พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 403 มุกรวมวิญญาณคือสิ่งใด
ความกว้างขวางโอ่อ่าของท่าเรือนี้ มิใช่เกาะหมายเลขสามสิบเจ็ดจะเทียบได้ มั่วชิงเฉินเชื่อแล้วว่าเฉิงหรูยวนไม่ได้พูดปด เกาะหมายเลขแปดเป็นสถานที่สะดวกต่อการขนส่งทางทะเลจริงๆ
เรือเข้าฝั่ง มีคนรับใช้รออยู่ข้างๆ นานแล้ว รับทุกคนขึ้นไป
เฉิงหรูยวนออกปากรั้ง เผยสิบสามกลับปฏิเสธข้อเสนอที่ให้ไปพักผ่อนที่ตระกูลเฉิง แล้วนำเผยอวิ้นเอ๋อร์และลูกน้องทั้งหมด เดินทางตรงไปยังเกาะหมายเลขเจ็ด
จนกระทั่งถึงหน้าประตูใหญ่ตระกูลเฉิง ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ได้รู้ว่านี่เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่เพียงใด
ทอดสายตาไป จวนตระกูลเฉิงครอบครองพื้นที่ได้ครึ่งเมือง เกรงว่าให้อยู่นับหมื่นคนได้สบายๆ
ตามเฉิงหรูยวนเข้ามา สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ คนที่แต่งตัวเป็นคนรับใช้ที่เดินไปมาขวักไขว่แต่ละคนล้วนเดินเร็วดุจบินได้ ส่วนใหญ่เป็นนักบำเพ็ญเพียร
“สหายเต๋าทั้งสาม ข้าไปกราบคารวะหัวหน้าตระกูลก่อน ฉงเหวิน เจ้าช่วยรับรองสหายเต๋าทั้งสามให้ดีแทนข้า” เฉิงหรูยวนพูดพลางส่งสายตาให้คนรับใช้เฉิงห้า
เฉิงห้าดูแล้วอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี ใบหน้าหมดจด ฉลาดเฉลียว คือเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายเฉิงหรูยวนที่พบเขาที่เกาะหมายเลขสามสิบห้าครั้งแรกในปีนั้น
“คุณชายญาติผู้น้อง คุณชายคุณหนูทั้งสาม เชิญตามข้าน้อยมาขอรับ” เฉิงห้านำทั้งสี่คนเดินไปทางโถงบุปผาอย่างนอบน้อม
เมื่อถึงที่นั่นก็มีสาวใช้เข้ามามากมายทันที วางผลไม้ของว่างต่างๆ นานาขึ้นโต๊ะ จากนั้นโค้งตัวถอยออกไป ตลอดขบวนการไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ
“คุณชายคุณหนูเชิญตามสบาย” เฉิงห้าพูดจบก็ถอยลงไป
เสิ่นฉงเหวินไม่เหมือนเฉิงหรูยวนที่เก็บงำความเย่อหยิ่ง มักปฏิบัติต่อคนนอกอย่างอ่อนโยนมีมารยาท เขาเป็นคนประเภทแสดงความรู้สึกต่างๆ ออกทางใบหน้า
เดิมเขาก็เห็นถังมู่เฉินขวางหูขวางตา อีกทั้งไม่พอใจมั่วชิงเฉิน ยามนี้แม้บอกให้เขารับรอง กลับยกถ้วยชาขึ้น แล้วดื่มอึกแล้วอึกเล่าไม่ส่งเสียงสักแอะ
พวกมั่วชิงเฉินสามคนก็รู้สึกดีที่ไม่อึดอัด คุยเล่นกันขึ้นมาเอง ชั่วขณะหนึ่งเสียงหัวเราะไม่ขาด และก็ไม่สนใจที่เสิ่นฉงเหวินสีหน้าดำขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ยังดีที่ครึ่งชั่วยามผ่านไป เฉิงหรูยวนก็เข้ามาแล้ว เอ่ยขอขมาลาโทษก่อน จากนั้นเปิดอกพูดว่า “ยามนั้นให้สัญญากับสหายเต๋าทุกท่านไว้ ว่าหลังจากงานสำเร็จจะมอบสมบัติวิเศษและวิชาลับให้ ลากมาตลอดถึงวันนี้ถึงให้ ขอให้สหายเต๋าทั้งสามอภัยด้วย เอ่อ ข้าจะไปรอที่โถงข้างๆ สหายเต๋าทั้งสามเข้ามาตามลำดับดีหรือไม่?”
เห็นทั้งสามพยักหน้า เฉิงหรูยวนลุกขึ้นเดินเข้าโถงข้าง
เสิ่นฉงเหวินเม้มปาก มองพวกมั่วชิงเฉินสามคนเงียบๆ
พวกมั่วชิงเฉินสามคนต่างมองหน้ากัน แม่หญิงจอมพิษยิ้มหวานว่า “เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอเข้าไปก่อนแล้วกัน”
แม่หญิงจอมพิษเข้าไปได้ราวหนึ่งเค่อ ก็เดินนวยนาดออกมา ดูท่าทางดีอกดีใจ เห็นชัดว่าพอใจของที่ได้มามาก
คนที่เข้าไปเป็นคนที่สองคือถังมู่เฉิน หลังจากใช้เวลาพอๆ กันแล้วก็ออกมา มั่วชิงเฉินแอบสูดลมอึดหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปด้วยสีหน้าสงบ
“แม่นางมั่ว” เห็นมั่วชิงเฉินเข้ามา เฉิงหรูยวนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กุหลาบ[1]ลุกขึ้นยืน
มั่วชิงเฉินกวาดมองการตกแต่งในห้องอย่างเร็วปราดหนึ่ง ยิ้มว่า “ไม่ทราบสหายเต๋าเฉิงเตรียมของดีอะไรไว้ให้ข้าน้อย?”
เฉิงหรูยวนชี้เก้าอี้กุหลาบที่อยู่ข้างๆ บอกใบ้ให้มั่วชิงเฉินนั่งลง ถึงเอ่ยว่า “บอกตรงๆ ของที่ข้าจะให้แม่นางมั่ว ตัดสินใจไม่ค่อยถูก”
“นี่หมายความว่าอย่างไร?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว
เฉิงหรูยวนยิ้มว่า “เดิมทีข้าเตรียมสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง วิชาลับแขนงหนึ่งไว้ให้ทุกท่าน แม้จะเข้าใจในตัวทุกท่านไม่มาก ทว่าก็ประเมินจากจุดเด่นของทุกท่าน”
“สหายเต๋าเฉิงมีใจแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
เฉิงหรูยวนขยับมือ บนโต๊ะก็ปรากฏปิ่นหยกขึ้นอันหนึ่ง ม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่ง แล้วดันของสองสิ่งข้ามไปว่า “แม่นางมั่วลองดูก่อน”
มั่วชิงเฉินหยิบปิ่นหยกอันนั้นขึ้นก่อน ปิ่นเป็นสีมรกตมีน้ำมีนวลกระจ่างใสยิ่งนัก เกรงว่าจะไม่มีหญิงสาวที่ไม่ชอบ ส่งจิตตระหนักเข้าไปสายหนึ่ง ปิ่นหยกปล่อยลำแสงออกมาสายหนึ่ง จึงเข้าใจวิธีการใช้สมบัติชิ้นนี้คร่าวๆ แล้ว
ปิ่นหยกนี่เป็นสมบัติวิเศษโจมตี สามารถปล่อยแสงรุนแรงสายแล้วสายเล่าทำร้ายคนได้ วิหคที่หัวปิ่น ยังสามารถแปลงเป็นเงามายาทำการโจมตีได้ ของเป็นของดี เพียงแต่สำหรับนางแล้ว กลับไม่นับว่าเป็นของที่จำเป็นอย่างเร่งด่วน
มั่วชิงเฉินทอดสายตาไปบนม้วนคัมภีร์หยก มือปัดผ่านเบาๆ ‘คาถาเจ็ดดาวหลงทาง’ อักษรประทับเข้าในสมอง ไม่คิดว่าจะเป็นท่าร่างแขนงหนึ่ง
มั่วชิงเฉินมองไปที่เฉิงหรูยวน
เฉิงหรูยวนยิ้มว่า “แม่นางมั่วรู้สึกว่าของสองสิ่งนี้เป็นเช่นไร?”
“ดีทีเดียว” เฉพาะของ ก็ไม่เลวจริงๆ
เฉิงหรูยวนถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง “เดิมทีข้าก็รู้สึกเช่นนี้ เพียงแต่หลังจากที่เห็นท่าร่างที่แม่นางมั่วฝึกในทะเลบ่อยๆ กลับรู้สึกว่าของสองสิ่งนี้ไม่ค่อยมีความหมายสำหรับแม่นางมั่วเสียแล้ว”
มั่วชิงเฉินฟังอย่างเงียบๆ ที่จริงขอเพียงเฉิงหรูยวนให้สมบัติวิเศษและวิชาลับนางอย่างละชิ้น ก็ไม่นับว่าผิดคำพูด บัดนี้เขาพูดเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร หรือว่าคิดว่าไม่ควรค่าแก่การนำออกมาแสดง กะจะเพิ่มอะไรสักหน่อย?
เสียงของเฉิงหรูยวนลอยมาว่า “แม่นางมั่วอยู่เขตไร้จนช่วยข้าไว้มาก กระทั่งพูดได้ว่าหากไม่มีแม่นางมั่ว ข้าจะได้ดอกสำลีตกสวรรค์หรือไม่ ยังไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นข้าไม่อยากทำอย่างขอไปที อยากขอให้แม่นางมั่วเลือกเอง”
พูดพลางแบมือออก กลางฝ่ามือปรากฏมุกขนาดเท่าลำไยเม็ดหนึ่ง
“นี่คือ…”
“มุกรวมวิญญาณ” เฉิงหรูยวนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
มั่วชิงเฉินเบิกตาขึ้นเล็กน้อย มองมุกที่ขาวจนเกือบใสเม็ดนั้นตาไม่กะพริบว่า “มุกรวมวิญญาณ ความหมายตามชื่อ หรือว่าสามารถรวบรวมปราณวิญญาณได้?”
เฉิงหรูยวนจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น ขับกับชุดแดงที่ใส่ เหมือนพระอาทิตย์ร้อนแรง “ไม่ใช่รวบรวมปราณวิญญาณ หากแต่เป็นพลังวิญญาณ!”
มั่วชิงเฉินมือสั่น เบิกตาโพรงทันทีว่า “พลังวิญญาณ หรือว่า…”
นึกถึงความเป็นไปได้เรื่องนั้น ใจก็เต้นแรงทีหนึ่ง ใบหน้ากลับพยายามรักษาความสงบ รอเฉิงหรูยวนพูด
เฉินหรูยวนก็ไม่เล่นตัว ดันมุกรวมวิญญาณข้ามมาว่า “แม่นางมั่วคิดไว้ไม่ผิด มุกรวมวิญญาณไร้สีเม็ดนี้ สามารถรวบรวมพลังวิญญาณที่เจ้าของถ่ายเข้ามันในยามปกติ รอถึงยามต่อสู้ เพียงกุมมุกรวมวิญญาณไว้ในมือหรืออมไว้ในปาก พลังวิญญาณภายในก็จะเอาออกมาใช้ได้เหมือนพลังวิญญาณในกายตนเอง”
มั่วชิงเฉินตื่นเต้นเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับนักบำเพ็ญเพียรคนหนึ่งอยู่ดีๆ มีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมามากมาย หากในยามต่อสู้ จะเป็นประโยชน์มากทีเดียว บางเวลากระทั่งสามารถตัดสินความเป็นตาย ไม่ใช่โอสถเติมวิญญาณพวกนั้นจะเทียบได้ ต้องรู้ว่าโอสถเติมวิญญาณแม้เติมพลังวิญญาณได้ ทว่าใช้ในยามต่อสู้ ความเร็วในการเติมพลังวิญญาณกลับช้ามาก ไล่พลังวิญญาณที่สูญเสียไปไม่ทันเอาเสียเลย
ทว่ามุกรวมวิญญาณนี่ก็ไม่เหมือนกันแล้ว ขอเพียงพลังวิญญาณในมุกรวมวิญญาณใช้ไม่หมด เช่นนั้นก็ใช้ได้ตามสบายเหมือนพลังวิญญาณของตน
อนาคตยามต่อสู้ พลังวิญญาณของคนและพลังวิญญาณในมุกรวมวิญญาณสลับกันใช้ เช่นยามพลังวิญญาณของตนใช้หมด สามารถกินโอสถเติมวิญญาณค่อยๆ ฟื้นฟูพลังวิญญาณ ใช้พลังวิญญาณในมุกรวมวิญญาณทำการต่อสู้ เมื่อพลังวิญญาณของตนฟื้นฟูพอประมาณแล้วค่อยสลับใช้พลังวิญญาณของตน เช่นนี้ล่ะก็ ยังจะได้ผลดีกว่าพลังวิญญาณที่เกิดจากสองสิ่งรวมกันอีก
นักบำเพ็ญเพียรระดับต่างกันพลังห่างกันมาก ตกลงเพราะอะไร จุดสำคัญในนั้นก็คือพลังวิญญาณ คาถาที่นักบำเพ็ญเพียรระดับสูงปล่อยออกมามีพลังวิญญาณมาก อานุภาพรุนแรง สมบัติวิเศษป้องกันก็อาศัยพลังวิญญาณที่มีไม่ขาดสายคอยหนุน
ลองคิดดูหากนางมีพลังวิญญาณไม่ขาดสาย ขอเพียงสมบัติวิเศษป้องกันไหมเกล็ดน้ำแข็งต้านการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของศัตรูไว้ได้ เช่นนั้นขอเพียงมีพลังวิญญาณอยู่ ก็จะไม่ถูกศัตรูทะลวงการป้องกันไปตลอด
เอาเป็นว่าแค่ประโยคเดียว มุกรวมวิญญาณเป็นของดีจริงๆ!
“แม่นางมั่ว พลังวิญญาณที่รวบรวมอยู่ในมุกรวมวิญญาณนี้ เทียบเท่ากับพลังวิญญาณในกายของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้น ไม่นับว่ามาก เจ้าลองคิดดูได้ ว่าเอาของสองสิ่งนั้น หรือว่ามุกรวมวิญญาณ” เฉิงหรูยวนเอ่ยเสียงอบอุ่น
มั่วชิงเฉินก็ไม่อิดออด ยิ้มว่า “ไม่ต้องคิดแล้ว ข้าน้อยย่อมเลือกมุกรวมวิญญาณนี่ เพียงแต่สหายเต๋าเฉิง สมบัติที่ดีเช่นนี้ เจ้าตัดใจให้ข้าน้อยลงหรือ?”
เฉิงหรูยวนหัวเราะแล้วว่า “เกรงว่าแม่นางมั่วจะไม่เข้าใจมุกรวมวิญญาณนี้ มุกนี้จำเป็นต้องหยดโลหิตจำนาย คนหนึ่งสามารถใช้ได้หนึ่งเม็ดเท่านั้น หากวันหลังได้ระดับที่สูงกว่ามา ก็จำเป็นต้องแก้สัญญาโลหิตกับเม็ดก่อนหน้านี้ ถึงสามารถเปลี่ยนได้”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง มุกรวมวิญญาณนี้ ดูแล้วเป็นผลผลิตเฉพาะของเซิงโจว ไม่ทราบราคาขายเป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินใจหวั่นไหวเล็กน้อย หากสามารถซื้อสักหน่อยมอบให้สหายสนิทและอาจารย์ก็จะดี
เฉิงหรูยวนยิ้มอย่างภูมิใจว่า “มุกรวมวิญญาณแม้เป็นของเฉพาะเซิงโจว ในตลาดกลับหาไม่ได้”
อย่าว่าแต่ข้างนอกเลย ต่อให้ในตระกูลเขาเช่นนี้ ก็ไม่ใช่คุณชายคุณหนูระดับก่อแก่นปราณทุกคนจะมีได้ เม็ดที่เขามีเกินมานี้ ยังเป็นของรางวัลจากหัวหน้าตระกูลยามที่เพิ่งก่อแก่นปราณเมื่อนานมาแล้ว ต่อมามีโอกาสวาสนาได้เม็ดที่ชั้นสูงกว่ามา ถึงได้เปลี่ยนลงมา
เดิมทีคิดจะเก็บไว้ต่อไปมอบให้คู่บำเพ็ญเพียรที่พึงใจ ทว่าบัดนี้กำลังจะไปเฟิ่งหลินโจวแล้ว คิดว่าคงไม่ได้ใช้อีกแล้ว
มั่วชิงเฉินเป็นคนกระจ่างแจ้งเพียงใด ได้ยินเฉิงหรูยวนพูดเช่นนี้ จึงเข้าใจทันทีว่ามุกรวมวิญญาณนี้เป็นของล้ำค่าอย่างยิ่งยวด ในใจซาบซึ้งความจริงใจของเขา ขยับมือปรากฏขวดน้ำเต้าสุราหลายใบบวกขวดกระเบื้องสีขาวหลายใบ
“แม่นางมั่วนี่คือ?”
มั่วชิงเฉินยิ้มหวานว่า “มาแล้วไม่กลับเสียมารยาท สหายเต๋าเฉิงมอบมุกรวมวิญญาณ ราคาเกินสองสิ่งนั้นมาก ข้าน้อยได้เปรียบแล้วจริงๆ หึๆ ข้าน้อยไม่มีอย่างอื่น กลับมีน้ำผึ้งวิญญาณสุราทิพย์ไม่น้อย ขอให้สหายเต๋าเฉิงรับไว้ด้วย ข้าน้อยจะได้สบายใจ”
เฉิงหรูยวนโบกมือเก็บน้ำผึ้งวิญญาณสุราทิพย์ขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยว่า “แม่นางมั่วเกรงใจไปแล้ว ในเมื่อข้าสัญญาว่าจะให้สมบัติวิเศษและวิชาลับแก่พวกสหายเต๋า ย่อมไม่เอาของที่ทุกท่านไม่ได้ใช้อย่างขอไปที บังเอิญมีมุกรวมวิญญาณนี้เกินมา มอบให้แม่นางมั่วจะหนุนให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
คบหากับคนความประพฤติสูงส่งงดงาม ย่อมรู้สึกเหมือนอาบลมฤดูใบไม้ผลิ เฉิงหรูยวนแม้ยากจะปิดความเย่อหยิ่ง คบหากับเขากลับสบายใจ มั่วชิงเฉินแอบว่าโชคดี เพิ่งมาเซิงโจวครั้งแรกก็ได้เจอบุคคลระดับวีรบุรุษ
“แม่นางมั่ว ไม่ทราบต่อจากนี้พวกเจ้าพี่น้องสองคนวางแผนจะไปไหน หากไม่รีบ ไม่ลองอยู่ตระกูลเฉิงสักพัก”
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “เราพี่น้องกะจะไปเสวียนโจว”
“เสวียนโจว?” เฉิงหรูยวนชะงัก “เสวียนโจวอยู่ที่สุดทิศตะวันออกนะ…”
“อืม ข้ารู้”
เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าแน่วแน่ เฉิงหรูยวนคิดๆ แล้ว ถึงว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้แม่นางมั่วตามข้าน้อยไปเฟิ่งหลินโจวเถอะ เฟิ่งหลินโจวเป็นทางผ่านไปเสวียนโจว”
“เช่นนี้ก็รบกวนสหายเต๋าเฉิงแล้ว ไม่ทราบสหายเต๋าเฉิงจะออกเดินทางเมื่อไร?” มั่วชิงเฉินถามขึ้น
เฉิงหรูยวนยิ้มว่า “สองปีให้หลัง”
“อะไรนะ?” มั่วชิงเฉินชะงัก สองปี นี่จะนานเกินไปแล้ว บวกกับเดินทางอีกสิบกว่าปี เสียเวลาเกินไป หากเป็นเช่นนี้ ไม่สู้คิดหาวิธีไปเองดีกว่า เผยอวิ้นเอ๋อร์ต่อให้คิดจะยืมกำลังของตระกูลมาช่วยรับมือทั้งสองคน ระวังรอบคอบหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร
นึกถึงตรงนี้จึงเอ่ยว่า “สหายเต๋าเฉิง หากเป็นเช่นนี้ เราสองพี่น้องไปเองจะดีกว่ากระมัง ไปเสวียนโจวยังต้องเสียเวลาอีกนาน”
เฉิงหรูยวนสายตาร้อนแรง มองมั่วชิงเฉิน แม่นางคนนี้ยามบุกแดนลี้ลับโดดเด่นเช่นนี้ ไยเจอเรื่องอื่น กลับเลอะเลือนจนทำให้คนยิ้มนะ
มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “สหายเต๋าเฉิง เป็นอะไรหรือ?”
จู่ๆ เฉิงหรูยวนก็หัวเราะเบาๆ ขึ้นมา เอี้ยวตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เข้าใกล้มั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว หรือว่าเจ้าไม่รู้ ว่าเฟิ่งหลินโจวมีค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลหรือ?”
——
[1] เก้าอี้กุหลาบ เป็นเก้าอี้ไม้โบราณชนิดหนึ่งของจีน มีที่เท้าแขน พนักพิง จัดเป็นเก้าอี้ที่ค่อนข้างเล็กในบรรดาเก้าอี้ไม้ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ทำจากไม้ชิงชัน