พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 402 ถึงเกาะหมายเลขแปด
“นี่ นี่จะทำเช่นไรดี?” เมื่อก่อนถังมู่เฉินจีบหญิง ล้วนลำพังตัวคนเดียว ไม่มีไม่ราบรื่น ไม่คิดว่าหลังจากมีคนอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ เรื่องราวกลับพัฒนาไปในทางที่เขาคาดไม่ถึงเสียแล้ว
นึกถึงตรงนี้แล้วอดส่ายศีรษะถอนใจไม่ได้ “จื้ดๆ ข้าไปๆ มาๆ ในมวลหมู่บุปผามาตลอด ใบไม้ไม่เคยติดตัวสักใบ ตอนนี้อยู่กันสองคน ก็ไม่ราบรื่นเช่นนั้นแล้ว!”
มั่วชิงเฉินโกรธจนหงายหลัง
ถังมู่เฉินรีบเอ่ยอย่างหน้าหนาว่า “น้องพี่อย่าโมโหสิ พี่ใหญ่เห็นเจ้าหน้าตาบึ้งตึงมาตลอด ตั้งใจแหย่ให้เจ้าหัวเราะ เจ้าว่าเช่นนี้เป็นเช่นไร รอถึงเกาะหมายเลขแปดแล้ว เราก็รีบเผ่นกัน เฉิงหรูยวนพูดแล้วมิใช่หรือ เกาะหมายเลขแปดขนส่งทางทะเลสะดวก ถึงเวลาเราหนีไปทวีปอื่น ต่อให้เผยอวิ้นเอ๋อร์อยากหาเรื่อง ตระกูลพวกเขายังยื่นมือได้ยาวถึงเพียงนั้นหรืออย่างไร?”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วคิดๆ แล้ว ส่ายศีรษะช้าๆ
“น้องพี่ เจ้าไม่เห็นด้วย?” ถังมู่เฉินประหลาดใจ
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ ทีหนึ่งว่า “วันนี้แม้ข้าแสดงท่าทีให้เผยสิบสามเห็นแล้วว่าจะไม่กล้ำกลืนฝืนทน ทว่าอยู่เซิงโจวมานานปานนี้ หรือว่าพี่ใหญ่ไม่สังเกต ที่นี่อิทธิพลของตระกูลนักบำเพ็ญเพียรยิ่งใหญ่นัก? นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณบางคนยินยอมพึ่งพาอาศัยตระกูลนักบำเพ็ญเพียร กระทั่งเกรงใจนอบน้อมต่อนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่มีฐานะในตระกูลนักบำเพ็ญเพียร โดยเฉพาะเผยอวิ้นเอ๋อร์ ดูท่าทางที่นางไม่เกรงใจข้า อีกทั้งยังสงบเยือกเย็นต่อหน้าเจ้าและเฉิงหรูยวน เห็นชัดว่าวางท่าจนชินแล้ว ในใจนาง ไม่มีความคิดของความสามารถเป็นใหญ่โดยสิ้นเชิง หรือจะพูดว่า…คนที่เป็นที่พึ่งในตระกูลนางพลังแข็งแกร่งเหลือเกิน ดังนั้นแม้แต่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ ก็สามารถลืมตาอ้าปาก ไม่เห็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณในสายตา
“น้องพี่หมายความว่า?”
มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “ตระกูลเผยอำนาจล้นฟ้า หากเราพอถึงเกาะหมายเลขแปดก็จากไป ดีไม่ดีอาจไม่ง่ายปานนั้น อย่างน้อยเราก็ควบคุมเส้นทางเดินเรือไม่ได้ถูกหรือไม่?”
ถังมู่เฉินเหงื่อตกเล็กน้อย เอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “น้องพี่ ขอโทษด้วย พี่ใหญ่หาเรื่องให้เจ้าอีกแล้ว…”
เดิมทีมั่วชิงเฉินยังวิตกอยู่ ได้ยินเช่นนี้แล้วกลับหัวเราะฟู่ออกมา
คำว่า ‘อีก’ นี้ใช้ได้เหมาะมาก ถังมู่เฉินช่างเป็นคนตลกจริงๆ เลย ก็ไม่รู้ว่าวันหลังหญิงสาวคนไหนจะโชคร้าย กลายเป็นภรรยาของเขา
เห็นมั่วชิงเฉินหัวเราะ ถังมู่เฉินกะพริบตาอย่างน้อยใจว่า “น้องพี่ เจ้าหัวเราะเยาะข้า”
มั่วชิงเฉินค้อนเขาควักหนึ่งว่า “คุยเรื่องจริงจังเถอะ ความหมายของข้าคือ รอถึงเกาะหมายเลขแปดแล้ว หากเฉิงหรูยวนออกปากเชื้อเชิญ เราก็เลยตามเลยไปเป็นแขกบ้านเขา”
“ถูกต้อง อิทธิพลตระกูลเฉิงก็ใช่ย่อย เราเป็นแขกของเฉิงหรูยวน หากเกิดอะไรขึ้น ตระกูลเฉิงก็เสียหน้านี่นา เมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ตระกูลเผยต้องไม่ปล่อยให้นางหนูน้อยนั่นทำเหลวไหลแน่ เพียงแต่ เราจะหลบอยู่ตระกูลเฉิงตลอดก็ไม่ได้นี่นา” ถังมู่เฉินใช้นิ้วเคาะหน้าโต๊ะ
มั่วชิงเฉินมองถังมู่เฉินอย่างดูถูกปราดหนึ่งว่า “อะไรเรียกว่าหลบอยู่ตระกูลเฉิงตลอด หรือว่าเฉิงหรูยวนไม่ไปเฟิ่งหลินโจวแล้วหรืออย่างไร รอยามที่เขาไปเฟิ่งหลินโจว เราก็เสนอว่าให้ไปด้วยกัน ตามเขาไปเฟิ่งหลินโจวด้วย รอถึงที่นั่นแล้ว ตระกูลเผยคิดจะควบคุมนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนเกรงว่าจะมีใจแต่ไร้สามารถกระมัง”
มั่วชิงเฉินเอ่ยเนิบๆ เดิมนึกว่าถังมู่เฉินต้องพยักหน้าเห็นด้วยแน่ ทว่าไม่คิดว่าเขาเหมือนถูกไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น ยืนขึ้นทันที โบกมือติดๆ กันว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าไม่ไปเฟิ่งหลินโจวหรอกนะ”
“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินสงสัย
ถังมู่เฉินหน้ามุ่ยว่า “น้องพี่เกรงว่าเจ้าคงไม่รู้สินะ เฟิ่งหลินโจวสถานที่อัปรีย์นั่น มีสตรีเป็นใหญ่! ย่าเจ้าสิ ได้ยินมาว่าหากเจอผู้หญิงที่ร้ายกาจ หากผู้ชายของนางมีชู้ ยังมีการจับผู้ชายใส่ตะกร้าถ่วงน้ำด้วยนะ นี่ นี่มันเหลือเชื่อชัดๆ!”
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชา ฮึเบาๆ ว่า “ที่อัปรีย์? เหลือเชื่อ?”
“ก็ใช่น่ะสิ…” พูดถึงตรงนี้ถังมู่เฉินดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้อย่างไรอย่างนั้น รีบหยุด หน้าหนาว่า “น้องพี่เอ๊ย พี่ใหญ่ลืมไปชั่วขณะอีกแล้วว่าเจ้าก็เป็นผู้หญิง…”
“ข้าชินแล้ว…” มั่วชิงเฉินน้ำตานองหน้า
ถังมู่เฉิงอ้อมไปหลังมั่วชิงเฉิน ช่วยทุบหลังให้นางอย่างประจบประแจงว่า “น้องพี่คนดี เจ้าอย่าโกรธเลย อ่ะ ผมเจ้านี่ช่างสวยจริงๆ เดี๋ยวพี่ใหญ่เด็ดดอกไม้ให้เจ้าประดับนะ”
มั่วชิงเฉินหันหน้าโดยพลัน ใบหน้าเย็นชาว่า “อย่าเปลี่ยนหัวข้อ ตกลงเจ้าจะไปหรือไม่ไปเฟิ่งหลินโจว?”
“ไม่ไป!” ถังมู่เฉินตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย พูดจบก็กวาดมองมั่วชิงเฉินอย่างร้อนตัว มือที่ทุบอยู่ยิ่งออกแรง
มั่วชิงเฉินสะดุดทีหนึ่ง เกือบถูกเขาทุบจนหมอบไปกับพื้น หน้าดำว่า “ถังมู่เฉิน เจ้าไม่อยากไปก็ไม่ถึงกับต้องฆ่าคนปิดปากกระมัง! ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รอให้ถึงเกาะหมายเลขแปด เราก็ต่างคนต่างไป”
ถังมู่เฉินมือสั่น นั่งลงข้างมั่วชิงเฉินเต็มก้นว่า”น้องพี่ พี่ใหญ่ไม่แยกจากเจ้านะ”
มองดูท่าทางน่าสงสารของเขา มั่วชิงเฉินใจอ่อนทันที ช่างเถอะ จะโกรธหมอนี่ไปไยเล่า
“น้องพี่เจ้าไม่รู้อะไร ตั้งแต่อยู่กับเจ้า โชคข้าดีขึ้นมากเลย” คำพูดต่อมาของถังมู่เฉินทำให้มั่วชิงเฉินดูถูกความใจอ่อนเมื่อครู่ของตนขึ้นมาทันที
“น้องพี่ น้องพี่เป็นอะไรไปน่ะ?”
“อย่าพูดกับข้า!”มั่วชิงเฉินพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ รู้สึกว่าอยู่กับหมอนี่นานเข้าต้องอายุสั้นลงหลายปีแน่ๆ
ถังมู่เฉินกระตุกแขนเสื้อนางว่า “เอาล่ะ พี่ใหญ่ไปเฟิ่งหลินโจวพอใจหรือยัง!”
มองดูถังมู่เฉินที่จู่ๆ ก็เผยให้เห็นสีหน้าสลดเช่นนั้น มั่วชิงเฉินโกรธจนหัวเราะว่า “พี่ใหญ่ เฟิ่งหลินโจวเป็นแค่ที่เคลื่อนย้าย ไม่ใช่ให้เจ้าอยู่นั่นรอแต่งงานเสียหน่อย เจ้าจะทำท่าทางจะเป็นจะตายเช่นนี้ไปไย?”
ถังมู่เฉินโล่งอก เอ่ยเอื่อยๆ ว่า “ข้าคนเห็นคนรักถึงเพียงนี้ ก็กลัวคนอื่นใช้กำลังน่ะสิ”
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจริงจังว่า “วางใจได้ ต่อให้เป็นเช่นนั้น คนที่โชคร้ายก็เป็นคนอื่นอยู่ดี!”
ถังมู่เฉินเปลี่ยนหัวข้ออย่างใจเย็นว่า “น้องพี่ เราตกลงกันก่อนนะ ถึงเฟิ่งหลินโจวแล้วรีบเผ่นทันที เอ่อใช่ หลังจากนั้นเจ้ากะจะไปไหน?”
มั่วชิงเฉินเม้มมุมปาก นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงหลุดออกมาสองคำว่า “เสวียนโจว”
“เสวียนโจว?” ถังมู่เฉินตกใจแทบกระโดด จากนั้นสะบัดมือ แผนที่ใบหนึ่งปรากฏขึ้น
แผนที่นั่นถึงกลางอากาศก็ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นกึ่งสามมิติ เขาเขยิบเข้าไปชี้อยู่ครึ่งค่อนวัน ถึงชี้ที่ที่หนึ่งที่สุดทิศตะวันออกว่า “ห้าทวีปรอบนอก ห่างจากที่นี่มากนะ ห่างจากดินแดนเทียนหยวนก็ยิ่งไกลแล้ว น้องพี่เอ๊ย อยู่ดีๆ เจ้าวิ่งไปทำอะไรที่นั่นล่ะ? หรือว่า เจ้าไม่อยากกลับดินแดนเทียนหยวนแล้ว?”
“ข้าจะไปหาของสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญมากที่เสวียนโจว ไม่ไปไม่ได้ พี่ใหญ่ เจ้าอยากกลับดินแดนเทียนหยวนแล้วหรือ?”
ถังมู่เฉินเพ่งพิศสีหน้าที่มุ่งมั่นของมั่วชิงเฉิน เอ่ยว่า “ทางดินแดนเทียนหยวนนั้น ก็ไม่รู้ว่าวิกฤตอสูรสิ้นสุดหรือยัง ชั่วขณะหนึ่งยังไม่ต้องกลับไปก็ได้ กว่าจะได้มาสิบทวีปตะวันออกไม่ใช่ง่ายๆ จะได้ท่องเที่ยวดีๆ เสียหน่อย เพียงแต่น้องพี่เจ้าดูแผนที่นี่ ห้าทวีปรอบนอกและห้าทวีปรอบในไม่เหมือนกัน อยู่ห่างกันมาก เฟิ่งหลินโจวอยู่นี่ หากจะออกเดินทางจากเฟิ่งหลินโจวไปเสวียนโจว อาศัยการเดินทางของเรา ต่อให้ไม่เสียเวลาเลยก็ต้องบินสิบกว่าปีกว่าจะถึง อนาคตอย่างไรก็ต้องมีวันที่เรากลับดินแดนเทียนหยวน ถึงเวลาเกรงว่าจะเสียเวลาเกินไป”
ความหมายของถังมู่เฉิน อยู่ท่องเที่ยวในสิบทวีปตะวันออกไม่เลว ทว่าทางที่ดีที่สุดคือท่องเที่ยวในห้าทวีปรอบใน เช่นนี้ไม่เสียเวลาการกลับดินแดนเทียนหยวนในอนาคต
แม้มั่วชิงเฉินซื้อ ‘จารึกภูมิประเทศสิบทวีป’ เข้าใจการแบ่งเขตสิบทวีปโดยประมาณ กลับไม่ชัดเจนเท่าแผนที่นี้ ยังเป็นครั้งแรกที่รู้ ว่าจากทางนี้ไปถึงเสวียนโจว จำเป็นต้องใช้เวลาสิบกว่าปี หากบวกการเดินทางกลับ เช่นนั้นก็จะเป็นหลายสิบปี มิน่าถังมู่เฉินถึงลังเล
“พี่ใหญ่ เสวียนโจวข้าต้องไปแน่ เสียเวลาเพียงใดก็ต้องไป เจ้าว่าเช่นนี้เป็นเช่นไร รอถึงเฟิ่งหลินโจวแล้ว ข้าไปเสวียนโจว เจ้าเลือกสักทวีปไปท่องเที่ยวได้ตามใจ”
“น้องพี่ เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ถังมู่เฉินเก็บสีหน้าทะเล้นขึ้น
มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยว่า “พี่ใหญ่อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้พูดเพราะโมโห ข้าตั้งใจ ดังที่เจ้าว่ามา เสวียนโจวไกลเกินไปจริงๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปพร้อมข้า อีกอย่าง เรานักบำเพ็ญเพียรเดิมทีก็ลำพังตัวคนเดียวจนชินแล้ว อยู่กันเป็นเพื่อนด้วยโอกาสวาสนานานเช่นนี้เหมือนพวกเรา ไม่ได้มีบ่อยๆ ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา…”
“น้องพี่เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ในเมื่อเจ้าจะไปเสวียนโจว พี่ใหญ่ก็ไปเป็นเพื่อน” ถังมู่เฉินสายตาร้อนแรง สีหน้ามุ่งมั่น
มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ ไม่ได้พูดอะไรอีก ตัดสินใจยามนี้ยังเร็วเกินไป ทุกอย่างรอให้ถึงเฟิ่งหลินโจวแล้วค่อยว่ากันเถอะ
เห็นมั่วชิงเฉินอนุญาตแล้ว ถังมู่เฉินยิ้มแกล้มปริเก็บแผนที่ขึ้น
มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา ถามอย่างสงสัยว่า “พี่ใหญ่ เจ้าเอาแผนที่นี่มาจากไหน?”
ถังมู่เฉินยิ้มว่า “แม่หญิงจอมพิษให้ข้ามา น้องพี่เจ้าไม่รู้อะไร ที่แท้แม่หญิงจอมพิษไม่ใช่คนเซิงโจว บลาๆๆ…”
มั่วชิงเฉินตกตะลึงอ้าปากค้าง เขา เขาสนิทกับแม่หญิงจอมพิษเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เห็นท่าทางหน้าชื่นตาบานของถังมู่เฉิน ดูท่าแม่หญิงจอมพิษที่ยังนับว่าใจเย็นคนนั้นไม่รู้กลายเป็นหนึ่งในดอกไม้ป่านับไม่ถ้วนของเขาตั้งแต่เมื่อไรแล้ว
“พี่ใหญ่ ข้ากลับห้องก่อนนะ” มั่วชิงเฉินเดินออกมาด้วยความจำใจ ทอดถอนใจอีกครั้งว่าถังมู่เฉินเป็นอัจฉริยะในด้านการจีบหญิงอีกครั้ง
วันเวลาต่อจากนั้น เพื่อลดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น มั่วชิงเฉินจึงบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่ได้ออกไปข้างนอกอีก
ฝึกวิชายุทธจนเบื่อแล้ว ก็หยิบกระบี่ชิงมู่ออกร่ายรำ แม้พื้นที่มีจำกัดมีผลกระทบต่อการฝึกฝน ทว่าก็ยังดีกว่าไม่ฝึก และเมื่อมีเวลาว่างอีก ก็จะคอยสังเกตกิ่งดอกสำลีตกสวรรค์ที่ปลูกอยู่ในสวนยาพกพา
วันนั้นตนขอกิ่งก้านมา แล้วปลูกลงในสวนยาพกพาอย่างไม่ให้เห็นร่องรอย ใช้สุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนรดติดต่อกันหลายวัน กิ่งก้านยังคงท่าทางจะตายไม่ตายแหล่ ทว่าไม่คิดว่าหลังจากยืนหยัดไปสามเดือน ไม่คิดว่ากิ่งก้านนั้นจะยืดตรงขึ้นแล้ว แม้ยังไม่โต กลับมีใบใหม่งอกออกมามากมาย
สองสามวันนี้ นางรู้สึกตื่นเต้นมาตลอด คิดว่าหากต่อไปมีต้นไม้อัศจรรย์สักต้นเช่นดอกสำลีตกสวรรค์ ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตยังสามารถบ่มน้ำผึ้งวิญญาณที่เพิ่มตบะได้ด้วย ช่างเป็นเรื่องวิเศษเหลือเกิน
กิ่งก้านของดอกสำลีตกสวรรค์ตั้งแต่แตกหน่อออกมาใหม่ ความเปลี่ยนแปลงต่อจากนั้นก็ชัดเจนขึ้นทุกวัน ตามที่มั่วชิงเฉินรดสุราเลิศรสใส่ทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปอีกสามเดือน ยามที่เกาะหมายเลขแปดใกล้อยู่แค่เอื้อม กิ่งก้านนั้นก็โตเป็นต้นกล้าเล็กๆ ที่ไม่ใหญ่มากต้นหนึ่งแล้ว
มั่วชิงเฉินอารมณ์ดีมาก ได้ยินถังมู่เฉินเรียกอยู่หน้าประตูอีก จึงยิ้มร่าเดินออกไป
“อ้าว น้องพี่ ไยถึงดีใจเช่นนี้?”
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “ไม่มีอะไร คิดว่าอีกไม่นานก็ไม่ต้องล่องลอยอยู่บนทะเลแล้ว ก็ดีใจน่ะสิ”
ถังมู่เฉินยิ้มว่า “น้องพี่เจ้าพูดถูกแล้ว เฉิงหรูยวนเรียกข้ามาเรียกเจ้า จะเข้าฝั่งแล้ว”
“อะไรนะ?” มั่วชิงเฉินกะพริบตา ระยะนี้นางอุดอู้อยู่ในห้องตลอด แม้นับวันรู้ว่าใกล้ถึงแล้ว กลับไม่คิดว่าจะเป็นยามนี้
จึงรีบเดินตามถังมู่เฉินออกไป คนทั้งหมดยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือหมดแล้ว มองตามทิศทางของพวกเขาไป จะเห็นท่าเรือที่โอ่อ่าอยู่ไกลๆ