พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 416 ทัศนียภาพเขาจิ่วเฟิ่ง
“ระยะนี้แม่นางมั่วไม่ค่อยออกมานะ” เฉิงหรูยวนยังคงใส่ชุดแดงดังเดิม สีหน้านิ่งเรียบ
ไม่รู้เพราะเหตุใด ลึกเข้าไปในดวงตาของเขามั่วชิงเฉินเห็นความอ่อนล้ารางๆ
“เดิมทีก็อาศัยบารมีสหายเต๋าเฉิงถึงได้อาศัยอยู่ในจวนซ่างกวาน บำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องดียิ่งนัก”
“หึๆ แม่นางมั่วช่างรอบคอบจริงๆ” เฉิงหรูยวนยิ้มนิ่งเรียบพลาง พาพวกเขาเดินไปทางโถงใหญ่
กลางโถงมีคนไม่น้อยแล้ว รวมทั้งนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มาจากทวีปต่างๆ ยังมีคนเดินเข้ามาไม่ขาดสาย ขบวนของพวกเขาไม่นับว่าสะดุดตาเลย
ทว่าเมื่อมั่วชิงเฉินก้าวเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงปิติเสียหนึ่งว่า “เจ้ามาแล้วหรือ”
นางยกตาขึ้นอย่างประหลาดใจ ก็เห็นหญิงชุดเหลืองที่ชื่อหวงเจ๋อผู้นั้นพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี
เดิมทีมั่วชิงเฉินไม่เป็นที่สนใจเลย ทว่าบัดนี้ สายตานับไม่ถ้วนมองข้ามมาทันที
มั่วชิงเฉินแอบร้องว่าโชคร้าย ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว หวงเจ๋อกลับเขยิบเข้ามาอย่างไม่รู้สำนึกเลยสักนิด เสียงดังมากดังเดิมว่า “วันนี้เจ้าสนใจจะประลองกันสักยกหรือไม่?”
“สหายเต๋าหวง วันนี้เป็นวันประลองยุทธเลือกคู่” มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก
หวงเจ๋อยังจะพูดอีก หญิงสาวที่วันนั้นใช้กำลังแย่งพวงเฉิงหรูยวนสองคนเดินสวบๆ เข้ามา ดึงเสื้อของหวงเจ๋อว่าไว้ “น้องเล็ก ยังไม่มาทางนี้อีก เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่กลัวขายหน้าหรือ?”
หวงเจ๋อไม่พอใจแล้ว เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านยังแย่งผู้ชายเลย ข้าแค่หาคนตีด้วยเท่านั้น”
ฟู่
คนไม่น้อยในโถงใหญ่หัวเราะขึ้นมาเบาๆ
ซ่างกวานจื่อเฟิ่งที่นั่งอยู่บนที่ประธานมุมปากกระดกขึ้นแผ่วเบา ส่ายหน้าอย่างจำใจ
พี่น้องสองสาวตระกูลหวงนี้ช่างน่าสนุกจริงๆ คนหนึ่งวันๆ ไม่มีอะไรทำออกไปเตร็ดเตร่เกี้ยวพาราสีผู้ชาย คนหนึ่งวันๆ ไม่มีอะไรทำเช่นกันออกไปเตร็ดเตร่หาคนตีด้วย ทว่าอย่างไรก็นับว่านิสัยจริงใจ
กลับเป็นสามคนนี้ที่บ้านนางสิ เหตุใดถึงเลี้ยงจนนิสัยดื้อรั้นแปลกประหลาดเช่นนี้ได้
ซ่างกวานจื่อเฟิ่งหางตาชำเลืองพี่น้องสามสาวที่นั่งรองลงไป แล้วถอนใจเบาๆ แทบไม่ได้ยิน ไม่รู้เพราะจำใจ หรือเพราะผิดหวัง
มั่วชิงเฉินถอยหลังไปอีกสองสามก้าว หายไปในฝูงชน แล้วแอบเพ่งพิศพี่น้องตระกูลซ่างกวานสามคน
หญิงสาวที่นั่งรองจากซ่างกวานจื่อเฟิ่งคนแรกใส่สีดำทั้งชุด ผิวพรรณยิ่งกว่าหิมะ รูปโฉมสวยสด ต่อให้ชุดดำทั้งชุด ยังคงยากจะปิดบังความสวยเย้ายวน เพียงแต่หางตาที่ชี้ขึ้นแผ่วเบานั้นเผยให้เห็นความผยองที่ดูแคลนทุกสิ่งอย่างเหมือนเจตนาเหมือนไม่เจตนา ทำให้คนรู้สึกว่าคบหาด้วยยาก
คนที่สองสาวน้อยในชุดชมพู มีใบหน้าทารก ดูแล้วน่ารักไร้เดียงสา ทว่ามั่วชิงเฉินที่ได้ยินการสนทนาของสองพี่น้องนี้กลับรู้ว่าไม่ธรรมดาดังที่เห็น
สาวน้อยคนที่สามไม่เคยพบมาก่อน นางและซ่างกวานจื่อเฟิ่งใส่ชุดม่วงเหมือนกัน นัยน์ตาไม่คิดว่าจะเป็นสีม่วงเช่นเดียวกัน จึงทำให้คนทั้งคนมีเสน่ห์ยั่วยวนอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าใครถ้าได้มองสักปราด ก็จะอดมองแล้วมองอีกไม่ได้
สัมผัสได้ถึงสายตาของมั่วชิงเฉิน สาวน้อยผู้นั้นนัยน์ตาสีม่วงเป็นประกาย แล้วยิ้มให้นางอย่างคาดไม่ถึง
มั่วชิงเฉินอึ้งแผ่วเบา จากนั้นยิ้มตอบเช่นกัน
“น้องพี่ คนที่ใส่ชุดดำก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่างกวานซ่างกวานอู๋สยา ชุดชมพูคือคุณหนูรองซ่างกวนอู๋โยว ชุดม่วงคือคุณหนูสามซ่างกวานอู๋ซิน” ถังมู่เฉินส่งเสียงทางจิตเงียบๆ
มั่วชิงเฉินยิ้ม ดูท่าหลายวันมานี้เขาสืบถามข่าวซุบซิบมาไม่น้อยนะ
เห็นคนมาพร้อมหมดแล้ว ซ่างกวานจื่อเฟิ่งเอ่ยคำพูดตามมารยาท สั้นๆ จากนั้นอัญเชิญสมบัติวิเศษเหินหาวออกมาอย่างเฉียบขาด พาคนของตระกูลซ่างกวานบินไปยังเขาจิ่วเฟิ่ง
คนที่เหลือต่างตามไป
เขาจิ่วเฟิ่งสูงหมื่นจั้ง มาถึงครึ่งทางก็คละคลุ้งไปด้วยไอหมอกหนาบ้างบางบ้าง ในไอหมอกเหล่านั้นปะปนไปด้วยกลิ่นอายอันประหลาด พัดผ่านตัวคน ต่อให้มีปราณวิญญาณคุ้มกาย ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดเป็นยองใย
มั่วชิงเฉินแอบคิดคนเดียวว่า มิน่าถึงบอกว่าที่นี่มีเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปถึงสามารถปีนขึ้นมาได้ หากเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เกรงว่าคงทนกลิ่นอายประหลาดเหล่านั้นไม่ได้แต่แรกแล้ว
“นี่ วันนั้น เจ้าหลอกข้าสินะ เจ้าไม่ใช่เจ้าภรรยาของพวกเขาเสียหน่อย” เสียงหนึ่งดังขึ้น
มั่วชิงเฉินเงยหน้ามองไป พี่น้องตระกูลหวงไม่รู้เขยิบใกล้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
เห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงเชิดคางเล็กน้อย หน้าตาไม่พอใจ มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้าไม่เคยบอกว่าตนใช่ สหายเต๋าเข้าใจผิดแล้ว”
“เจ้า!” คุณหนูใหญ่ตระกูลหวงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยอย่างดุดันว่า “ได้ ขอเพียงพวกเขาตกรอบ ข้าก็พาพวกเขากลับไป”
มั่วชิงเฉินยิ้มพรายว่า “เช่นนั้นได้ ขอเพียงสหายเต๋าสู้พวกเขาได้”
เมื่อนางยิ้ม ลักยิ้มข้างปากปรากฏขึ้นรางๆ คนทั้งคนเปรียบดังดอกท้อ บานสะพรั่งอย่างอิสระ
คุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตะลึงแผ่วเบา จากนั้นหรี่ตาว่า “ในจวนข้านั้น ชายงามแบบไหนก็มีทั้งนั้น ดูเหมือนจะไม่มีแม่นางที่สวยเช่นเจ้านี้นะ”
มั่วชิงเฉินสะดุด เกือบตกลงจากไหมเกล็ดน้ำแข็ง
ความซวยรุนแรงขึ้นหรือ? ไม่คิดว่าจะเจอคนที่กินเรียบทั้งชายหญิง?
เห็นท่าทางนางเช่นนี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลหวงยิ้มละไมว่า “เจ้าลนอะไร ข้าไม่สนใจสตรีเสียหน่อย เพียงแต่รู้สึกว่าวางไว้ในจวนให้เจริญหูเจริญตา ก็ดีเหมือนกัน”
มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “สหายเต๋า อย่าลืมว่าเจ้าพ่ายแพ้ต่อข้าแล้ว”
เสียงหนึ่งแทรกเข้ามา แฝงด้วยความตื่นเต้นที่กดไม่อยู่ว่า “พี่ใหญ่ ข้าช่วยท่านได้ รอนางเข้าจวนแล้ว ก็หานางตีด้วยทุกวันได้แล้ว!”
มองดูพี่น้องที่คนหนึ่งสีหน้าครุ่นคิด คนหนึ่งสีหน้าตื่นเต้น มั่วชิงเฉินอยากร้องแต่ไร้น้ำตา
คุณหนูใหญ่ตระกูลหวงหันหน้ามา ยื่นมือตบไหล่น้องสาวว่า “น้องเล็ก บอกกี่ครั้งแล้ว ความคิดของเจ้า อย่าหยุดไว้ที่อายุแปดขวบยามแหย่น้องหมาน้องแมวเล่นตลอดเวลาจะได้หรือไม่? บัดนี้เจ้าเก้าสิบแปดแล้ว! แทนที่จะคิดแต่เรื่องตีกันไปวันๆ ยังไม่สู้คิดทำอย่างอื่น ไม่เห็นหวังเทียนเสียงคนนั้นหรือ วันๆ ไล่ตามร้องแรกแหกกระเชอจะออกเรือนแต่งกับเจ้า”
หวงเจ๋อขมวดคิ้วว่า “แม้แต่ข้าก็สู้ไม่ได้ ข้าไม่เอาหรอก”
เห็นพี่น้องสองคนนี้เถียงกันขึ้นมา มั่วชิงเฉินเคลื่อนพลังวิญญาณ แอบเร่งความเร็วรุดไปข้างหน้า
มาถึงข้างถังมู่เฉิน แล้วเช็ดเหงื่อที่ตกลงมา
ถังมู่เฉินยิ้มร่าว่า “น้องพี่ ข้าได้ยินหมดแล้ว”
มั่วชิงเฉินหรี่ตาว่า “พี่ใหญ่ ไยข้าเห็นเจ้ากำลังมีความสุขบนความทุกข์ของข้านะ?”
คิดถึงก้อนอิฐก้อนนั้น ถังมู่เฉินทำสีหน้าจริงจังว่า “เปล่า พี่ใหญ่เป็นคนเช่นนั้นหรือ?”
หรือว่าไม่ใช่? มั่วชิงเฉินเหลือกตาอย่างรุนแรง
“ถึงแล้ว!” ถังมู่เฉินจูงมือของมั่วชิงเฉิน ปีนขึ้นยอดเขาเขาจิ่วเฟิ่งด้วยกัน
มั่วชิงเฉินดึงมือออก แล้วทอดสายตามองไป
ยอดเขาจิ่วเฟิ่ง ภูมิประเทศกว้างขวาง ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ภูเขาที่เผยออกมาเป็นระยะเป็นสีดำเข้ม มีความรู้สึกหนักอึ้งที่เกิดขึ้นจากการตกตะกอนของเวลา
ด้านบนมีเสาน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำแข็งหมื่นปีเก้าต้นพุ่งขึ้นชั้นเมฆ บนเสาน้ำแข็งแกะสลักเฟิ่งหวงรูปทรงต่างๆ กัน
“เล่าขานกันว่า เสาน้ำแข็งเก้าต้นนี้เกิดจากนักบำเพ็ญเพียรที่มีอิทธิฤทธิ์สองสามท่านผ่าน้ำแข็งเปิดภูเขาเมื่อนานมาแล้ว เกิดเป็นค่ายจิ่วเฟิ่งขับขานไม่เพียงทำให้เขาจิ่วเฟิ่งปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์ ต่อให้ยามที่เมืองเฟิ่งหวงประสบภัย ยังสามารถกลายเป็นป้อมปราการคุ้มกันเมืองด่านสุดท้าย พูดได้ว่า นี่ก็คือรากฐานของเมืองเฟิ่งหวงแล้ว” เฉิงหรูยวนไม่รู้มาถึงข้างมั่วชิงเฉินตั้งแต่เมื่อไร แล้วเอ่ยเอื่อยๆ
มั่วชิงเฉินรู้สึกอัศจรรย์เล็กน้อย “สหายเต๋าเฉิงแม้แต่เรื่องพวกนี้ก็รู้?”
เฉิงหรูยวนรอยยิ้มนิ่งเรียบยิ่งนักว่า “ข้าก็เพิ่งได้ยินหลังจากมาที่นี่ ที่สำคัญคือ…” พูดถึงตรงนี้กดเสียงต่ำลงว่า “ค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่น ก็ตั้งอยู่ที่เขาจิ่วเฟิ่ง เพียงแต่ไม่ใช่ยอดเขา”
มั่วชิงเฉินตาเป็นประกายเล็กน้อย มองไปรอบๆ
“ใจที่อยากไปเสวียนโจวของแม่นางมั่ว รีบร้อนยิ่งนัก” เฉิงหรูยวนยิ้ม
มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ข้ามีเหตุผลที่จำเป็นต้องไป”
นิ่งเงียบชั่วครู่ จู่ๆ เฉิงหรูยวนก็เอ่ยว่า “เช่นนั้นต่อไปแม่นางมั่วยังจะกลับมาอีกหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก มองดูเฉิงหรูยวนที่สีหน้าอ่อนเพลียเล็กน้อย ตอบว่า “น่าจะกลับมากระมัง ถึงเวลาสหายเต๋าเฉิงก็กลายเป็นเจ้าของที่นี่แล้ว ไม่พูดไม่ได้ว่าเมื่อยืมค่ายกลเคลื่อนย้ายใช้อีกครั้งก็สะดวกขึ้นมากแล้ว”
เฉิงหรูยวนยิ้มว่า “นั่นแน่นอน”
เสียงกระพรวนทองกังวานเสนาะหูดังขึ้น เฉิงหรูยวนผงกศีรษะให้มั่วชิงเฉิน จากนั้นก้าวเท้าจากไป
เสียงกระพรวนทองนี้ ก็คือการโหมโรงของการเริ่มประลองยุทธ
นักบำเพ็ญเพียรทั้งห้าทวีปที่เข้าประลองทั้งหมดสามสิบหกคน แบ่งเป็นหกกลุ่ม แต่ละกลุ่มใช้วิธีการประลองแบบพบกันหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็ แต่ละกลุ่มล้วนต้องประลองสิบห้ายก
หลังจากนั้นแต่ละกลุ่มเลือกออกมาสองคน ก็เข้าสู่รอบประลองคัดเลือก
สิบสองคนนี้ ก็กำหนดไว้ว่าต้องเข้าตระกูลซ่างกวนแล้ว หลังจากนั้นยังมีสิบสองเลือกหก มีหกคนเข้าสู่รอบประลองชิงชนะเลิศ
ถึงยามประลองชิงชนะเลิศ ก็ไม่ได้ดูแต่พลังความสามารถเพียงอย่างเดียวแล้ว ยังมีการเพิ่มการพิจารณาจากหลายฝ่าย สุดท้ายยืนยันผู้ที่เป็นสามีของคุณหนูทั้งสาม คนที่เหลือ ล้วนกลายเป็นอนุสามี
เพื่อความยุติธรรม หนึ่งวันจะทำการประลองเพียงสามยกเท่านั้น
ประกาศกติกาเสร็จ เห็นเพียงซ่างกวานจื่อเฟิ่งกางแขนสองข้างออก ร่างกายบินขึ้นฟ้าไปช้าๆ ถึงกลางอากาศ ชุดม่วงต้องลม แขนเสื้อพลิ้วไหว มือชูสมบัติวิเศษที่เหมือนไม้เท้ายาวอันหนึ่ง
ไม้เท้ายาวนั่นเป็นสีเขียวมรกตทั้งอัน ราวกับทำจากมรกตชั้นเลิศที่สุด รัศมีพร่างพราวท่ามกลางแสงหิมะที่เจิดจ้า
ซ่างกวานจื่อเฟิ่งสองมือชูไม้เท้าขึ้นสูง แสงวิญญาณสายหนึ่งราวกับส่องลงจากฟ้า เป็นประกายระยิบระยับบนไม้เท้ามรกต จากนั้นไม้เท้ายาวปล่อยลำแสงออกนับไม่ถ้วนสายโดยพลัน ยิงไปยังเสาน้ำแข็งทั้งเก้าต้น
แสงวิญญาณหายเข้าเสาน้ำแข็ง เฟิ่งหวงที่ฉวัดเฉวียนอยู่บนเสาน้ำแข็งจู่ๆ เริ่มเปล่งแสงวิญญาณระยิบระยับ จากนั้นกางปีกสองข้างออก ส่ายหาง เฟิ่งหวงสีต่างกันเก้าตัวหลุดออกจากเสาน้ำแข็งพุ่งตรงขึ้นชั้นเมฆ ถึงกลางอากาศร่ายรำ เปล่งเสียงดังกึกก้องกังวานขึ้นพร้อมกัน
เสียงร้องเฟิ่งหวงไม่ขาดสาย กลายเป็นคลื่นแสงเจ็ดสีที่มองเห็นด้วยตา พายุเริ่มก่อตัวบนฟ้า คลื่นแสงเจ็ดสีเหล่านั้นหายเข้าหมู่เมฆที่ก่อตัวขึ้น
“ดูเร็ว!” มีคนทนไม่ไหวร้องเสียงเบาออกมา
มั่วชิงเฉินแหงนหน้า จ้องตาไม่กะพริบ
เห็นเพียงเมฆที่ขาวสะอาดไร้ตำหนิในตอนแรกเริ่มกลายเป็นเมฆมงคลเจ็ดสี จากนั้นเมฆมงคลมหึมาก้อนนี้แยกออกเป็นหกส่วน ค่อยๆ ตกลงมา จนกระทั่งห่างจากพื้นดินเพียงไม่กี่จั้งถึงหยุดลง
กรุ๊งกริ๊งๆๆ
เสียงกระพรวนกังวานเสนาะหูดังขึ้นอีกครั้ง ซ่างกวานจื่อเฟิ่งลอยอยู่กลางอากาศมองลงมาที่ทุกคน เอ่ยปากช้าๆ เสียงดุจเฟิ่งหวงว่า “ทุกท่านเริ่มเถอะ”
แล้วก็มีคนกระโดดขึ้นบนเมฆสีเหล่านั้นไม่หยุด ยืนประจันหน้ากัน
มั่วชิงเฉินแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง เมฆสีหกก้อนนั้น ไม่คิดว่าก็คือลานประลองหกลาน ช่างอัศจรรย์จริง ๆ
นางเกิดความรู้สึก อยากกระโดดขึ้นไปบนเมฆสีนั่นรางๆ สัมผัสสักหน่อยว่าจะรู้สึกเช่นไรกันแน่ ทว่ารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ จึงกดความพลุ่งพล่านในใจลง ตั้งใจดูการประลอง
นักบำเพ็ญเพียรที่มาจากห้าทวีป นักบำเพ็ญเพียรเต๋า นักบำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง นักบำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ นักบำเพ็ญเพียรสายกระบี่มีหมด อีกทั้งเป็นการประลองระหว่างนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งหมด ควรค่าแก่การชมยิ่งนัก
ติดต่อกันห้าวัน มั่วชิงเฉินดูจนหายอยาก สิบสองคนนั้นก็กำหนดออกมาแล้ว
เป็นไปตามคาด เฉิงหรูยวน เผยสิบสาม สยงสี่ อู๋เอ้อร์ล้วนเข้ารอบ
เพราะเซิงโจวก็ยึดไปสี่ชื่อแล้ว จึงดึงความสนใจจากทวีปอื่นมา
การประลองต่อมา คือสามวันให้หลัง ทว่าช่วงนี้ กลับเกิดเรื่องที่ทำให้มั่วชิงเฉินงงเป็นไก่ตาแตกขึ้น