เฉิงหรูยวนเข้าใจความกังวลของถังมู่เฉิน กลับไม่สนใจที่จะอธิบาย เขาเป็นใคร หากแม้แต่สัจจะแค่นี้ยังไม่มี จะคู่ควรเป็นคุณชายเจ็ดตระกูลเฉิงได้อย่างไร
ในยามที่บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเล็กน้อยนี่เอง จู่ๆ เสียงหัวเราะของหญิงสาวก็ลอยมาว่า “พี่ถัง ข้าได้ยินพี่สิบสามบอกว่าท่านมาพร้อมคุณชายเฉิงเจ็ด ไยไม่บอกอวิ้นเอ๋อร์ให้เร็วกว่านี้ล่ะ?”
ทุกคนหันหน้ามา ก็เห็นขบวนของเผยสิบสามเดินมา หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นใบหน้างดงามแฝงความโกรธ หน้าตาดั่งภาพวาด สะดุดตายิ่งนัก คือเผยอวิ้นเอ๋อร์นั่นเอง
——
[1] นกโง่บินก่อน ใช้เปรียบเปรยถึงคนไม่เก่งแต่ไม่อยากรั้งท้ายจึงได้เริ่มทำหรือขยันก่อนคนอื่น มักใช้เพื่อแสดงความถ่อมตัว
[2] สำลักจึงเลิกกิน หมายถึง ทำอะไรแล้วเจอปัญหาก็ไม่ทำต่อ