พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 425 ภัยเงียบยากหลบหลีก
แสงอาทิตย์ยามสายัณห์หย่อนคล้อย ทำให้เมืองไท่หยินฉาบไปด้วยแสงร่ำไรสีทองอมแดง
ทางเดินปูด้วยหินตะไคร่ก้อนเล็ก บนกำแพงฝังกระเบื้องกระจกสีเอาไว้ หนึ่งดูโบราณประณีต อีกหนึ่งสุกสกาวเป็นประกาย สะท้อนผาดผ่านกันทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งแต่ก็ประสานคล้องจองกัน เมื่อเทียบกับชื่อเมืองไท่หยินแล้วทำให้คนกลับรู้สึกดีกว่ามาก
บนถนนที่ยังคงครึกครื้นเช่นเดิม หญิงและชายคู่หนึ่งแลดูโดดเด่นเป็นจุดสนใจ แม้พวกเขาจะเดินท่ามกลางผู้คนมากมายอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ตบะบำเพ็ญถือว่าไม่เลว แต่กลับไม่อาจนับว่าอยู่ระดับแถวหน้า จะต้องรู้ว่าทุกครั้งที่เป็นงานคัดเลือกร่างศพ นักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณที่มาจากพื้นที่อื่นมีจำนวนไม่น้อย แต่อย่างไรแล้วคนอื่นก็ยังอดทอดสายตามองแสดงความสนใจทั้งสองคนไม่ได้
เยี่ยเทียนหยวนเดินหลบข้างไปเล็กน้อย หลบหลีกสายตาที่โหดร้ายทารุณเหล่านั้น
มั่วชิงเฉินลอบหัวเราะในใจ หรือเขาจะคิดว่าสายตาที่มองเขายังน้อยลง
“ศิษย์พี่ ข้าว่าอีกครู่ไปหาสถานที่พักเท้าก่อนจะดีกว่า พวกเราต้องแปลงโฉมปลอมรูปลักษณ์กันเสียหน่อย”
ชายหญิงที่มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ใช่เพียงหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองง่ายดายเช่นนั้นแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าน้อยๆ
บนหอวั่งหยิน ชายหนุ่มชุดเหลืองหันข้างเล็กน้อย ยื่นนิ้วชี้มายังชายหญิงชุดเขียวคู่หนึ่งท่ามกลางฝูงคน พูดกับลูกน้องที่คอยเฝ้ารักษาอยู่ด้านข้าง “ไป ตามพวกเขาเอาไว้ อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น”
องครักษ์ทั้งสี่คนพากันค้อมตัวทำความเคารพพร้อมกัน น้อมตัวเดินออกไปไม่พูดจา
“นายท่าน ท่านถูกใจทั้งสองคนนั้นหรือ” ชายหนุ่มผู้สวมใส่เสื้อยาวสีฟ้าครามหลังฝนตกที่ยืนอยู่อีกข้างพูดขึ้น หากว่าไปอยู่ข้างนอกก็คงจะนึกว่าเป็นคุณชายตระกูลใด แต่ต่อหน้าคนชุดเหลือง กลับมีท่าทีเคารพนอบน้อมอย่างมาก
คนชุดเหลืองใบหน้าแข็งเกร็ง กวาดตามองลูกน้องทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุถึงมีความรู้สึกสนใจขึ้นมา พูดเรียบๆ ว่า “เวลานานเช่นนี้พวกเจ้าหาให้ข้าได้เพียงสามคู่ คุณสมบัติร่างกายและกระดูกของเขาข้าได้ตรวจสอบหมดแล้ว ถือว่าพอรับได้ แล้วยังมีหนึ่งคู่ที่มีจิตใจไม่ดี”
คนผู้นั้นเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย “นายท่าน จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่านักบำเพ็ญเพียรที่เป็นทั้งคู่ฝึกบำเพ็ญ แล้วตบะบำเพ็ญยังเท่าเทียม ยังไม่ทันได้มีความสัมพันธ์ที่แท้จริง อีกทั้งอายุไม่มากนั้นหายากเสียเหลือเกิน”
คนเสื้อเหลืองเลิกคิ้ว “อ่า พูดเช่นนี้แปลว่าข้าทำให้เจ้าลำบากเช่นนั้นหรือ”
เขาเพียงแต่มีการแสดงออกทางอารมณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับมีอำนาจทำให้คนตกใจในทันใด ถ้าไม่ใช่เพราะตั้งใจเก็บกวาดบริเวณรอบข้าง เกรงว่าคนทั่วทั้งหอวั่งหยินคงจะหวาดกลัวไม่สงบแล้ว
กลับเป็นผู้มากความสามารถระดับก่อกำเนิด
ชายหนุ่มผู้สวมใส่เสื้อยาวสีฟ้าครามหลังฝนตกมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ขาสั่นไม่หยุด “นายท่าน คำพูดของท่านนี้ทำให้ข้าหวาดกลัวนัก ท่านวางใจ หญิงชายคู่นั้นจะต้องทำให้พวกเขาติดปีกก็หนีไม่รอด”
“คนที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น ร่างกายและคุณสมบัติย่อมต้องมีอะไรเป็นพิเศษ ชายหญิงคู่นั้นข้าต้องการแน่แล้ว พวกเขาแม้จะมีตบะบำเพ็ญเพียงระดับสร้างรากฐานชั้นปลาย แต่อายุที่แท้จริงย่อมไม่มากเป็นแน่ พวกอิ่นอีทั้งสี่คนชำนาญการสอดแนมแกะรอย ยากที่จะผิดพลาด รอพวกเขาได้ที่พักเท้าเจ้าเองก็ตามไปดู ในเมืองไท่หยินแม้จะไม่อาจลงมือได้ ขอแค่พวกเขาออกนอกเมืองก็ไม่อาจล่าช้าได้อีก จับพวกเขามาให้ข้า!” คนชุดเหลืองพูดขึ้นช้าๆ
โทนเสียงเรียบนิ่ง น้ำเสียงไม่มีขึ้นๆ ลงๆ ฟังแล้วไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้คนกลังจนตัวสั่น
“น้อมรับขอรับ นายท่านโปรดวางใจ นักบำเพ็ญเพียรที่มาถึงเมืองไท่หยินจะมีสักกี่คนที่ไม่ออกนอกเมืองไปตลอดได้ ข้าน้อยจะต้องไม่ทำให้ผิดหวังเป็นแน่” ชายหนุ่มประคองกำปั้น
คนชุดเหลืองเหลือบตามองทีหนึ่ง “เช่นนั้นก็ดี หากว่าทำผิดพลาดเช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกลับมา”
ชายหนุ่มร่างกายสั่นสะท้าน ประสานกำปั้นค้อมตัวถอยออกไป
“ศิษย์พี่ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ” มั่วชิงเฉินเดินเคียงไหล่กับเยี่ยเทียนหยวน ลอบส่งกระแสจิต
นางอยู่ระดับก่อแก่นปราณแล้ว นักบำเพ็ญเพียรที่ตามรอยทั้งสี่คนแม้จะเป็นผู้ซ่อนเร้นมากฝีมือ แต่สุดท้ายแล้วก็อยู่เพียงระดับสร้างรากฐานเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างระดับชั้นนั้นไม่อาจชดเชยได้ และยิ่งนางมีกระแสจิตที่พิเศษ
เยี่ยเทียนหยวนไม่รีบร้อน เดินตรงไปข้างหน้าอย่างสง่างาม แต่กลับตอบเสียงเบาว่า “มีคนตามรอย สี่คน”
มั่วชิงเฉินแปลกใจอย่างมาก “ศิษย์พี่ ท่านรู้ได้อย่างไร”
นางเพียงแต่พอรับรู้ได้ว่ามีคนคอยจับตามองดูทุกการกระทำ แต่กลับไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าทั้งหมดมีกี่คน นี่มันออกจะตรงเกินไปเสียหน่อยแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนหยิบเอาสมบัติวิเศษรูปทรงกลมขนาดเล็กชิ้นหนึ่งออกมาอย่างเรียบนิ่ง ขนาดใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ นอนนิ่งอยู่ตรงมุมลับก็ไม่มีทางเห็น
เขาจับมือมั่วชิงเฉินขึ้นมา วางของสิ่งนั้นลงไปบนมือของนาง จากสายตาของผู้อื่นยังคิดว่าคู่รักคู่นี้อยากจะสัมผัสร่างกายกันอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้
“ศิษย์น้อง เจ้าดูตรงกลางยันต์กลม มีปลาหลายตัวกำลังแหวกว่าย ซึ่งนั้นก็เป็นจำนวนคนที่ตามรอยอยู่”
มั่วชิงเฉินหลุบม่านตาลง มองดูของที่อยู่ในมือ
ยันต์กลมอันงดงามวิจิตร ด้านนอกโปร่งแสงทำจากผนึกใส ภายในสามารถมองเห็นแจ่มใสจนถึงก้น ทะเลสาบพื้นน้อยที่นิ่งสงบ ก้นทะเลสาบมีหินไข่ห่านหลากหลายสีสันปูเอาไว้ มีปลาจำนวนไม่น้อยพักผ่อนอยู่ก้นทะเลสาบ มีเพียงสี่จัวเท่านั้นที่ขึ้นมาข้างบน แหวกว่ายอย่างสำราญใจ
เสียงของเยี่ยเทียนหยวนลอยมา “ขอเพียงแค่มีลมหายใจแปลกประหลาดทอดมองจับสังเกตมาที่ข้า ก็จะส่งผลกระทบต่อปลาที่อยู่ใต้ทะเลสาย ลมหายใจไม่เหมือนเดิม ก็จะส่งผลกระทบต่อปลาที่ต่างกัน”
มั่วชิงเฉินแสดงความแปลกใจเต็มใบหน้า เหลือบตามองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง “ศิษย์พี่ ของสิ่งนี้ท่านหลอมประดิษฐ์ขึ้นมาเองหรือ”
เยี่ยเทียนหยวนถูกนางมองจนรู้สึกเขินอาย พูดเสียงเบาว่า “ใช่ ยามที่ว่างไม่มีอะไรทำก็หลอมประดิษฐ์ของเล่นขึ้น ศิษย์น้องชอบก็มอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
มั่วชิงเฉินพลิกมือ นำยันต์กลมวางกลับลงไปที่มือเยี่ยเทียนหยวน “ของที่สัมพันธ์ทางใจกับท่านแล้ว ข้าเอามาใช้ก็ถือเป็นการบีบบังคับของจากฟ้าเท่านั้นเอง”
ในใจเกิดความรู้สึกโศกเศร้าอย่างมาก เหตุใดตอนแรกนางถึงเลือกหลอมโอสถ ไม่เลือกหลอมอาวุธเล่า
‘แต่หากว่าเลือกหลอมอาวุธก็เกรงว่าจนถึงนางคงไม่ได้ใช้ค้อนหรอกกระมัง…’
จะต้องรู้ว่าเพราะระดับการหลอมอาวุธที่สูงเพิ่มขึ้น ค้อนที่ใช้หลอมนั้นก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ค้อนหลอมที่ระดับอย่างเยี่ยเทียนหยวนต้องใช้นั้นเกรงว่าคงจะหนักเกินพันกิโลกระมัง
นี่เป็นข้อมูลที่นางบังเอิญเปิดเจอในหนังสือด้านหลอมอาวุธตอนที่คิดจะพัฒนาให้ครบรอบด้าน สำหรับม่านพลัง เจ้าคิดคาดหวังความรู้กระจัดกระจายเหล่านั้นที่คนชื่นชอบการถ่ายทอดเป็นทุนเดิมศึกษาจนทะลุปรุโปร่งเช่นนั้นหรือ
มั่วชิงเฉินไม่มั่นใจว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ ทำได้เพียงเดินไปตามเส้นทางหลอมโอสถให้จนถึงปลายทาง
เลี่ยงสิ่งที่ไม่ถนัด แสดงสิ่งที่ชำนาญ นางไม่เคยคิดขับเขี้ยวหาเรื่องตนเอง
คำปฏิเสธของมั่วชิงเฉิน เยี่ยหยวนเทียนไม่ได้ผิดหวัง อย่างไรซะเรื่องที่นางพูดก็ถือเป็นเรื่องที่รู้โดยทั่วกัน สมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งถูกเจ้านายครอบครองบำรุงมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะสมบัติวิเศษคุณภาพดีจะค่อยๆ เกิดจิตวิญญาณ ยามที่เจ้านายมอบให้กับคนอื่น ต่อให้ยอมรินรดเลือดสดจากหัวใจยามที่เจ้าของใหม่ใช้สมบัติวิเศษชิ้นนั้นก็มักจะมีข้อติดขัด และสมบัติวิเศษชิ้นนั้นก็ยากที่จะพัฒนาไปอีกขั้น
แน่นอนว่าของธรรมดาเหล่านั้นหรือสมบัติวิเศษที่ใช้ในระยะเวลาสั้นไม่ได้ถูกนับเข้าร่วม ยันต์ใจตรงกันนั้นอยู่ติดกับตนเองตั้งแต่ระดับสร้างรากฐาน และยังผ่านการบำรุงรักษามาเป็นอย่างดีอย่างไม่ขาดตอน เพราะสิ่งนี้ถึงทำให้เขาหลบพ้นภัยอันตรายไม่รู้มากเท่าใด เป็นของที่ยากจะแยกปราณวิญญาณออกจากกันแล้ว
มั่วชิงเฉินชักมือกลับอย่างเงียบๆ กระพริบตาปริบแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดทะเลสาบน้อยนี้ข้าถึงได้ดูแล้วคุ้นตามากนัก”
เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงกล่ำขึ้นมาในทันใด รีบเก็บยันต์ใจตรงกันอย่างรวดเร็ว ดึงหน้าเครียด “ศิษย์น้องคิดมากแล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ่งสงสัยขึ้นไปใหญ่ นางไม่ได้คิดมาก นางไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่น้อยเลยต่างหาก นางเพียงแต่มองดูแล้วคุ้นตาจึงพูดออกมาเท่านั้นเอง
เดี๋ยวก่อนเขามีท่าทางเช่นนี้เห็นชัดว่ากำลังปิดบังอำพรางอยู่
ในหัวนั้นรู้สึกคุ้นชินกับภาพทิวทัศน์ในยันต์กลมเป็นอย่างมาก ทะเลสาบน้อยเต็มไปด้วยหินไข่ห่านเงียบสงบและสวยงาม…
ภายในพริบตาเดียวมั่วชิงเฉินคิดออกในทันใด นี่ใช่ทะเลสาบผืนน้อยที่รวบรวมน้ำพุร้อนในตอนแรกหรืออย่างไร
สถานที่ที่ตนเองพบกับเยี่ยเทียนหยวนเป็นครั้งแรก แค่กๆ เป็นที่แห่งนั้นไม่ผิด!
นางปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว ตั้งตนทำทีท่าจริงจัง “แค่กๆ ศิษย์พี่พูดถูก ข้าคิดมากไปแล้ว”
แอบดูผู้ชายอาบน้ำนี่มันเป็นเรื่องน่าขายหน้าชัดๆ เลย!
พวกเขาเข้ายังไปยังโรงเตี๋ยมแห่งหนึ่งตามใจชอบ มอบเงินมัดจำให้ส่วนหนึ่งให้แล้วเปิดห้องพักสองห้อง
มั่วชิงเฉินหยิบกระจกขึ้นมา มองดูคนในกระจก ถอนหายใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่งนับตั้งแต่เข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณก็คุ้นชินกับการใช้รูปโฉมที่แท้จริงของตนเองออกไปพบปะผู้คน แต่แท้จริงแล้วยังต้องมีวันที่ต้องปลอมตัวต่อไป แท้จริงแล้วก็มีความสามารถไม่มากพอ หากว่าเป็นผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดต่อให้ต้องปรากฏตัวขึ้นในเมืองไม่คุ้นเคยเจ้าเมืองเองก็จะต้องต้อนรับอย่างนอบน้อม ไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนพวกเขา
มือยกขึ้นดาบวางลง ผมดำสยายหลายหมื่นเส้นร่วงลง หน้าม้าเรียบปิดบังหว่างคิ้ว หญิงสาวรูปโฉมงามสง่าในกระจกกลายเป็นหญิงสาวไร้เดียงสาไม่ค่อยดูแลตนเองขึ้นมาในทันใด
จมูกและริมฝีปากของนางแต่เดิมนั้นสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่กลับขาดดวงตาที่เป็นดั่งตัวแทนดวงวิญญาณไป จึงไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้นแล้ว
คิดไปคิดมาจึงถอดเสื้อผ้าบนกายออก พลิกถุงเก็บวัตถุเล่นๆ นำเอาชุดกระโปรงสีขาวอมชมพูออกมา เมื่อทำเช่นนี้ก็แลดูเหมือนหญิงสาวที่กำลังรอวันเบ่งบาน แลดูเหมาะสมกับตบะบำเพ็ญของนางมากกว่า
ไม่ได้เอ่ยบอกกล่าวเยี่ยเทียนหยวนก่อน แต่กลับเดินตรงออกไป นี่คือสิ่งที่ทั้งสองคนนัดกันเอาไว้
โรงเตี๊ยมนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นสองและชั้นสองมีไว้รักรองแขกเข้าพัก ชั้นหนึ่งเป็นร้านอาหาร ในตอนนี้เป็นเวลาทานอาหารเย็นพอดี คนเดินไปมาช่างครึกครื้นยิ่งนัก การปรากฏตัวของมั่วชิงเฉินไม่ได้โดดเด่นแม้แต่น้อย นางเดินออกไปอย่างไร้ร่องรอย
ผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา ด้านบนก็มีชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งเดินลงมา เขามีรูปร่างสูงตระหง่านดุจไผ่ ท่าทางสง่างาม รูปโฉมเมื่อเปรียบเทียบแล้วแลดูเรียบเฉยอยู่เล็กน้อย แน่นอนว่าต้องเทียบกับภายในโลกบำเพ็ญเพียร หากเอาไปเทียบกับโลกปกติแล้วนั้นก็ถือว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง
แสงจันทร์สาดส่องแสงดาวริบหรี่ บนถนนสายหลักทุกๆ สิบจั้งมีท่อนไม้สูงถูกวางไว้ แขวนโคมไฟ ส่องแสงให้ถนนทั้งสายดูสว่างสดใส และคนที่เดินไปมานั้นกลับเยอะกว่าตอนกลางวันเสียอีก
มั่วชิงเฉินรู้สึกตกใจเล็กน้อย เมืองไท่หยินเมื่อเทียบกับเมืองอื่นแล้วแลดูมีสิ่งที่ต่างออกไป
ไม่อาจรับรู้ถึงลมหายใจที่สะกดรอยตามมาแล้ว มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้วางใจ นางไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก เหตุใดถึงไปเข้าตาผู้อื่นเสียได้ หรือจะเป็นเพราะผลข้างเคียงจากถังมู่เฉิน
พูดถึงถังมู่เฉิน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะออกจากเฟิ่งหลินโจวตามแผนการได้หรือไม่ ตอนแรกทั้งสามคนนัดกันเอาไว้ให้เขารอพวกเขาอยู่ที่หลิวโจว
โยนทิ้งความคิดเหล่านี้ออกไป มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุด นางเดินทางมาเพื่อพื้นที่หุบเขามังกร สิ่งที่ต้องการย่อมเป็นหนังสือด้านภูมิศาสตร์เป็นแน่
เห็นสายตาของนางกวาดมองแต่หนังสือด้านภูมิศาสตร์อยู่ตลอด เด็กรับใช้ในร้านหนังสืออมยิ้มและพูดว่า “หญิงเซียนมาจากที่อื่น คิดว่าอยากจะคุ้นเคยสถานการณ์ที่แห่งนี้กระมัง หากอยากจะเข้าใจรอบด้านก็มีแผนที่ หากคิดจะเรียนรู้ด้านที่มีความพิเศษบางอย่างแล้วล่ะก็ ‘สนทนาแดนแปลกเสวียนโจว’ เล่มนี้ก็เหมาะสมกับคำขอของหญิงเซียน”
“‘สนทนาแดนแปลกเสวียนโจว’ เช่นนั้นหรือ ที่นี่มีที่แปลกเยอะเช่นนั้นเชียว” มั่วชิงเฉินถามขึ้นมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
เด็กรับใช้พูดเรียบๆ ว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น ในเสวียนโจวมีดินแดนแปลกทั้งหมดสี่ที่ พื้นที่หุบเขามังกร นกกระสาแตกหัก อิ่นหมังและไท่หยิน…”
บริเวณมุมอับสายตาที่หนึ่งชายหนุ่มผู้สวมใส่เสื้อยาวสีฟ้าครามหลังฝนตกมีสีหน้านิ่งขรึมจนแทบจะสะเด็ดน้ำออกมาได้ “อะไร ตามพลาดหรือ”
ทั้งสี่คนกล้าๆ กลัวๆ “คุณชาย ขอรับ ทั้งสองคนนั้นไม่ปรากฏตัวออกมาอีก พวกเราปลอมเข้าไปในโรงเตี๊ยม แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของทั้งสองคนแล้ว”
“ไร้ประโยชน์!”
“ขอให้คุณชายลงโทษด้วยเถิด!” ทั้งสี่คนพูดพร้อมกัน
ชายหนุ่มโมโหอย่างมาก “ทำโทษไปแล้วมีประโยชน์อะไร นั่นเป็นคนที่นายท่านเจาะจงมาเองว่าต้องการ ตามพลาดแล้วพวกเราก็ไม่ต้องมีชีวิตกลับไป ทั้งสองคนย่อมต้องปลอมตัวแปลงกายจากไปเป็นแน่ พวกเจ้าไม่ได้ชำนาญเรื่องนี้หรืออย่างไร หรือแค่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็ทำให้พวกเจ้าเรือล่มในหนองเสียแล้ว”
ทั้งสี่คนหน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออกแล้ว
แม้คุณชายจะอารมณ์ร้อนเดี๋ยวด่าเดี๋ยวตี แต่ก็ไม่เคยทำร้ายพวกเขามาก่อน กลับเป็นนายท่าน ในสายตาของเขาพวกเขาก็เป็นเพียงมดตัวเล็กเท่านั้น บี้ให้ตายถือเป็นเรื่องเล็กน้อย
เสียงของชายหนุ่มลอยมา “ช่างเถิด โชคดีที่ข้าทิ้งหมากตัวหนึ่งเอาไว้ พรุ่งนี้ค่อยดูก็แล้วกัน”