พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 406 เอาตัวรอดมาได้
มั่วถง มั่วถงอีกแล้ว?
บนใบหน้ามั่วชิงเฉินฉายแววประหลาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แววประหลาดนี้ถูกชายหนุ่มเห็นจนหมด เขาจึงเม้มมุมปากขึ้นเบาๆ
มั่วชิงเฉินความคิดหมุนอย่างเร่งด่วน หญิงสาวประหลาดที่พบในถ้ำใต้ทะเลที่น่านน้ำโกลาหล ที่ไม่อาจลืมก็เพื่อหามั่วถง หัวหน้าตระกูลเผยพูดถึงมั่วถงเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นดูท่าทีของเขา น่าจะเข้าใจผิดว่าตนและมั่วถงมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน
ท่าทีที่เขามีต่อตนยังนับว่าอ่อนโยน เพราะเห็นแก่หน้ามั่วถงหรือไม่นะ?
เช่นนั้นตนควรปล่อยเลยตามเลย หรือว่า…
ลังเลชั่วครู่ มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงต่ำว่า “ผู้น้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงของชายหนุ่มถึงดังขึ้นเอื่อยๆ ว่า “นางหนู เจ้ารู้จักเพลิงแก้วใจกระจ่างหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินมือสั่น เพลิงแก้วใจกระจ่าง?
หรือว่า มั่วถงมีเพลิงแก้วใจกระจ่าง?
หลิวโจว นักบำเพ็ญเพียรที่คิดค้นวิชาหลอมโอสถใหม่หมดจด มั่วถง ปัจจัยพวกนี้รวมเข้าด้วยกัน ขอเพียงนางไม่ใช่คนปัญญาอ่อน คำตอบหนึ่งก็ถูกเรียกออกมาทันที มั่วถง ก็คือบรรพบุรุษหญิงของตระกูลมั่วท่านนั้น ขณะเดียวกันก็คือคนคิดค้นการใช้มุกปีศาจหลอมโอสถนั่นเอง!
มั่วชิงเฉินได้ยิน ‘เพลิงแก้วใจกระจ่าง’ ไม่กี่คำ ชายหนุ่มดูการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าอย่างละเอียดยิบนั้นออก เขาถอนใจว่า “เจ้าคือชนรุ่นหลังของนาง?”
“เจ้าค่ะ” ลังเลครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินตอบว่า
“นาง สุดท้ายนางเลือกใคร?” คำพูดนี้ของชายหนุ่มราวกับวนเวียนอยู่ที่ปลายลิ้นนานมาก ถึงหลุดออกมาอย่างลำบาก
มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจเงยหน้า มองชายหนุ่ม
ชายหนุ่มถูกสายตาของมั่วชิงเฉินดูจนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ถึงกับเบือนหน้าไปอย่างทุลักทุเล
มั่วชิงเฉินรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย บรรพบุรุษหญิงของตระกูลมั่วท่านนั้นหายสาบสูญไปเมื่อพันปีก่อน ด้วยอายุยามนั้นของนางนับแล้ว หากมีชีวิตอยู่ถึงบัดนี้ ก็เกือบสองพันปีแล้ว กับหัวหน้าตระกูลเผยที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ก็นับเป็นนักบำเพ็ญเพียรรุ่นเดียวกัน หากบอกว่าหัวหน้าตระกูลเผยมีใจต่อมั่วถง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่ หญิงสาวคนนั้นที่น่านน้ำโกลาหลมันเรื่องอะไรกันอีก? หรือว่ามั่วถงนาง เป็นคนตอแยแมลงภู่ผึ้ง?
นึกถึงตรงนี้สัญชาตญาณนางไม่ค่อยเชื่อ หญิงสาวที่ฝีมือสูงล้ำ คิดค้นผลงานที่น่าภาคภูมิในด้านหลอมโอสถเช่นนั้น อาจมีชายหนุ่มไล่ตามากมาย ทว่าไม่ควรเป็นคนที่ทำลายบุพเพวาสนาของผู้อื่น ไม่มีเหตุผล นางก็จะเชื่อมั่นเช่นนี้นี่แหละ
อาจเพราะนานมาแล้ว จากการบอกเล่าเนิบๆ ในน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเคารพเลื่อมใสของท่านปู่ ความรู้สึกศรัทธาต่อบรรพบุรุษหญิงก็ค่อยๆ หยั่งรากลึกไว้ในก้นบึ้งของหัวใจแล้วกระมัง
“ผู้น้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างซื่อตรง
คำโป้ปดหนึ่งคำ มักต้องการคำโป้ปดที่มากขึ้นมาปิดบัง หากไม่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยควบคุมไม่ได้ นางจะไม่ยอมทำเช่นนั้น
ชายหนุ่มเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน เห็นสีหน้านางไม่เหมือนเสแสร้ง ในตามีความผิดหวังรางๆ กลับจู่ๆ ก็ถอนใจว่า “ที่จริงเจ้าและมั่วถงหน้าตาไม่เหมือนกันเลย ทว่าพอข้าเห็นเจ้า ก็บอกไม่ถูกว่าเหมือนนางตรงไหน ดังนั้นข้ารู้ว่า เจ้าไม่ได้พูดปด หึๆ ข้าเกลียดคนพูดปดที่สุดเลยนะ”
คำพูดประโยคสุดท้าย แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความเ**้ยมโหดรางๆ
มั่วชิงเฉินหลุบตาลง หน้าตานางย่อมไม่เหมือนมั่วถงอยู่แล้ว เพราะนางเหมือนบรรพบุรุษหญิงทางตระกูลมารดาท่านนั้น เวินหนิง ส่วนความรู้สึกที่เขาบอกว่าคล้ายมั่วถง นั่นเกรงว่าเพราะมีเพลิงแก้วใจกระจ่างเหมือนกัน จึงปล่อยความรู้สึกประหลาดออกมากระมัง
“ท่านผู้อาวุโสเล่าให้ผู้น้อยฟังหน่อย ว่าบรรพบุรุษหญิงนางเป็นคนเช่นไรได้หรือไม่เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินลองถามหยั่งเชิง
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ขึ้นมาว่า “นางหนูเอ๊ย เจ้าเป็นชนรุ่นหลังของนาง กลับหันกลับมาถามข้า?”
มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงต่ำว่า “บรรพบุรุษหญิงนางลำบากมามาก นิสัยเย่อหยิ่งเย็นชา ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าคนในตระกูลมานับพันปีแล้ว พวกเรากระทั่งไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ สิ่งที่ผู้น้อยได้ยินได้ฟังมาเกี่ยวกับบรรพบุรุษหญิง ล้วนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ตรงกันข้ามกลับไม่สู้บุคคลที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับบรรพบุรุษหญิงเช่นท่านผู้อาวุโส ที่รู้ดียิ่งกว่า”
สวรรค์เป็นพยาน ที่นางพูดเป็นความจริงทุกประการนะ
ชายหนุ่มกลับเข้าใจผิดว่าคนในตระกูลที่มั่วชิงเฉินพูดถึง คือคนในตระกูลที่มั่วถงทิ้งไว้ที่หลิวโจว ฟังคำพูดของนางแล้วดูเหมือนเกี่ยวความทรงจำในวานวันขึ้นมา จึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “มั่วถงหรือ เป็นคนทะนงมาก นางหนูในเมื่อเจ้ารู้จักเพลิงแก้วใจกระจ่าง เช่นนั้นก็น่าจะรู้ประโยชน์ของมันสินะ?”
“พอรู้เล็กน้อยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างสงบ
ชายหนุ่มเอ่ยต่อว่า “ปีนั้นมั่งถงปรากฏตัวขึ้นที่เซิงโจว แม้พฤติกรรมค้อมต่ำ นานวันเข้า ยังคงเพราะเชี่ยวชาญการหลอมโอสถที่ที่นี่ไม่มีจึงมีชื่อเสียงขึ้นมา ต่อมา เรื่องที่นางมีเพลิงแก้วใจกระจ่างก็ถูกคนที่มีเจตนาบางคนล่วงรู้ ยามนั้นเดิมทีนางมีคู่บำเพ็ญเพียรอยู่ ทว่าต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใดถึงแยกทางกัน ส่วนนางในที่สุดก็อยู่เซิงโจวไม่ไหวอีก จึงวนเวียนไปหลิวโจวตั้งรกรากที่นั่น ต่อมาอีก ผู้ที่ตามขอความรักนางกรูกันไปเหมือนแมลงภู่ผึ้ง มั่วถงรำคาญจนทนไม่ไหว จึงหลบขึ้นเกาะผนึกถ้ำไว้ ไม่พบคนนอกอีก เจ้าจะให้ข้าบอกว่ามั่วถงเป็นหญิงสาวเช่นไร คิดดูดีๆ แล้ว ยังบอกไม่ถูกจริงๆ หากใช้คำพูดสรุป นางเย็นชามาก โดยเฉพาะต่อชายหนุ่ม ยามที่นางมองเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าตนเป็นของสกปรกที่ไม่เอาถ่าน รู้สึกตนเองต่ำต้อยเมื่ออยู่ต่อหน้านาง ทว่าท่วงท่าที่สง่างามอันแท้จริงของนาง จะดึงดูดจนเจ้าอยากเข้าใกล้อย่างหักห้ามใจไม่ได้อีก ต่อให้เพียงมองดูอยู่เงียบๆ ก็ยังดี…”
มั่วชิงเฉินฟังจนเขิน ท่านผู้อาวุโสท่านนี้จะเคลิบเคลิ้มเกินไปแล้ว ความในใจนี้เก็บอยู่ในใจมานานเพียงใดแล้ว เมื่อไรที่มีบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมั่วถง ก็จะดึงให้เขาพูดออกมาอย่างไม่ขาดสายเช่นนี้ ไม่เลี่ยงเลยแม้แต่น้อย
ว่าก็ว่าเถอะ ฟังพวกนี้แล้วคงไม่ถูกฆ่าปิดปากกระมัง? มั่วชิงเฉินแอบคิด
กำลังคิดเช่นนี้อยู่ เสียงชายหนุ่มก็ลอยมาว่า “เอ๊ะ ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับนางหนูน้อยคนหนึ่งไปทำอะไร? นางหนู ข้าเสียใจภายหลังแล้วทำเช่นไรดี?”
มั่วชิงเฉินเหงื่อกตกพรากว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านคงไม่ฆ่าคนปิดปากกระมัง?”
“ฮ่าๆๆ…” ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา จากนั้นลูบคางว่า “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”
“ท่านผู้อาวุโส ท่านอยากพูดเองนะเจ้าคะ” มั่วชิงเฉินคับแค้นใจ
ชายหนุ่มทำสีหน้าจริงจังว่า “ข้าอยากพูด แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าฟังได้…”
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงว่า “เช่นนั้นท่านผู้อาวุโสคิดจะเอาอย่างไร?”
นางนับว่าดูออกแล้ว คนผู้นี้ไม่ได้คิดจะฆ่าคนปิดปาก หากแต่จะเสนอเงื่อนไข อยู่ใต้ชายคาคนอื่นไม่ก้มศีรษะไม่ได้จริงๆ เลย
“เจ้ามีเพลิงแก้วใจกระจ่างหรือไม่?” ชายหนุ่มถามสบายๆ เหมือนถามว่า ‘เจ้ากินข้าวหรือยัง’
มั่วชิงเฉินเกือบหน้าทิ่ม มุมปากกระตุกว่า “ไม่มี!”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบครู่หนึ่ง รอยยิ้มบริสุทธิ์สดใส ทว่าคำพูดที่พูดออกมากลับทำให้มั่วชิงเฉินอยากชักก้อนอิฐออกมา “ข้าไม่เชื่อ ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมือนมั่วถงมาตลอด ทว่าหน้าตาของพวกเจ้าดันไม่เหมือนกันเลยสักนิด คิดไปคิดมา เกรงว่าเป็นเพราะเจ้าก็มีเพลิงแก้วใจกระจ่างเช่นกัน ถึงเป็นเช่นนี้กระมัง?”
มั่วชิงเฉินแอบด่าว่าจิ้งจอกเฒ่า เกรงว่าเขาเดาไว้เช่นนี้แต่แรกแล้ว ถึงพูดคำพูดเช่นนั้นออกมาอย่างไม่ป้องกัน จากนั้นนำไปสู่เรื่องพวกนี้ในภายหลังกระมัง
“หากผู้น้อยมีเพลิงแก้วใจกระจ่างแล้วเป็นเช่นไร หรือว่าท่านผู้อาวุโสคิดจะวิวาห์กับข้า?”
เมื่อมั่วชิงเฉินพูดคำพูดนี้ออกมา ยามที่เห็นตะเกียบของชายหนุ่มตกตุ๊บลงไป หน้าตาเด็กหนุ่มที่สบายๆ กลายเป็นทึ่มเท่อทันที นางเช็ดมุมปากอย่างใจเย็น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนก็มีความพุงดำ[1]แฝงอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
บางที อาจเกิดจากการอยู่กับหลัวอวี้เฉิงเมื่อนานมาแล้ว?
ชายหนุ่มสูดลมเข้าอย่างแรงอึดหนึ่ง “นางหนูตัวดี ไม่เสียทีที่เป็นชนรุ่นหลังของมั่วถง ใจกล้ายิ่งนัก ไม่คิดว่าจะกล้าเย้าแหย่แม้กระทั่งกับข้า!”
“ผู้น้อยไม่กล้าเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินก้มหน้าสำรวม ท่าทางว่าง่ายเต็มสิบ
จู่ๆ ชายหนุ่มก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาว่า “นางหนู ข้าชอบเจ้ามากจริงๆ หากเจ้ามีเพลิงแก้วใจกระจ่าง ก็ให้ข้าตัดสินใจ ให้สิบสามวิวาห์กับเจ้าเป็นเช่นไร? ชายสิบสามบ้านข้า เจ้าน่าจะไม่เสียเปรียบกระมัง?”
“เสียดายจริงๆ ผู้น้อยไม่มี” มั่วชิงเฉินตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
นางรู้แล้วว่าตระกูลในเซิงโจวพวกนี้เข้าร่วมการประลองเลือกคู่ของตระกูลซ่างกวานแห่งเฟิ่งหลินโจว คาดหวังไว้ไม่น้อย หากนางเปิดเผยเพลิงแก้วใจกระจ่างจริง หัวหน้าตระกูลเผยอาจมีความคิดให้เผยสิบสามวิวาห์กับนาง ทว่าหากเป็นเพียงนักบำเพ็ญเพียรหญิงธรรมดาคนหนึ่ง ตระกูลเผยไม่มีทางปล่อยวางตระกูลซ่างกวานเด็ดขาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะร้อนใจไปไย มีเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นกำบัง ขอเพียงนางปากแข็งบอกไม่มีเพลิงแก้วใจกระจ่าง ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดตรงหน้าก็มองเงื่อนงำอะไรไม่ออก
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอีกตามคาดว่า “เช่นนั้นนางหนูก็ลองสำแดงวิชายุทธธาตุไฟ ให้ข้าดูสักหน่อยเป็นเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินแอบเบ้ปาก ใครๆ ก็ว่าตะพาบพันปีเต่าหมื่นปี มีชีวิตยิ่งนานก็ยิ่งไร้ยางอายใช่หรือไม่?
บนใบหน้ากลับนอบน้อมว่า “มิกล้าขัดคำสั่ง”
พูดพลางแบมือออก ดอกบัวสีฟ้าน้ำแข็งดอกหนึ่งก็บานออกช้าๆ กลางฝ่ามือ กลีบดอกสั่นไหว กระทั่งยังมีน้ำค้างสีฟ้าน้ำแข็งเกาะอยู่
ชายหนุ่มตาเป็นประกายว่า “นางหนูตัวดี ในบรรพดานักบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน การควบคุมพลังวิญญาณเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีคนเหนือกว่ากระมัง? นี่ใช่… เปลวน้ำแข็งเหมันต์หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้าว่า “ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว นี่ก็คือเปลวน้ำแข็งเหมันต์ บัดนี้มันรวมกับไฟจริงในกายแล้ว”
“เปลวน้ำแข็งเหมันต์ ของดี ของดี” กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องให้เผยสิบสามแต่งงานกับนางอีก อย่างไรเสียแม้เปลวน้ำแข็งเหมันต์จะร้ายกาจ กลับจำกัดแค่มั่วชิงเฉินใช้คนเดียว ไม่เหมือนเพลิงแก้วใจกระจ่าง หากเผยสิบสามแต่งงานกับนาง อาศัยฤทธิ์เดชของเพลิงแก้วใจกระจ่าง ตระกูลเผยผ่านไปไม่นานเท่าไร เกรงว่าจะมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเพิ่มขึ้นมาท่านหนึ่ง กระทั่งระดับถอดดวงจิตก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
“หึๆ นางหนู อยู่เป็นเพื่อนตาแก่อย่างข้ามานานถึงเพียงนี้ เบื่อแล้วสินะ ไปเถอะ พวกสิบสามเกรงว่ายังรอเจ้าอยู่ คนหนุ่มสาวนี่นะ อย่างไรก็ควรอยู่กับคนหนุ่มสาวด้วยกันถึงจะถูก” ชายหนุ่มออกคำสั่งไล่แขกแล้ว
มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยว่า “สามารถพบท่านผู้อาวุโสได้ ถือเป็นเกียรติของผู้น้อย จะเบื่อได้อย่างไรกัน เช่นนั้นผู้น้อยก็ไม่รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้วเจ้าค่ะ”
พูดจบยืนขึ้น ก็เห็นชายหนุ่มโบกแขนเสื้อ ปราณวิญญาณสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า คนรับใช้ขี่เรือเมฆาค่อยๆ บินมา แล้วพามั่วชิงเฉินจากไป
จนกระทั่งไม่เห็นเงามั่วชิงเฉินแล้ว ชายหนุ่มถึงนั่งลง แคะฟันว่า “นางหนูบ้านี่ ข้าบอกว่าตนเองแก่ นางก็ไม่ปลอบใจสักหน่อย ข้าแก่ถึงเพียงนั้นหรือ?”
มั่วชิงเฉินไม่รู้ความเคืองแค้นของหัวหน้าตระกูลเผย นางถูกคนรับใช้พาเดินไปยังที่พำนักของเผยอวิ้นเอ๋อร์ เดินได้ครึ่งทางก็เห็นพวกถังมู่เฉินไม่กี่คน ยังมีแม่หญิงจอมพิษเพิ่มมาอีกคน
“น้องพี่ เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ถังมู่เฉินเห็นมั่วชิงเฉินแล้วสีหน้าปิติ
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าว่า “ไม่เป็นไร พี่ใหญ่ล่ะ?”
ถังมู่เฉินหัวเราะว่า “จัดการเรียบร้อยแล้ว”
“จัดการเช่นไร?” มั่วชิงเฉินพูดพลางมองไปที่เผยสิบสามและเฉิงหรูยวน ทั้งสองคนต่างส่ายหน้า แสดงว่าไม่รู้เรื่อง
ถังมู่เฉินหัวเราะร่าว่า “เรื่องของผู้ใหญ่ นางหนูน้อยอย่ายุ่งให้มากนัก เอาเป็นว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว เผยอวิ้นเอ๋อร์ไม่มาหาข้าอีกแล้ว”
เมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ไม่ซักไซ้อีก ร่ำลาเผยสิบสาม แล้วไม่กี่คนก็ย้อนกลับจวนเฉิง
วันที่สองหลังจากกลับไป มั่วชิงเฉินตัดสินใจกักตนอย่างยาวนาน
——
[1] พุงดำ หมายถึง คนที่ภายนอกใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายในใจเต็มไปด้วยแผนการและเล่ห์กล