พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 420 ผลข้างเคียงโอสถ
“น้องสาว เช้าตรู่เช่นนี้เจ้าจะลนลานไปทำไมกัน” ถังมู่เฉินลูบคาง มองใบหน้าของมั่วชิงเฉินแล้วรู้สึกใจเต้น
เขาคิดว่าตนเองอ่านสตรีมานับไม่ถ้วน เฉกเช่นมั่วชิงเฉินนี้เห็นชัดว่าเกิดความรักผลิบานในหัวใจ และคนที่ทำให้ใจนางเต้นเกรงว่าคงเป็นเจ้าเด็กนั่นอย่างแน่นอน
เหลือบหันไปมองประตูห้องโดยมิได้ตั้งใจ มุมปากถังมู่เฉินยกยิ้ม เจ้าเด็กนั่นช่างมีโชควาสนาแบบคนซื่อเสียจริง
มั่วชิงเฉินถูกสายตาแปลกประหลาดของเขาพิจารณา เกิดรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมาในทันใด แสร้งทำเป็นสงบนิ่งกระแอมไอ “ท่านพี่ พวกเราไปเถิด”
ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าไม่นานก็เห็นว่าเฉิงหรูยวนและเสิ่นฉงเหวินเดินมาทางนี้
“สหายเต๋าเฉิง วันนี้อากาศไม่เลวเลยทีเดียว ดูท่าท่านจะต้องประสบผลสำเร็จในเรื่องที่เริ่มทำเป็นแน่” ถังมู่เฉินยิ้มแย้มเอ่ยทักทาย แต่กลับรู้สึกว่าทั้งร่างเย็นยะเยือก
เหลือบตาขึ้นมอง เจ้าคนนี้ สีหน้าของเสิ่นฉงเหวินดูดำคล้ำกว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ กำลังส่งสายตามองคนจ้องเขม็งไปที่เขา แล้วยังมีอาการดูถูกที่ยากจะแอบแฝง
ถังมู่เฉินรู้สึกยากจะเข้าใจ เพราะสายตานี้ในใจเขาเกิดความไม่พอใจ แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้ม “โอ้ สหายเต๋าเสิ่น เช้าตรู่เช่นนี้เหตุใดถึงมีสีหน้าแย่นัก ใครแย่งภรรยาเจ้าไปอย่างนั้นหรือ”
มั่วชิงเฉินท่าทีนิ่งสงบ แต่ในใจกลับกำลังเส้นกระตุก
หมัดของเสิ่นฉงเหวินถูกกำแน่น กวาดตามองมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง และกวาดมองถังมู่เฉินอีกครั้ง พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไร้ยางอาย!”
ถังมู่เฉินมึนงง กระพริบตาปริบ จากนั้นก็หันมามองเฉิงหรูยวน พูดอย่างน่าสงสารว่า “สหายเต๋าเฉิง ญาติผู้น้องของท่านผู้นี้ยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ แล้วเชียว ข้าน้อยไปทำอะไรผิดต่อเขาหรือ ไปรื้อสุสานบรรพบุรุษเขาหรือว่าไปแย่งผู้หญิงบ้านเขามาเช่นนั้นหรือ”
ไอสังหารกระแสหนึ่งพุ่งตรงเข้าหาถังมู่เฉิน
เฉิงหรูยวนพยายามรักษาความสงบเอาไว้ แต่กลับไม่เอ่ยติเตียนเสิ่นฉงเหวินอย่างที่เคยทำ ลอบสูดลมหายใจลึกพูดว่า “สหายเต๋าถังอย่ากล่าวโทษ หลายวันมานี้ฉงเหวินหลับไม่สนิท”
มั่วชิงเฉินลอบถอนหายใจ สุดท้ายเฉิงหรูยวนก็ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ ไม่พูดเรื่องเมื่อคืนนี้แม้แต่คำเดียว หากพูดขึ้นมาคงจะต้องความแดงเป็นแน่
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงได้โมโหมากนัก ข้าว่านะพี่น้องเสิ่น หากเจ้าไม่มีที่ปลดปล่อยความโกรธ ก็ให้พี่ชายช่วยเจ้า” ถังมู่เฉินคลับคล้ายเหมือนจะยิ้มพูดออกมา
มั่วชิงเฉินอยากร้องไห้ทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำตา ส่งประแสจิตเสียงไปว่า “ท่านพี่ ท่านอย่าไปหาเรื่องอีกเลย”
ถังมู่เฉินไม่พอใจ “อย่างข้าเรียกหาเรื่องหรืออย่างไร เช้าตรู่เช่นนี้ เพิ่งพบหน้าก็มาบอกว่าไร้ยางอาย แท้จริงแล้วข้าเป็นอะไรกันแน่”
จากนั้นมั่วชิงเฉินก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
แต่เสิ่นฉงเหวินกลับก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง สีหน้าเขียวคล้ำ “ประสบการณ์ดอมดมดอกไม้ริมทางของพี่ถังไม่อาจมีคนเทียบได้ แต่ในเมื่อมีแม่นางมั่วแล้ว พูดเช่นนี้ต่อหน้านางไม่ถือว่าเกินเหตุไปอย่างนั้นหรือ”
ถังมู่เฉินสีหน้างุนงง หันไปมองมั่วชิงเฉินที่มีสีหน้าเขียวคล้ำเช่นเดียวกัน “มีแม่นางมั่วอะไรกัน…เสิ่นฉงเหวิน ที่เจ้าพูดนี่มันคำคนหรืออย่างไร!”
ในที่สุดก็ได้สติกลับมา ถังมู่เฉินโมโหแล้วเช่นเดียวกัน
เสิ่นฉงเหวินโกรธจนหัวเราะออกมา “ก็คงจะดีกว่ากระทำเรื่องที่ไม่ใช่คน!”
ริมฝีปากถังมู่เฉินสั่น ต่อให้ปกติจะมีอารมณ์ดี มักจะยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในตอนนี้ไฟโกรธกำลังโหม “สหายเต๋าเสิ่น เพียงเพราะข้าเห็นแก่หน้าสหายเต๋าเฉิงถึงได้ยอมถอยให้เจ้าสามส่วนมาตลอด เจ้าคิดว่าข้าถังมู่เฉินกลัวเจ้าหรือ”
นิ้วมือของเสิ่นฉงเหวินสั่นเล็กน้อย มีดบินสองสามเล่มลอยวนไปมากลางอากาศ “สหายเต๋าถังลองดูสักครั้งก็ได้!”
มั่วชิงเฉินอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ใบหน้าแดงกล่ำ สองคนนี้ขอแค่มีสักคนที่เป็นผู้ใหญ่มากพอก็คงจะไม่ถึงขั้นเอาเรื่องมาทำใหญ่โตอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้
เห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะสู้กัน เฉิงหรูยวนก้าวขึ้นมาคั่นกลางระหว่างสองคนเอาไว้ “ฉงเหวิน นั่นเป็นเรื่องของสหายเต๋าถังและแม่หญิงมั่ว เจ้าพูดเกินไปแล้ว!”
เสิ่นฉงเหวินกัดฟัน จากนั้นแค่นหัวเราะเยาะออกมา “ท่านพี่พูดถูก”
แต่กลับไม่มองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนอีก
เฉิงหรูยวนมองไปยังถังมู่เฉิน “สหายเต๋าถัง วันนี้ฉงเหวินพูดจาไม่ถูกกาลเทศะ ตัวข้าสกุลเฉิงต้องขอโทษแทนด้วย”
แม้ถังมู่เฉินจะไม่รู้เรื่องราวอะไร แต่กลับพูดว่า “สหายเต๋าเฉิงพูดเช่นนี้ย่อมต้องนับคำแล้ว แต่ข้าน้อยหวังว่าครั้งหน้าจะไม่ได้ยินคำพูดแปลกพิลึกไร้เหตุผลเช่นนี้อีก”
เฉิงหรูยวนยิ้ม “สหายเต๋าถังช่างใจกว้างเสียจริง หวังว่าในอนาคตมีโอกาสจะได้ดื่มเหล้าฉลองของทั้งสองท่าน”
“ย่อมไม่เป็นปัญหา” ถังมู่เฉินสะบัดมือ จากนั้นก็แข็งนิ่งไป “เหล้าฉลองอะไรกัน สองท่านไหน”
มั่วชิงเฉินเลือดขึ้นหน้า เหมือนได้ยินเสียงกาหัวเราะ
กำลังจะเอ่ยห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ได้ยินเสียงเฉิงหรูยวนพูดว่า “ย่อมต้องเป็นท่านและแม่นางมั่วอย่างไรเล่า”
ถังมู่เฉินนิ่งไป ชี้ที่ตนเองแล้วชี้ไปที่มั่วชิงเฉิน จู่ๆ ตะคอกออกมาว่า “ล้อเล่นอะไรกัน นางเป็นน้องสาวของข้า!”
คำพูดนี้ดังออกไปสีหน้าของคนที่เหลือทั้งสามช่างมหัศจรรย์นัก
มั่วชิงเฉินหน้าแดงกล่ำ ในใจเกิดความคิดเพียงหนึ่งเดียว ให้ข้าไปตายเถิดๆ
เหตุใดคนอื่นเขาสามีสามคนอนุสี่คน แย่งชิงชาวบ้านผู้ชายบนถนนยังไม่มีปัญหา แต่นางเพียงแค่ระงับอารมณ์ไม่อยู่ชั่วครู่ ไม่ทันได้เอาก้อนอิฐตบศิษย์พี่ที่อาจหาญกล้าจนลอยออกไปก็ก่อเรื่องตลกเช่นนี้ออกมาแล้ว!
เสิ่นฉงเหวินเหลือบตาขึ้นอีกครั้งพูดสองคำนั้นออกมา “ไร้ยางอาย!”
และเฉิงหรูยวนนั้นอ้าริมฝีปากค้าง พูดอะไรไม่ออกแล้ว
‘ช่างเถิด เรื่องของพี่น้องสองคน เกี่ยวอะไรกับเขากัน แต่น่าเสียดายแม่นางมั่ว…’
เห็นเฉิงหรูยวนและเสิ่นฉงเหวินเดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร ถังมู่เฉินเหลือบมองมั่วชิงเฉินที่หน้าแดงระเรื่อ ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังคิดไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ลอบส่งกระแสจิตเสียง “น้องข้า วันนี้เหตุใดทั้งสองคนนั้นถึงดูผิดปกติเล่า อ่า…ไม่ใช่ว่ามีคนปลอมมาหลอกนะ!”
มั่วชิงเฉินขาอ่อนแรง รีบยืนตัวตรง ตอบกลับ “เรื่องของคนอื่นท่านพี่อย่าไปสนใจเลย บางทีสหายเต๋าเฉิงจะอุ้มคนงามกลับมา อารมณ์เลยตื่นเต้นไปบ้างกระมัง”
ถังมู่เฉินเบะปาก ตื่นเต้นบ้าบออะไรกัน เขาจะไปอุ้มคนสวยกลับมาได้อย่างไร ถูกคนงามอุ้มกลับไปเสียมากกว่า!
‘อ่า บางทีอาจเพราะเป็นเช่นนี้ถึงได้ทนเห็นคนอื่นได้ดีไม่ได้กระมัง’
‘เหอะ นี่มันช่างเป็นจิตใจที่ไม่จริงใจเลยสักนิด’
ถังมู่เฉินกวาดตามองแผ่นหลังเฉิงหรูยวน แฝงอาการดูแคลนเอาไว้
มาถึงเขาจิ่วเฟิ่งก็ยังคงเป็นการต่อสู้สุดแสนยอดเยี่ยมหลายสนาม มั่วชิงฉินดูมากมายจนลานตาไปหมด เพียงแค่อยากรู้ว่าเมื่อคนผู้นี้ออกกระบวนท่าตนเองควรจะรับมือเช่นไร คนผู้นั้นหากใช้วิชาลับรับมือตนเอง ตนเองควรทำเช่นไร จะทำได้ดีกว่าคนที่อยู่บนเวทีหรือไม่
มีคนดึงชายเสื้อนาง
มั่วชิงเฉินหันไปมอง ก็เห็นหวงเจ๋อที่สวมชุดสีเหลืองทั้งตัวเม้มปากพูดว่า “เจ้าอยากสู้เช่นนี้เหตุใดไม่สู้กับข้าสักสนามเล่า”
‘มาอีกแล้ว!’
มั่วชิงเฉินควบคุมอาการยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อของตนเอง พูดเรียบๆ “มีบางเรื่องที่ตนเองไม่จำเป็นต้องลงไปสัมผัสเอง สังเกตการณ์ก็มากพอ”
หวงเจ๋อเลิกคิ้ว มีท่าทางลำบากใจอย่างลูกผู้ชาย “คำพูดนี้ไม่ผิด แต่ไม่รวมการต่อสู้ มีเพียงลงสนามต่อสู้ด้วยตนเองเท่านั้นถึงจะเติบโต หากว่ามองดูแล้วสำเร็จทั้งโลกนี้ไม่ได้เป็นผู้มากความสามารถไปแล้วหรืออย่างไร”
ที่จริงแล้วมั่วชิงเฉินก็เห็นด้วยกับคำพูดของนางประโยคนี้ แต่นางรู้ดีว่าคนที่มีนิสัยเช่นนี้ไม่อาจไปหาเรื่องได้ หากว่าเข้าไปยุ่งแม้เพียงนิดก็อาจจะสะบัดทิ้งไม่หลุด
หากนางไม่รีบร้อนไปเสวียนโจวใช้การประลองยุทธ์ในการหาเพื่อนก็ไม่เลวเช่นเดียวกัน แต่ในเวลาเช่นนี้กลับไม่อยากเกิดข้อผิดพลาดอะไรอีก
เห็นสายตาของมั่วชิงเฉินทอดมองไปบนเวที แต่กลับไม่ตอบคำของนาง หวงเจ๋อถอนหายใจอกมา ลากกระบี่หนักเดินจากไปช้าๆ ทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ “พรุ่งนี้เจอกัน”
การคัดเลือกล่วงหน้าจัดกลุ่มยี่สิบคนแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ทุกกลุ่มใช้วิธีการแข่งแบบหมุนเวียน เลือกสองคนรวมทั้งหมดสองคนเพื่อเข้ารอบตัดสิน
มั่วชิงเฉินพบว่าการต่อสู้รอบคัดเลือกไม่ได้รุนแรงเหมือนกับรอบเลือกครั้งแรกอีกแล้ว
ความคิดพลันเปลี่ยน เข้าใจอะไรคิดมาบ้าง
หากว่าพวกเขาทำเพื่อที่จะแย่งชิงคุณสมบัติเข้าพื้นที่วิญญาณขอเพียงเข้ารอบสิบสามคนแรกก็พอแล้ว สำหรับจะเป็นสามีเอกหรือเป็นอนุสามีนั้นเกรงว่าจะไม่ใช่สิ่งที่คนเหล่านี้สนใจ ไม่แน่ว่าการเป็นอนุจะยังใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างสบายใจกว่าอีก
เป็นไปตามที่คาดไว้ รอจนรอบคัดเลือกปิดม่านลง ไม่ใช่ว่าคนที่มีระดับบำเพ็ญเพียรสูงจะเข้ารอบชิง แต่มีทั้งสูงและต่ำ
ทางด้านเซิงโจวคนที่เข้ารอบชิงมีเฉิงหรูยวนและอู๋เอ้อร์ ส่วนสยงสี่และเผยสิบสามกลับหยุดลงแล้ว
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างไร้ซึ่งเหตุผล เฉิงหรูยวนอยู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นกลาง ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย ผลลัพธ์นี้ช่างน่าสนใจเสียจริง
การไล่ล่าในรอบชิงไม่ได้การต่อสู้แข่งขันอย่างง่ายดายอีกต่อไป และพวกมั่วชิงเฉินก็สูญเสียคุณสมบัติในการรับชม
มั่วชิงเฉินทำได้เพียงนั่งนิ่งภายในห้อง
หางตาเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง หลายวันมานี้เขานิ่งเงียบอย่างน่าแปลกใจ นั่งขัดสมาธิบำเพ็ญตบะอยู่นเตียงเงียบๆ แม้แต่ครึ่งประโยคก็ยังไม่พูดออกมา
ถอนสายตากลับมา มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากเบาๆ
ทั้งๆ ที่เขาล่วงเกินนางก่อน ตัวเอง…ตัวเองเพียงแต่เตะลอยช้าไปเท่านั้นเอง แต่เขายังงอนหรือ!
คิดถึงเท่านี้ในใจเกิดรู้สึกน้อยใจขึ้นมา ตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไป
ได้ยินเสียงปิดประตู เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้นจ้องมองไปที่ประตูเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็ก้มหน้ามองดูมือของตนเอง
มั่วชิงเฉินครุ่นคิด เดินไปหน้าประตูถังมู่เฉิน “ท่านพี่ ท่านทำอะไรอยู่”
เสียงประตูดังเอี๊ยดอาด ถังมู่เฉินคายไม้จิ้มฟัน ยิ้มอย่างเกียจคร้านพูดว่า “โอ้ น้องสาว ไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนศิษย์พี่ของเจ้า เหตุใดถึงมาหาพี่ชายได้”
มั่วชิงเฉินสะบัดมือปิดประตู เดินมาใกล้ถังมู่เฉิน “ท่านพี่ เรื่องม่านพลังเคลื่อนย้ายระยะไกล ท่านสืบหาไปเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ม่านพลังเคลื่อนย้ายระยะไกลถูกถือครองด้วยศิษย์ตระกูลซั่งกวน และศิษย์ตระกูลซั่งกวนให้ความสำคัญส่วนมากแล้วเป็นสตรี ให้ถังมู่เฉินออกโรงถือว่าเหมาะสมที่สุด
ตามที่คาดไว้ถังมู่เฉินยิ้มและพูดว่า “พี่ชายออกโรงยังจะไม่สำเร็จเช่นนั้นหรือ ไปเสาะถามอย่างละเอียดแล้วม่านพลังเคลื่อนย้ายระยะไกลเปิดครั้งหนึ่งสามารถเคลื่อนย้ายได้มากสุดห้าคน และจำนวนคนต่างกันก็ต้องใช้ไอพลังวิญญาณไม่เหมือนกัน”
“พูดเช่นนี้หากมีคนปิดบังขึ้นมา ก็จะถูกค้นพบเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วถาม
ถังมู่เฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว”
พูดจบก็หันไปมองมั่วชิงเฉินที่ขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดพลางพูดว่า “น้องสาว เจ้าวางแผนพาสหายเต๋าลั่วหยางออกไปอย่างไร ตระกูลซั่งกวนวางอำนาจไปถั่วเฟิ่งหลินโจว เกรงว่าเขาปรากฏตัวออกมาก็คงถูกพบเป็นแน่”
“หากครั้งหนึ่งสามารถเคลื่อนย้ายได้ห้าคน รอพวกเราจากไปจะมีคนอื่นเดินทางพร้อมกันหรือไม่”
ถังมู่เฉินแบมือ “เรื่องนี้ข้าไม่อาจทราบแล้ว”
มั่วชิงเฉินครุ่นคิด ถึงพูดว่า “ท่านพี่ ข้าหลอมโอสถวิเศษชนิดหนึ่งออกมาได้ หลังจากทานเข้าไปแล้วสามารถแปลงเปลี่ยนเป็นสภาพร่างผู้อื่นได้”
ดวงตาถังมู่เฉินเป็นประกาย ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “น้องข้า เจ้าตั้งใจจะให้สหายเต๋าลั่วหยางแปลงร่างเป็นข้าแล้วหนีไปเช่นนั้นหรือ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “เพียงแต่วางแผนไว้เบื้องต้นเท่านั้น แต่ทำเช่นนั้นเกรงว่าท่านพี่จะต้องแยกจากพวกเราสักระยะเวลาหนึ่งก่อน”
ถังมู่เฉินน้ำตาคลอเบ้าในทันใด “น้องข้า เจ้าช่างใจร้ายเสียจริง”
มั่วชิงเฉินตะลึงไป ริมฝีปากสั่น แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
มองดูท่าทางลำบากใจของนาง จู่ๆ ถังมู่เฉินก็ยิ้มแย้มกว้างขวาง โบกมือพูดว่า “ล้อเจ้าเล่น พวกเราคนบำเพ็ญเพียรพบเจอและแยกจากเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พวกเราแยกจากกันก็คงจะดีกว่าสหายเต๋าลั่วหยางโดนจับเป็นแน่”
“ขอบคุณท่านพี่ที่เข้าใจ” มั่วชิงเฉินถอนหายใจออกมา ยิ้มจนตาเป็นทรงโค้ง
ถังมู่เฉินกลับลูบคางด้วยท่าทีมีความคิด “ไม่ถูกต้องน้องข้า โอสถของเจ้าเคยให้สหายเต๋าลั่วหยางลองทานแล้วใช่หรือไม่”