พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 413 ความคิดของลั่วหยาง
ปฏิกิริยาแรกของมั่วชิงเฉิน ก็คืออยากหยิบก้อนอิฐฟาดคนที่ทำกับตนเช่นนี้ให้กระเด็น ทว่าสุดท้าย นางเพียงแต่ขยับปลายนิ้วแผ่วเบา แล้วห้อยลงมาเงียบๆ ถอนใจเบาจนไม่ได้ยินเสียงหนึ่ง
ช่างเถอะ หากสามารถช่วยเขาได้ ตนสูญเสียความเป็นหยินจะเป็นอะไรไป?
หน้าผาก แก้ม มุมปาก ข้างหู ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยลมหายใจที่ร้อนแรงแผดเผาดุจลมพายุกระหน่ำของเขา อีกทั้งยังมีความรู้สึกอุ่นๆ เหนียวๆ นั่นคือโลหิตของเขา
“ชิงเฉิน ชิงเฉิน ข้าพึงใจต่อเจ้า พึงใจต่อเจ้า…” เขาพูดจาสะเปะสะปะเล็กน้อย กลับแน่วแน่ไม่แปรผัน
ในขณะนั้น มั่วชิงเฉินบอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไร สมองราวกับโกลาหลไปหมด ร่างกายกลับดังเรือใบที่แล่นอยู่ในคลื่นลมแรง หวาดหวั่นไร้ที่พึ่งพิง
แคว่กเสียงหนึ่ง เสื้อผ้าของนางถูกฉีกขาด กลายเป็นผีเสื้อเขียวโบยบินไปทั่ว ความรู้สึกร้อนและหนาวผสานกันถาโถมเข้ามา
มั่วชิงเฉินเย็นเยียบไปทั่วร่าง นางมักอยากดึงก้อนอิฐตบเข้าไปอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ กลับแข็งใจอดกลั้นไว้อีก
เพลิงแก้วใจกระจ่างพลุ่งพล่านไปมั่ว แรงดึงดูดที่อธิบายไม่ได้นั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อริมฝีปากของทั้งสองคนประกบกัน
ไฟสองสายสอดประสาน เหมือนฟูมฟักร่างวิญญาณที่มีชีวิตขึ้นร่างหนึ่ง เปล่งแสงวิญญาณพลางตะโกน เร่งเร้า
สติสัมปชัญญะของมั่วชิงเฉินค่อยๆ เลอะเลือน ในแววตาสลัวเห็นนัยน์ตาที่สว่างดุจแสงดาวของคนที่อยู่บนร่าง แม้เพราะพิษเสน่หาทำให้ปกคลุมไปด้วยสีแดงฉานอันบ้าคลั่งชั้นหนึ่ง กลับปิดความรักและความเชื่อใจที่ลึกไม่มีที่สิ้นสุดไม่มิด
มั่วชิงเฉินมีสติขึ้นมาเล็กน้อย นึกถึงภายใต้การทรมานของหญิงชุดดำนั่น กระทั่งคำพูดสักคำเขาก็ขี้เกียจพูด หากตนรุดมาไม่ทัน เกรงว่าเขาคงจะถูกพิษเสน่หาทรมานจนตายก็ไม่ยอมแตะหญิงผู้นั้นแม้สักทีกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจนางก็มีความรู้สึกประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อนเอ่อขึ้นมา นางไม่รู้ว่าบัดนี้ตนรู้สึกเช่นไรต่อเขากันแน่ กลับรู้ว่าอย่างไรเสียก็ต่างจากเมื่อก่อนแล้ว
หน้ามั่วชิงเฉินแดงจนโลหิตจะหยดออกมาได้ กดความรู้สึกหมื่นแสนไว้ ค่อยๆ เข้าใกล้
ในเวลานี้เองเสียงกรีดร้องที่ไม่เข้ากันดังขึ้น “แว้ดๆ!”
มั่วชิงเฉินตกใจ ยกตามองไป เห็นเพียงอีกาไฟไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นในห้องตั้งแต่เมื่อไร แล้วใช้ปีกบังตาไว้ร้องเอะอะโวยวายว่า “ข้า ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
พูดพลางพุ่งเข้าถุงอสูรวิญญาณเหมือนไฟลนก้น พูดว่า “พวกเจ้าต่อเลย” เสียงหนึ่งแล้วก็ตัดขาดการติดต่อทางจิตกับมั่วชิงเฉินด้วยตนเอง
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของอีกาไฟทำให้เยี่ยเทียนหยวนมีสติขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาพลิกตัวลงจากร่างกายอ้อนแอ้นอรชรนั่นโดยพลัน พลิกฝ่ามือกริชเล่มหนึ่งก็แทงไปที่ท้องน้อย
“ศิษย์พี่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ!” มั่วชิงเฉินยิงปราณวิญญาณออกจากปลายนิ้วซัดกริชตกพื้น
หยดเหงื่อใสเหมือนแก้วเจียระไนไหลลงมาตามแก้มของเยี่ยเทียนหยวนลงมาที่หน้าอกที่ล่ำสัน แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยเทียนหยวนหายใจหอบแฮ่กๆ ว่า “ ข้าไม่ได้ทำเรื่องโง่ๆ เพียงแต่อยากมีสติสักหน่อย”
“ท่านจะพกสติไปตายหรือ?” มั่วชิงเฉินโมโหเกรี้ยวกราด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด
สายตาเยี่ยเทียนหยวนตกไปอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ตัว กลับรีบเบือนสายตาออกอย่างทุลักทุเลและรวดเร็ว เสียงทุ้มต่ำแหบแห้ง “ข้าทำใจไปตายไม่ได้ ทว่าก็ไม่อยากเริ่มกับเจ้าเช่นนี้…”
เพิ่งสิ้นเสียงก้อนอิฐแสงทองระยิบระยับก้อนหนึ่งบินเข้ามาตรงหน้า เยี่ยเทียนหยวนที่ไม่มีกำลังตอบโต้วิงเวียน หมดสติไป
“เจ้าโง่ ในเมื่อทำใจไปตายไม่ได้ ก็อย่าพูดมาก!” มั่วชิงเฉินได้แต่พูดอย่างดุดันเพื่อกลบเกลื่อนความอายของตน แล้วแนบตัวเข้าไป
เสียงซื่อ ๆ เสียงหนึ่งดังมาว่า “เจ้านาย เขาน้อยอาจมีวิธีช่วยเขา…”
ร่างกายมั่วชิงเฉินหยุดอยู่ตรงนั้นเหมือนถูกตรึง จากนั้นใส่เสื้อผ้าด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด แล้วเรียกเขาน้อยออกมา
“ช่วยอย่างไร?” ยามนี้นางไม่มีเวลามัวอายแล้ว คิดแต่อยากให้เยี่ยเทียนหยวนพ้นอันตรายโดยเร็ว
“เจ้านาย เอาน้ำให้ข้าถ้วยหนึ่ง ท่านยกไว้ก็พอ”
เขาน้อยพินิจพิเคราะหายหนุ่มบนเตียงอย่างแปลกใจ มั่วชิงเฉินรีบเอาผ้านวมคลุมร่างกายเยี่ยเทียนหยวนไว้ แล้วยื่นน้ำมาถ้วยหนึ่ง
เขาน้อยกะพริบตา เขาเดี่ยวบนหน้าผากเริ่มกะพริบแสงวิญญาณช้า ๆ เมื่อยามที่แสงวิญญาณพันเขาเดี่ยวไว้จนมิด เขาน้อยจึงจุ่มเขาลงไปในถ้วยน้ำ
มั่วชิงเฉินเห็นอย่างชัดเจน น้ำในถ้วยค่อยๆ เปลี่ยนจากสีใสเป็นสีเขียวหิมะที่มีความข้นเล็กน้อย อีกทั้งยังมีแสงวิญญาณกะพริบประปราย
“เจ้านาย ท่านลองเอาน้ำนี่ให้เขาดื่มดู” เขาน้อยแหงนหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
มั่วชิงเฉินพยุงเยี่ยเทียนยวนขึ้น ป้อนน้ำเข้าไปช้าๆ เพียงชั่วครู่ ผิวของเขาก็เริ่มกลับเป็นปกติช้าๆ
มั่วชิงเฉินโล่งอก ล้มนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเบือนหน้าดูเขาน้อย อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
“เจ้านาย ท่านเป็นอะไรน่ะ?” เขาน้อยกรอกตาโตฉ่ำเยิ้ม
มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ว่า “เขาน้อย ในเมื่อเจ้ามีวิธี ไยไม่บอกตั้งแต่แรก?”
พูดจบรู้สึกเพียงแก้มร้อนผ่าว ในใจอึดอัดหนักขึ้นว่า ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก เรื่องเมื่อครู่มันเรื่องอะไรกัน นางไม่สู้หาเต้าหู้ก้อนหนึ่งชนให้ตายเสียเลยหมดเรื่อง!
เขาน้อยกะพริบตาอย่างบริสุทธิ์ เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้านาย ท่านโกรธเขาน้อย?”
มั่วชิงเฉินเอ็นที่ขมับเต้นตุ้บๆ ปลอบใจตนเองไม่หยุด เขาน้อยยังเป็นเด็กนะ อย่าโมโหอย่าโมโห พยายามทำน้ำเสียงให้อ่อนโยนเท่าที่จะทำได้ว่า “เจ้านายไม่ได้โกรธ เพียงแต่อยากรู้อยากเห็น…”
อยากรู้อยากเห็นก็แปลกน่ะสิ นี่นางจะกระอักเลือดแล้วตกลงไหม!
เขาน้อยก้มหน้าลงอย่างเขินอายว่า “เขาน้อยก็อยากรู้อยากเห็น ดูจนลืมเลย…”
มั่วชิงเฉินเลือดเกือบพุ่งออกมา ให้นางตายเถอะ!
ไม่มีความกล้าพูดอะไรอีกแล้ว โบกมือเก็บเขาน้อยเข้าถุงอสูรวิญญาณ
ในถุงอสูรวิญญาณโกลาหลไปหมด เป็นสถานที่ที่ประหลาดมากแห่งหนึ่ง เขาน้อยเพิ่งเข้ามา อีกาไฟก็พุ่งเข้ามา ใช้ปีกบีบคอเขาน้อยว่า “เจ้าโง่ เจ้าโง่ตัวนี้นี่!”
“พี่อู๋เย่ว์ ท่านบีบคอจนเขาน้อยเจ็บมาก” เขาน้อยตารื้นน้ำตา น้อยใจยิ่งนัก
อีกาไฟเต้นสูงสามฉื่อ “เจ้า ตกลงเจ้าอายุเท่าไรกันแน่ หา? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำลายเรื่องดีของเจ้านายแล้ว?”
เขาน้อยน้องใจหนักกว่าเดิมอีก โมโหแก้มป่องเอ่ยว่า “ไม่ใช่เรื่องดีเสียหน่อย ข้าเห็นนักพรตลั่วหยางจะเอากริชแทงตนเองนะ อีกอย่าง คนที่ทำลายคนแรก คือพี่อู๋เย่ว์ท่านมิใช่หรือ?”
อีกาไฟถูกโต้จนพูดไม่ออก หายใจแรงฟึดฟัด
มั่วชิงเฉินนั่งอยู่ข้างเตียง มองดูโครงหน้าคมคายของเยี่ยเทียนหยวนเงียบๆ เขาที่กลับมาสงบดูแล้วเยือกเย็นเด็ดเดี่ยว ราวกับรูปสลักหยกรูปงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกไม่รู้ควรเผชิญหน้าเขาเช่นไร คิดจะหันหลังวิ่งหนี กลับไม่วางใจอีก
ขนตายาวและตรงสั่นแผ่วเบา เยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนอื่นคือเห็นมั่วชิงเฉินนั่งเหม่อ จากนั้นรีบเหลือบมองตนเองปราดหนึ่ง
โคนหูของเขาแดงก่ำขึ้นทันที โบกมือใส่เสื้อผ้า มือไม้วุ่นวายรีบลุกขึ้นนั่ง
“เอ๊ะ ท่านอย่างขยับส่งเดช…” มั่วชิงเฉินคิดจะห้ามอย่างไม่รู้สึกตัว ยังพูดไม่จบแก้มก็แดงเสียแล้ว
นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน
“ศิษย์…ศิษย์น้อง เจ้า หากเจ้าเต็มใจ ก็ ก็วิวาห์กับข้า หากไม่เต็มใจ…ลั่วหยาง นับจากนี้ไปลั่วหยางสามารถไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีก…” เยี่ยเทียนหยวนกำหมัดสองข้างไว้แน่น เอ็นบนมือปูดขึ้น
ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขัง รอคำตัดสินสุดท้ายอย่างกระสับกระส่าย
เต็มใจ หรือไม่เต็มใจ?
มั่วชิงเฉินคอแห้งผาก อย่าว่าแต่ทั้งสองคนยังไม่ถึงก้าวสุดท้ายเลย ต่อให้มีพฤติกรรมของสามีภรรยากันแล้ว ที่จริงในใจนางยังไม่พร้อมจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเขา
ทว่าหากบอกว่านับแต่นี้ไปเขาและตนไม่พบกันตลอดไป ดูเหมือน ดูเหมือนก็ไม่เต็มใจเช่นกันนะ
มั่วชิงเฉินกระอักกระอ่วนมาก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยตะกุกตะกักว่า “เอ่อ พวกเรา…พวกเราไม่ได้…”
สุดท้ายก็พูดต่อไปไม่ไหวหนีหัวซุกหัวซุนไป กลับปล่อยอีกาไฟออกมาดูแลเยี่ยเทียนหยวน
อีกาไฟราวกับเป็นแม่ม่ายอย่างไรอย่างนั้น ยืนอยู่หน้าเยี่ยเทียนหยวนอย่างหมดอาลัยตายอยากเศร้าโศกช้ำใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “นักพรตลั่วหยาง ต้องขออภัยด้วยนะ เพราะข้าโผล่ออกมาผิดเวลาทีเดียว…”
เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงก่ำ ครู่ใหญ่ๆ ถึงกลับมาสีหน้าเยือกเย็นดังเดิม มุมปากกลับมีรอยยิ้มว่า “ไม่ ข้าต้องขอบคุณเจ้า”
“หา เพราะอะไร?” อีกาไฟงงงัน
เยี่ยเทียนหยวนกลับไม่ตอบอีก แล้วหลับตาลงเบาๆ
เมื่อศิษย์น้องบอกตนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในใจของเขา ไม่รู้สึกเสียดายใดๆ จริงๆ ตรงกันข้ามกลับโล่งอก
เขาอยากได้นาง เพราะเขาพึงใจต่อนาง เข้าใจว่ามีเพียงครองคู่กับคนที่รักชอบด้วยใจจริง ถึงจะมีความสุขจากใจจริง
ใจเขาใจเรา เขาหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้อยู่ด้วยกันตามครรลอง เพราะนางพึงใจต่อตนเอง โดยที่ไม่ใช่กลายเป็นสามีภรรยากันอย่างเลอะเลือนเช่นนี้
เขาไม่กลัวการรอคอย เขากลัวเพียงเพราะการฉวยโอกาสของเขาทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อีกาไฟน้ำตาไหลเงียบๆ โลกของมนุษย์ซับซ้อนเหลือเกิน เจ้านายเจ้าอยู่ไหน อย่างไรก็ให้ข้ากลับเข้าถุงอสูรวิญญาณเถอะ
หนึ่งคนหนึ่งกานั่งนิ่งอยู่ในห้อง มั่วชิงเฉินกลับเดินอยู่ข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย
“น้องพี่ นี่เจ้าจะไปไหน?” ถังมู่เฉินไม่รู้ออกมาจากไหน เห็นมั่วชิงเฉินแล้วหรี่ตา
ผิดปกติ ผิดปกติ!
ถังมู่เฉินผ่านสตรีมานับไม่ถ้วน อีกทั้งเป็นยอดฝีมือในเรื่องชายหญิงเพียงปราดเดียวก็มองความผิดปกติของมั่วชิงเฉินออก
ท่าทางนางเช่นนี้ เห็นชัดๆ ว่า…
ถังมู่เฉินใจตกไปอยู่ตาตุ่ม จับข้อมือของมั่วชิงเฉินไว้ทันที เอ่ยด้วยความโกรธว่า “น้องพี่ มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินเหลอหลา จากนั้นหน้าแดงพรึ่บขึ้นว่า “เจ้าพูดอะไร? ไม่มีเสียหน่อย!”