พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 410 สองศรีพี่น้องประหลาด
หญิงสาวสีหน้าดุจน้ำค้างแข็ง จ้องกริชตรงหน้า
มั่วชิงเฉินเห็นนางไม่ลนลาน ก็รู้สึกชื่นชมอยู่บ้าง พลิกข้อมือเก็บกริชขึ้น
“สหายเต๋า…”
มั่วชิงเฉินเปิดปากอีก ก็ถูกหญิงสาวขัดขึ้นว่า “อย่าพูดมาก เจ้าชนะแล้ว พวกเราไป!”
พูดจบโบกมือ นักบำเพ็ญเพียรหญิงกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้าไป ห้อมล้อมนางไว้เหมือนดาวล้อมเดือนแล้วไปไกลแล้ว
มั่วชิงเฉินแทบอยากจะชื่นชมหญิงผู้นี้แล้ว กล้ารักกล้าแค้น ไม่เยิ่นเย้อ สตรีมีชีวิตอย่างตามอำเภอใจเช่นนี้เกรงว่าคงมีน้อยนักกระมัง
“แม่นางมั่ว ขอบคุณ” เฉิงหรูยวนเห็นหญิงสาวจากไป แล้วแอบโล่งอก เขาไม่ได้กลัวหญิงผู้นั้นหรอกนะ ทว่าหากตีขึ้นมาจริงๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ ให้คนที่มาพร้อมกันพวกนั้นรู้ว่าพวกเขาถูกเกี้ยวพาราสีกลางถนน เช่นนั้นมันน่าอับอายขายหน้าจริงๆ
มั่วชิงเฉินกวาดมองสามคนปราดหนึ่ง ยิ้มร่าว่า “ไม่ต้องเกรงใจ เรากลับไปก่อนดีกว่า จะได้ไม่เกิดเรื่องยุ่งยากอีก”
เสิ่นฉงเหวินกำหมัดจนดังกร๊อบๆ ทันที เกิดเรื่องยุ่งยากอีก? ผู้หญิงบ้านี่หมายความว่าอย่างไร?
เฉิงหรูยวนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ยิ้มอย่างจำใจ แล้วยกเท้าเดินกลับ
มีเพียงถังมู่เฉินที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว หน้าไม่แดงเพราะคำพูดก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย เดินเชิดหน้ายืดอก
เสิ่นฉงเหวินกัดฟัน คนผู้นี้ตกลงรู้หรือไม่ว่าอะไรเรียกว่าไร้ยางอาย กอดน้องสาวตนแล้วโวยวายว่าเป็นเจ้าภรรยา ก็เพื่อหลบเลี่ยงการตีกัน?
มั่วชิงเฉินเพิกเฉยต่อสีหน้าที่แตกต่างกันไปของทั้งสามคน หมุนตัวไปช้าๆ ยกเท้า แล้วก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลังว่า “ช้าก่อน”
เอาเถอะ ช้าก่อนก็ช้าก่อน คำพูดประโยคนี้นางฟังมามากแล้ว มั่วชิงเฉินหดเท้ากลับมาอย่างใจเย็น หันหลัง ก็เห็นหญิงชุดเหลืองที่พบที่ต้นถนนโดยบังเอิญผู้นั้นเดินมาถึงตรงหน้า
“ไม่ทราบสหายเต๋าเรียกข้าน้อยด้วยเรื่องอันใด?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว
“ข้าแซ่หวง” หญิงชุดเหลืองเอ่ยช้าๆ
“เอ่อ” มั่วชิงเฉินไม่รู้ควรมีปฏิกิริยาเช่นไรดี ที่นี่นิยมจู่ๆ ก็เข้ามาแนะนำตนเองเช่นนั้นหรือ?
กำลังลังเลอยู่ว่าจะบอกว่าตนแซ่มั่วดีหรือไม่ ก็ได้ยินหญิงชุดเหลืองเอ่ยช้าๆ ว่า “เมื่อครู่คนที่ถูกสหายเต๋าตีพ่ายไป คือพี่ใหญ่ของข้า”
ยังดีที่ไม่ได้บอก! ในสมองมั่วชิงเฉินแวบความคิดนี้ผ่านไป แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “แม่นางหวงคิดจะทวงความยุติธรรมให้พี่สาวเจ้าหรือ?”
พวกเฉิงหรูยวนสามคนเดินเข้าใกล้มั่วชิงเฉินมาก้าวหนึ่งช้าๆ จ้องหญิงชุดเหลืองตรงหน้าเขม็ง ดูท่าเรื่องวันนี้ยังไม่จบ
ไม่คิดว่าหญิงชุดเหลืองขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ไม่ ข้าเกลียดที่พี่ใหญ่ข้ามักแย่งผู้ชาย!”
“เอ่อ เช่นนั้นข้าน้อยก็ขออำลาแล้ว” มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าสองพี่น้องนี้ล้วนเป็นคนประหลาด
นางกำลังจะหันหลัง หญิงชุดเหลืองก็พุ่งเข้ามาทันที ขวางทางไปว่า “ไม่ได้ เจ้าไปไม่ได้!”
“สหายเต๋าหวงหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” มั่วชิงเฉินก็โกรธขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
หญิงชุดเหลืองชักกระบี่ด้านหลังออกมาอย่างเฉียบขาดว่า “ตีกับข้าสักตั้ง!”
มั่วชิงเฉินตะลึง “สหายเต๋าหวง เจ้าเพิ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพี่สาวเจ้า!”
หญิงชุดเหลืองพยักหน้าอย่างมีเหตุผลเสียเต็มประดาว่า “ถูกต้อง ข้าจะตีกับเจ้า ไม่ใช่เพราะพี่สาวข้า หากแต่เจ้าแข็งแกร่งมาก ข้าอยากสู้กับเจ้าสักตั้ง”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าปวดศีรษะ กวาดด้วยหางตารอบหนึ่ง เห็นสีหน้าผู้คนที่มุงดูเหมือนที่เห็นเป็นเรื่องปกติ บางคนที่เก็บม้านั่งขึ้นแล้วในตอนแรกกลับดึงออกมานั่งลงอีก ยังมีบางคนเปิดวงพนันขึ้นมาทันที ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังว่าพนันใครชนะใครแพ้อย่างไม่หลบหลีก
มั่วชิงเฉินปวดศีรษะยิ่งกว่าเดิมแล้ว เงยหน้านวดขมับว่า “สหายเต๋าหวง ข้าน้อยไม่อยากตีกับเจ้า”
“เพราะอะไร?”
มั่วชิงเฉินจำใจว่า “ไม่มีเพราะอะไร เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าน้อยและสหายยังต้องรุดกลับไป”
“นี่ไม่ใช่เหตุผล!” หญิงชุดเหลืองกำกระบี่ยาวแน่น
มั่วชิงเฉินเส้นเอ็นที่ขมับเต้นตุ๊บๆ ว่า “เอาเถอะ ข้าน้อยก็พูดตรงๆ แล้วกัน ไม่มีเหตุผล ข้าน้อยเพียงแค่ไม่อยากตีกันโดยไร้สาเหตุ หรือว่าสหายเต๋าหวงจะบีบบังคับข้าน้อย?”
หญิงชุดเหลืองส่ายหน้าว่า “ข้าไม่เคยบีบบังคับผู้อื่น”
“เช่นนั้นก็ดี ขอตัว” มั่วชิงเฉินพูดจบรีบร้อนหันไป เดินหน้าไปอย่างเร็วเหมือนมีลมที่ใต้เท้า
แล้วก็ได้ยินเสียงของหญิงชุดเหลืองดังมาแต่ไกลว่า “แต่ข้าจะรอจนถึงยามที่เจ้ายินยอม!”
มั่วชิงเฉินสะดุด เดินเร็วกว่าเดิมแล้ว
ย้อนกลับเรือนที่แยกออกมาของตระกูลซ่างกวาน เฉิงหรูยวนหยุดเดินว่า “ขออภัย แม่นางมั่ว ดูเหมือนสร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว”
มั่วชิงเฉินโบกมือว่า “ช่างเถอะ พรุ่งนี้เช้าเราก็ไปแล้ว ข้าน้อยกลับห้องก่อนแล้ว”
พูดจบผงกศีรษะให้ทั้งสามคนแผ่วเบา แล้วหันหลังเข้าห้อง
ถังมู่เฉินถอนใจยาวๆ เสียงหนึ่งว่า “ชายงามล่มเมือง…”
พูดพลางหันหลังจากไป รู้สึกข้างหลังมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ จึงรีบหลบเข้าข้างๆ มีดบินสามเล่มก็แหวกอากาศบินผ่านไป
“เสิ่นฉงเหวิน เจ้าเกินไปแล้วนะ น้องสาวข้าช่วยเจ้าไว้ เจ้าไม่เพียงไม่ขอบคุณสักคำ ยังทำหน้าดำตลอดจะให้ใครดูหา ที่เกินเลยที่สุดคือ ไม่คิดว่ายังคิดจะฆ่าพี่ใหญ่ของผู้มีพระคุณอีก!” ถังมู่เฉินกระโดดสูงสามฉื่อ
เสิ่นฉงเหวินเก็บมีดบินกลับอย่างสง่า เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “คนขี้ขลาด นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้ากลัวจนเยี่ยวรดตดหาย กอดแขนคนอื่นเรียกเจ้าภรรยาอย่างเมื่อครู่แล้ว”
ถังมู่เฉินยักคิ้ว กลับสนุกขึ้นมาแล้วว่า “ข้าเรียกเจ้าภรรยาหรือไม่ ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับสหายเต๋าเสิ่นกระมัง? หรือว่า… สหายเต๋าเสิ่นกำลังอิจฉา?”
เสิ่นฉงเหวินชักดาบคู่ออกมาดังสวบว่า “คนแซ่ถัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนปากพล่อยทั่วไปจุดจบล้วนไม่ค่อยสวย?”
ถังมู่เฉินหัวเราะว่า “เรื่องนี้ ข้าชินนานแล้ว กลับเป็นสหายเต๋าเสิ่นนี่สิ ช่วงนี้ดูเหมือนดวงไม่ค่อยเท่าไรนะ” พูดพลางเหมือนเจตนาเหมือนไม่เจตนาเหล่ช่วงล่างของเสิ่นฉงเหวิน
เสิ่นฉงเหวินโกรธจนควันออกเจ็ดทวาร กระโดดตัวขึ้นฟันดาบคู่ไปที่ถังมู่เฉิน
เฉิงหรูยวนกระโดดเข้าขวางตรงกลาง รู้สึกเพียงว่าปวดศีรษะเกินทน เขารู้มาตลอดว่าญาติผู้น้องและถังมู่เฉินไม่ถูกกัน ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะมาถึงขั้นนี้แล้ว “ญาติผู้น้อง เจ้าอย่าวู่วาม สหายเต๋าถังเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น อีกอย่าง วันนี้เราได้รับน้ำใจจากแม่นางมั่วจริงๆ…”
“น้ำใจเช่นนี้ข้าไม่อยากรับ!” เสิ่นฉงเหวินโมโหว่า
ยามนี้หน้าต่างเปิดออกกะทันหัน มั่วชิงเฉินยื่นหน้าออกมาเอ่ยอย่างจำใจว่า “ท่านทั้งสาม จะตีกันรบกวนไปไกลๆ หน่อย ข้านั่งสมาธิอยู่”
ทั้งสามคนกระอักกระอ่วนขึ้นมาที ตาลีตาเหลือกแยกย้ายกันไป
วันที่สอง ทุกคนรวมตัวกันที่โถงหน้า โดยมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านนำพาไปจากเรือนแยก
“สหายน้อย นี่เจ้า…” เสียงของผู้เฒ่าสามตระกูลเฉิงดังขึ้น มั่วชิงเฉินมองไปตามเสียง แล้วอดตะลึงงันไม่ได้ เห็นเพียงหญิงชุดเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่นอกประตูใหญ่ ตาจ้องประตูเขม็ง
หญิงชุดเหลืองมองนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ถามคำถามแล้วกรอกตาแผ่วเบา ดูเหมือนคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ข้างในจะมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านเดินออกมา กลับยังคงใจเย็นว่า “ข้ามาหาคน”
“สหายน้อยหาผู้ใด?” ผู้เฒ่าสามตระกูลเฉิงขมวดคิ้วแผ่วเบาแทบจะไม่สังเกต พวกเขาสามคนเมื่อวานปลอมตบะ ก็เพราะไม่อยากดึงความสนใจของผู้คน พักวันหนึ่งก็จากไป ลูกหลานบ้านไหนเพียงแค่วันเดียวก็ดึงดูดคนมาหาถึงบ้านแล้ว?
สายตาหญิงชุดเหลืองกวาดมองฝูงชนรอบหนึ่ง ตกลงบนตัวมั่วชิงเฉินแล้วแววตาเจิดจ้าทันทีว่า “ข้ามาหานาง!”
พูดพลางวิ่งตรงเข้าไป ถามอย่างตั้งใจว่า “วันนี้เจ้ายอมหรือยัง?”
สีหน้าทุกคนน่าสนใจขึ้นทันที มองทั้งสองคนด้วยสายตาร้อนแรง
มีคนแอบกระซิบกันแล้ว
“เฮ้ย เจ้าได้ยินหรือยัง สตรีที่เฟิ่งหลินโจวนี่ช่างห้าวหาญ ไม่เพียงแย่งผู้ชายอย่างไม่อาย มีบางคน ยังสนใจในสตรีด้วยนะ”
“เอ่อ ไม่ใช่หรอกกระมัง สหายเต๋าท่านไหนโชคร้ายปานนี้?”
“ช่วยไม่ได้ โฉมงานบางทีก็เป็นบาปประเภทหนึ่งนะ!”
มั่วชิงเฉินน้ำตานองหน้า นี่เป็นน้องสาวที่ยึดติดและใจไม่วอกแวกปานไหนกันนะ คนที่มุงดูก็ช่างซุบซิบช่างหยาบคาบปานใดอีก นางพูดได้หรือไม่ว่าด้วยจิตตระหนักของนางสามารถได้ยินบทสนทนาของสองคนที่หลบอยู่ที่มุมอับนั่น?”
“ท่านผู้เฒ่าเฉิง ได้โปรดอนุญาตผู้น้อยสักครู่” เห็นผู้เฒ่าสามตระกูลเฉิงพยักหน้าแผ่วเบา มั่วชิงเฉินเบือนหน้า กัดฟันว่า “สหายเต๋าหวง เจ้าตามข้ามา”
“วันนี้เจ้าอยากตีกับข้าแล้วหรือ?” หญิงชุดเหลืองยืนนิ่งในที่ลับตาคน สีหน้าตื่นเต้น
มั่วชิงเฉินแอบสูดลมอึดหนึ่ง หักห้ามตนเองอย่าดึงก้อนอิฐออกมาว่า “สหายเต๋าหวง เจ้าก็เห็นแล้ว วันนี้เราก็จะจากไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เพื่อตีกับเจ้า แล้วให้คนมากมายถึงเพียงนั้นรวมทั้งนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านรอข้า”
ความสดใสบนใบหน้าหญิงชุดเหลืองมืดมนลงว่า “เช่นนี้หรือ เช่นนั้นก็ได้”
“เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้แหละ ข้าน้อยขอตัวแล้ว” มั่วชิงเฉินหันหน้าเดินไป
แล้วก็ได้ยินหญิงสาวข้างหลังตะโกนว่า “พวกเจ้าจะไปตระกูลซ่างกวานสินะ ข้าก็จะไป ถึงเวลาข้าไปหาเจ้า”
มั่วชิงเฉินหยุดลงโดยพลัน หมุนตัวมาช้าๆ ว่า “สหายเต๋าหวง เหตุใดเจ้าถึงต้องตีกับข้าให้ได้?”
“เพราะเจ้าแข็งแกร่งมาก เจ้าอยู่แค่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้น ก็สู้ชนะพี่ใหญ่ข้า ต้องรู้ว่าพี่ใหญ่ข้านับว่าพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง” หญิงชุดเหลืองพูดถึงตีกัน ตาก็เป็นประกายร้อนแรง
มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ อย่างมากข้าก็แค่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยในหมู่นักบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน สามคนที่เจ้าเห็นเมื่อวาน พวกเขาไม่ว่าใครก็ไม่ด้อยไปกว่าข้า เอ่อ คนที่ใส่ชุดดำเจ้าจำได้หรือไม่ เขาก็ชอบตีกันมาก”
หญิงชุดเหลืองเบิกตาโตเล็กน้อย เอ่ยอย่างจริงจังผิดปกติว่า “สหายเต๋าเจ้าไม่มีเหตุผลสิ้นดี พวเขาสามคนต่างอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง ข้าอยู่แค่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้น ไยต้องตีกับพวกเขาด้วย?”
ถือว่าเจ้าโหด! มั่วชิงเฉินน้ำตาจะไหลแล้ว ความซวยของนาง นับตั้งแต่ได้พบถังมู่เฉิน ก็มาเรื่อยๆ ไม่ขาดสายเช่นนี้หรือ?
สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเกลี้ยกล่อมอย่างอดทนว่า “สหายเต๋าหวง หากเจ้าอยากประลองกับผู้อื่นเพิ่มความสามารถ ก็ควรหาคนที่พลังสูงส่งสิ เอ่ย ยิ่งท้าประลองข้ามขั้นยิ่งดี เช่นนี้ถึงก้าวหน้าได้เร็วไงล่ะ”
นางก็ขาดแค่พูดตรงๆ ว่าเจ้าอย่าจ้องข้าแล้วได้หรือไม่
ใครจะคิดว่าแม่นางคนนั้นเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ตีกับระดับเดียวกันถึงได้อารมณ์ ข้าอยากรู้มาตลอดว่าในเขตแดนเดียวกัน ขีดจำกัดของพลังอยู่ที่ไหน เจ้า เป็นคนที่เหมาะจะสู้กับข้าที่สุด”
ใจเย็น ใจเย็น
มั่วชิงเฉินปลอบใจตนเองไม่ยุด พ่นลมหายใจขุ่นออกมาอึดหนึ่งว่า “สหายเต๋าหวง เจ้าไม่เคยบังคับผู้อื่นมิใช่หรือ เช่นนั้นก็รอยามที่ข้ายินยอมค่อยว่ากันเถอะ ไว้พบกันใหม่”
“ได้ ข้าจะไปหาเจ้านะ” หญิงชุดเหลืองจ้องเงาหลังของมั่วชิงเฉินแล้วตะโกนขึ้น จากนั้นเสริมประโยคหนึ่งว่า “เออใช่ ข้าชื่อหวงเจ๋อ”
มั่วชิงเฉินเดินอย่างรวดเร็ว กลับเข้าขบวน เห็นพวกเฉิงหรูยวนมองมา จึงพยักหน้าแผ่วเบาบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไร คนทั้งขบวนก็จากเมืองชายแดนไปอย่างเงียบๆ
ที่แห่งนี้ถึงเมืองเฟิ่งหวงยังมีอีกระยะหนึ่ง เพราะเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ราบเรียบไร้ขอบเขต คนทั้งขบวนควบม้าทะยานไป เป็นม้าโต้วายุทั้งหมด ดูแล้วตื่นเต้นเร้าใจ
มีเพียงเสิ่นฉงเหวินและถังมู่เฉินที่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา พวกเขาสองคนเดิมคิดจะจับม้าโต้วายุด้วยตนเอง ทว่าเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น บัดนี้ที่ขี่อยู่กลับเป็นม้าที่ซื้อมา
ม้าโต้วายุความอดทนเป็นเลิศ วิ่งได้วันละหมื่นลี้ ทะยานเช่นนี้อยู่ครึ่งเดือน ในที่สุดก็เห็นเมืองขนาดมหึมาเมืองหนึ่งอยู่ไกลๆ รูปสลักเฟิ่งหวงสีทองมหึมาตัวหนึ่งกางปีกโอบล้อมกำแพงเมืองไปครึ่งหนึ่ง อานุภาพน่าเกรงขาม
ในที่สุดก็ถึงตระกูลซ่างกวานแล้วหรือ?
มั่วชิงเฉินแอบคิดพลาง ตบหลังของเขาน้อยเบาๆ เขาน้อยยกขาหน้าขึ้นอย่างร่าเริง ทะยานไปยังประตูเมือง