พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 415 อสูรวิญญาณทะเลาะกัน
ลมหนาววูบหนึ่งพัดมาจากหน้าประตู ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกว่าข้างหลังเย็นยะเยือก เมื่อเบือนหน้าไปโดยไม่รู้ตัว ก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนสีหน้าดำกว่าก้นหม้ออีก สายตาราวกับมีดน้ำแข็งกำลังจ้องถังมู่เฉินเขม็ง
ถังมู่เฉินโบกมือปิดประตูเสีย ทำสีหน้าตื่นตูม จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวว่า “น้องพี่ เจ้า ห้องเจ้าไยมีชายอื่นอยู่?”
นี่พูดได้อย่างสมเหตุสมผลบวกน้อยใจเต็มประดา เหมือนตนสวมเขาให้เขาอย่างไรอย่างนั้น
มองดูเส้นเอ็นบนมือเยี่ยเทียนหยวนปูดขึ้น มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ หมอนี่ มาหยอกล้อศิษย์พี่สินะ นางว่าแล้วเชียว เขามีคดีเช่นนี้มานานแล้ว!
เพราะหันหลังให้เยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินดึงก้อนอิฐออกมาช่างด้วยมือที่หน้าอกว่า “ไยจึงมีชายอื่น? พี่ใหญ่เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
ถังมู่เฉินเล่นพอหอมปากหอมคอ หัวเราะแหะๆ ให้เยี่ยเทียนหยวนว่า “สหายเต๋าลั่วหยาง ไม่เจอกันนานเลยนะ ข้าได้ยินชิงเฉินบอกว่าเจ้าอยู่นี่ พบสหายเก่าในต่างถิ่น จึงทนไม่ไหวต้องมาดูเสียหน่อย”
“สหายเต๋าเชียนหาน” เยี่ยเทียนหยวนแม้สีหน้าดูไม่ดี เนื่องจากมารยาทพื้นฐานยังคงพูดออกมาสองสามคำอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มั่วชิงเฉินโบกมือว่า “พี่ใหญ่ เจ้าดูก็ดูแล้ว รีบกลับไปเถอะ”
ถังมู่เฉินกอดผ้าห่มในอกแน่นว่า “น้องพี่ ข้ายังอยากจุดเทียนนั่งคุยกับสหายเต๋าลั่วหยางทั้งคืนเลยนะ หรือไม่ เราสองคนแลกห้องกันนอนเถอะ?”
มั่วชิงเฉินเห็นเขาหันหลังให้เยี่ยเทียนหยวน แม้พูดจากะล่อน สีหน้ากลับจริงจังมาก เข้าใจว่าเขากลัวว่าชายหญิงโสดอยู่กันตามลำพังจะไม่สะดวก จึงมาแก้สถานการณ์ให้ตน
ในใจซาบซึ้งเล็กน้อย น้ำเสียงจึงอ่อนโยนขึ้นไม่น้อยว่า “พี่ใหญ่ อย่างไรก็อย่าสลับตามใจดีกว่า ทำให้ผู้อื่นตกใจจะไม่ดี”
ตามความเห็นของนาง ทำคนหายในถิ่นของตน ไม่ว่าสงสัยว่าน้องสาวตนเป็นคนทำ หรือว่ามีผู้อื่นยื่นมือเข้าแทรก คุณหนูใหญ่ท่านนั้นแม้ไม่ค้นอย่างโจ่งแจ้ง ลับหลังเกรงว่าจะไม่ยอมเลิกรา
แขกที่มาจากที่อื่นเช่นพวกเขาเดิมทีจัดสรรห้องตามการสุ่ม ปกติหากสลับกันก็ไม่มีอะไร ทว่าในเวลานี้ ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใดๆ ล้วนอาจถูกคนมีใจสงสัยได้
อย่างน้อยหากนางเจอเรื่องประเภทนี้ ก็จะยึดมั่นในหลักการหนึ่ง ความผิดปกติทุกอย่างต้องมีสาเหตุผู้อื่นไม่รู้ปิดบังไว้แน่นอน
นาง ไม่อาจเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เพื่อเลี่ยงเรื่องชายหญิง อีกอย่าง เช่นนั้นสำหรับนักบำเพ็ญเพียรแล้วก็เสแสร้งเกินไป
หากบอกว่าให้เยี่ยเทียนหยวนไปห้องถังมู่เฉินก็ไม่ใช่ไม่ได้ ทว่านางยังอยากให้อีกาไฟใช้คาถาพลางตัวปกปิดร่องรอยของเยี่ยเทียนหยวนในยามคับขัน เปิดเผยความลับของอสูรวิญญาณตนต่อหน้าผู้อื่นจนหมดเปลือก ไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นางก็ไม่เต็มใจทั้งนั้น
ที่สำคัญที่สุดของที่สุดคือ คนผู้นั้นคือถังมู่เฉิน ด้วยความโชคร้ายของเขา ไม่แน่เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งข้ามไปก็ถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้ว…
ถังมู่เฉินไม่โง่ มั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ เขาเข้าใจความเกี่ยวข้องภายในทันที เบือนหน้ามา มองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งอย่างเสียดายอย่างหาใดเปรียบมิได้ว่า “สหายเต๋าลั่วหยาง เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้านะ”
เห็นเยี่ยเทียนหยวนฝืนใจพยักหน้า ถังมู่เฉินรู้สึกสบอารมณ์มาก ยิ้มหน้าบานใส่มั่วชิงเฉินว่า “น้องพี่ หากเจ้านอนไม่หลับ ไปหาข้าก็ได้…”
“พี่ใหญ่วางใจ ข้าไปหาเจ้าแน่” มั่วชิงเฉินส่ายก้อนอิฐไปมา
ถังมู่เฉินเหงื่อตก แล้วหนีหัวซุกหัวซุนไป
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก แล้วหันหลังมาถึงหน้าเตียง
เห็นเยี่ยเทียนหยวนเอนพิงหัวเตียงไม่พูดอะไรสักแอะ จึงอธิบายอย่างหักห้ามตนเองไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ ท่านอย่าถือสาเขา เขาก็ท่าทางเป็นเช่นนั้นเอง ที่จริงไม่ได้เลวร้าย”
“ศิษย์น้อง เจ้าพูดแทนเขา” เยี่ยเทียนหยวนน้ำเสียงสงบ ทว่ามั่วชิงเฉินกลับสัมผัสได้ว่า อารมณ์ของเขาในขณะนี้ ดูเหมือนไม่ค่อยดี
ศิษย์พี่ตนท่านนี้ บางทีนิสัยก็น่าอึดอัดมาก
มั่วชิงเฉินกระดกมุมปากขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้ม เห็นเยี่ยเทียนหยวนเหงื่อเย็นเต็มหน้า จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาผืนหนึ่งเช็ดให้เขาเบาๆ
เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงขึ้นมาทันที รีบฉกแย่งผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดส่งเดช
มั่วชิงเฉินชะงัก แล้วอดขำขึ้นมาไม่ได้
เมื่อนางหัวเราะ เยี่ยเทียนหยวนก็ตะลึงงัน เหม่อมองนาง
สี่ตาประสานกัน มั่วชิงเฉินหัวเราะไม่ออกทันที แล้วเบือนหน้าไปอย่างห้ามไม่ได้พลาง ขมวดคิ้ว
นางกลัดกลุ้มเล็กน้อย ไยตนถึงเปลี่ยนไปจนไม่ค่อยปกติแล้วนะ หรือว่าเรื่องพวกนั้นที่เกิดขึ้นระหว่างสองคน จะมีอิทธิพลต่อตนถึงเพียงนี้?
ไหนบอกว่ากิเลสคือความว่างเปล่า ขอเพียงจิตใจแน่วแน่ ทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงมิใช่หรือ เช่นนั้นเพราะเหตุใดใจของตน จึงไม่เหมือนเดิม เพราะเกิดเรื่องพวกนั้นล่ะ?
ใช่แล้ว ต้องเพราะสภาพจิตใจตนยังบำเพ็ญเพียรไม่เข้าขั้นแน่นอน!
มั่วชิงเฉินมัวแต่คิดไม่ตกอยู่คนเดียว กลับไม่รู้ว่าพอนางขมวดคิ้ว ทำให้สีเลือดบนใบหน้าเยี่ยเทียนหยวนหายไปจนสิ้น สีหน้าซีดดั่งหยก เย็นดุจน้ำค้างแข็ง
เขาหลุบตาลงต่ำ ยิ้มเยาะตนเอง มือที่เรียวยาวกำแน่น เห็นเส้นเอ็นที่ปูดขึ้น
ความนิ่งเงียบที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา เห็นเยี่ยเทียนหยวนหลุบตา นึกว่าเขาเหนื่อยแล้ว จึงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านพักผ่อนเถอะ ชิงเฉินจะบำเพ็ญเพียรสักครู่…”
พูดจบโบกมือในห้องมีเตียงเพิ่มมาตัวหนึ่ง ก้มตัวห่มผ้าห่มให้เยี่ยเทียนหยวน แล้วตนนั่งขัดสมาธิบนเตียงอีกตัวหนึ่ง หลับตาบำเพ็ญเพียรขึ้นมา
เยี่ยเทียนหยวนแอบมองมั่วชิงเฉิน
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง ตกลงบนใบหน้าดุจหยกขาวของนางพอดี แม้แต่ขนตาแต่ละเส้น เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจน
เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออก ลูบไล้โดยมีอากาศกั้น แล้วรู้สึกว่าเช่นนี้โง่มากอีก เขาโกรธที่ตนปากโง่ หากเป็นสหายเต๋าเชียนหานผู้นั้น คงมีวิธีคุยกับศิษย์น้องได้นานมากกระมัง?
รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าของร่างกาย สุดท้ายเยี่ยเทียนหยวนก็ต้านไม่อยู่ ค่อยๆ หลับตาลง
เสียงหายใจ กลับสงบเสมอกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มั่วชิงเฉินบำเพ็ญเพียรหนึ่งรอบอาทิตย์ใหญ่ ท้องฟาก็เริ่มสว่างแล้ว
นางลืมตาขึ้นมองเยี่ยเทียนหยวน เห็นเขากำลังหลับสนิท จึงวางใจลง ท่าทางเขาเช่นนี้ คิดว่าไม่เกินสองวันก็หายเป็นปกติได้ เช่นนี้หากพบเรื่องอะไรเกิดขึ้นกะทันหัน อย่างน้อยก็มีกำลังปกป้องตนเอง
นึกถึงตรงนี้อุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แล้วหลับตางีบขึ้นมา
ไม่เกินสองวัน เยี่ยเทียนหยวนก็ฟื้นฟูตามคาดแล้ว ถังมู่เฉินมาทุกวัน ขลุกอยู่ครึ่งค่อนวันถึงไป
ในถุงอสูรวิญญาณ อีกาไฟโมโหจนวิ่งวนไปวนมา “เจ้าสารเลว ตัวซวยคนนี้ วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่นี่ทำอะไร ทนเห็นเจ้านายออกเรือนไม่ได้ใช่หรือไม่!”
ตั้งแต่วันนั้นที่ทำเสียเรื่องเรื่องนั้น เขาน้อยถูกอีกาไฟต่อว่ามานับไม่ถ้วนครั้งแล้ว ได้ยินดังนั้นเอ่ยอย่างเจี๋ยมเจี้ยมว่า “ไม่หรอก เจ้านายดีปานนั้น ไม่มีทางออกเรือนไม่ได้หรอก”
อีกาไฟยื่นปีกตบหัวของเขาน้อยว่า “เจ้าจะรู้อะไร ปีนั้นยามข้าอยู่พรรคเหยากวง เกรงว่าเจ้ายังกินนมอยู่เลยนะ ข้าจะบอกให้นะ เจ้านายห้าวเกินไป ตั้งหลายสิบปี นักบำเพ็ญเพียรชายที่ตามจีบนางก็มีแค่สองคน คนหนึ่งถูกนางตบสลบ คนหนึ่งถูกนางตบตาย ศิษย์พรรคเหยากวงรักการตั้งการเดิมพันที่สุด นักบำเพ็ญเพียรหญิงที่ออกเรือนยากที่สุดที่เดิมพันในกัน ก็คือเจ้านายไงล่ะ ต่อให้ตอนหลังเจ้านายเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ราคาเดิมพันก็ไม่เคยเปลี่ยน มารดาเอ๊ย เจ้าไม่ใหข้าร้อนใจได้หรือ!”
เขาน้อยเบ่งจนหน้าแดงก่ำ ในตาฉ่ำเยิ้มว่า “เขาน้อยไม่ได้กินนมเสียหน่อย เขาน้อยโตกว่าท่านอีกนะ!”
คำพูดนี้ก็ไม่ผิด อสูรเขาเดียวเป็นอสูรวิญญาณชั้นสูง ช่วงเวลาการเกิดยาวนาน นับเฉพาะเวลาถือกำเนิดอย่างเดียว เขาน้อยยังอายุมากกว่าสักหน่อยจริงๆ
อีกาไฟทำแววตาเหมือนมองปัญญาอ่อนว่า “เปรียบเทียบเช่นนี้ได้หรือ? สติปัญญา เราดูกันที่สติปัญญารู้หรือไม่?”
เขาน้อยก็มีอารมณ์แล้ว เงยหน้างอนว่า “เช่นนั้นเขาน้อยคิดว่าเจ้านายต้องออกเรือนได้แน่ นักพรตเหอกวงยังชอบเจ้านายเลย!”
“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!” อีกาไฟจู่ๆ ก็ดุว่า สีหน้าไม่เคยเคร่งขรึมเช่นนี้มาก่อน
เขาน้อยกะพริบตา รู้สึกเพียงน้อยใจเต็มประดา
พวกมันอสูรเขาเดียวจิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ไร้ผู้เทียมทาน สามารถรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของผู้อื่นได้ที่สุด มันไม่ได้พูดผิดนี่นา ไยจู่ๆ พี่อู๋เย่ว์ถึงดุเช่นนี้?
เห็นเขาน้อยโมโหฟึดฟัด อีกาไฟกลัวเจ้าตัวเล็กนี่ดื้อรั้นขึ้นมา รีบใช้ปีกตบหัวเขาน้อยทีละทีๆ ปลอบใจว่า “น้องเล็กเอ๊ย ฟังพี่อู๋เย่ว์ไม่มีผิดหรอก เจ้าจะบอกสิ่งที่เจ้าคาดเดาต่อเจ้านายไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่าง เจ้าพูดไปเจ้านายก็ไม่มีทางเชื่อหรอก”
เขาน้อยงงงันเล็กน้อยว่า “เขาน้อยไม่เคยหลอกใครมาก่อน ไยเจ้านายถึงไม่เชื่อล่ะ ยังมีอีก เพราะอะไรบอกเจ้านายไม่ได้?”
อีกาไฟไม่ได้ดั่งใจว่า “ข้าบอกไม่ได้ก็ไม่ได้ หากเจ้าไม่อยากให้ต่อไปเจ้านายอนาถมาก ก็จำคำพูดของข้าไว้ให้ดี”
“เอ่อ รู้แล้ว” เขาน้อยตอบอย่างว่าง่าย แล้วทนไม่ไหวอีกว่า “ทว่าหากเจ้านายถามขึ้นมาล่ะ?”
อีกาไฟทำตาเหลือกอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อยู่ดีๆ เจ้านาย ถามเจ้าเรื่องนี้ไปทำอะไร? แหะ ต่อให้จะถามก็ต้องถามข้าสิ!”
พี่อู๋เย่ว์จะพูดปดกับเจ้านาย” เขาน้อยเอ่ยอย่างไม่พอใจ
อู๋เย่ว์เหล่เขาน้อยปราดหนึ่งว่า “พูดปดอะไร เดิมทีข้าก็ไม่รู้อะไรอยู่แล้วนี่นา”
มั่วชิงเฉินไม่รู้การสนทนาของอสูรวิญญาณสองตัว เยี่ยเทียนหยวนหายดีแล้ว นางกำลังเตรียมสุราอาหารยู่ห้องข้างๆ คิดจะดื่มสังสรรค์กันสามคนสักครา
ถังมู่เฉินมองดูท่าทางเย็นชาตามปกติของเยี่ยเทียนหยวน จู่ๆ ก็เกิดอยากแกล้งขึ้นมา เขยิบตัวเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “สหายเต๋าลั่วหยาง เอ่อ แหะๆ เจ้าถูกคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่างกวานจับไปหลายวันปานนั้น ชิงเฉินไม่โกรธกระมัง?”
เยี่ยเทียนหยวนขยับมือ เกือบเหวี่ยงหมัดต่อยลงบนใบหน้าที่ขยายใหญ่นั่น
แม้เขาพูดน้อย ทว่าไม่ใช่โง่ ย่อมฟังเข้าใจความนัยในคำพูดของถังมู่เฉิน
“เอ๊ะ ดูท่าทางไม่นี่นา” ถังมู่เฉินรู้สึกว่าอัศจรรย์ ร่างหยางบริสุทธิ์ ตามหลักแล้วขอเพียงคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่างกวานคนนั้นไม่โง่ ก็ไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน
ถังมู่เฉินตบะบัดนี้ต่ำกว่าเยี่ยเทียนหยวนเล็กน้อย ย่อมดูไม่ออกว่าเยี่ยเทียนหยวนความเป็นหยางยังอยู่หรือไม่ กลับเป็นมั่วชิงเฉินที่ยังไม่สูญเสียความเป็นอิน วันนั้นเขาดูออกแล้ว
“สหายเต๋าลั่วหยาง เจ้า เจ้าคงไม่ใช่ทำไม่เป็นหรอกนะ…”
ยังไม่สิ้นเสียงก็ไอยาหนึ่งที มั่วชิงเฉินได้ยินความผิดปกติรีบเดินเข้ามาว่า “เป็นอะไรหรือ?”
เห็นเพียงเยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งตึงพลางลูบกำปั้น ถังมู่เฉินตาเขียวคล้ำเป็นแพนด้า น้ำตาไหลรินว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
มั่วชิงเฉินแม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลับเข้าใจว่าต้องเพราะพี่ชายท่านนี้ในที่สุดก็แหย่จนศิษย์พี่ลั่วหยางโมโห จึงยกสุราอาหารออกมาอย่างใจเย็นว่า “ไม่มีอะไรก็ดื่มสุราเถอะ”
พริบตาเดียววันเวลาก็ผ่านไป ไม่นานนักก็ถึงวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดแล้ว วันที่หนึ่ง การประลองยุทธเลือกคู่ที่คึกโครม ในที่สุดก็เปิดฉากขึ้น
“ศิษย์พี่ลั่วหยาง เราไปก่อนแล้วนะ” มั่วชิงเฉินรู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนขลุกอยู่ในห้องตลอดต้องเบื่อแน่นอน ทว่านี่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ช่วงนี้ถังมู่เฉินสืบมาได้ ตระกูลซ่างกวนมีนักบำเพ็ญเพียรสามท่าน อำนาจล้นฟ้า พวกเขานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณตัวเล็กๆ ไม่อาจต่อต้านได้จริงๆ
เยี่ยเทียนหยวนเข้าใจเรื่องนี้ดี สภาพจิตใจสงบว่า “ศิษย์น้องวางใจได้ บำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ดีมาก”
ก็จริง ตระกูลซ่างกวานครอบครองปราณวิญญาณชั้นเลิศ แม้พวกเขาอยู่ห้องรับรองแขก ก็สามารถสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่เข้มข้น
มั่วชิงเฉินอุ่นใจ ทิ้งอีกาไฟไว้อยู่เป็นเพื่อนเยี่ยเทียนหยวน แล้วไปหาเฉิงหรูยวนพร้อมถังมู่เฉิน