พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 430 ครึกครื้นไปทุกที่
หน้าผาสูงชันไม่รู้กี่หมื่นจั้ง มั่วชิงเฉินยืนอยู่ริมผาเสื้อผ้าสีเขียวปลิวไสวตามแรงลมจนเกิดเสียง เน้นโครงรูปร่างสะโอดสะองบางเพรียว ทำให้คนรู้สึกเหมือนพร้อมจะลอยกลับไปตามแรงลมได้ตลอดเวลา
“ศิษย์พี่?” รู้สึกถึงแรงดึงตรงมุมเสื้อ มั่วชิงเฉินหันหน้ากลับไป
เยี่ยเทียนหยวนชักมือกลับช้าๆ พูดเป็นจริงเป็นจังว่า “ศิษย์น้องพูดถูกแล้ว ที่นี่คือพื้นที่หุบเขามังกร พวกเราลงไปเถิด”
ทั้งสองคนต่างขึ้นเหยียบสมบัติวิเศษเหาะบิน ค่อยๆ ร่อนตัวลงไป
ผาเขาชันสูงชะโงก บางครั้งมีดอกไม้ประหลาดไม้ประหลาดยื่นตัวออกมาจากช่องว่างเล็กอย่างทรหดอดทน เสียงหวีดร้องของไออากาศที่ปิดล้อมยิ่งหนาแน่นมากยิ่งขึ้น จนถึงท้ายที่สุดค่อยๆ รินไหลเสมือนของเหลวเหนียวยืดที่จับต้องได้ ทั้งสองคนเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างยากลำบากเล็กน้อย ชายชุดเสื้อเขียวเริ่มชื้นเปียก
เพราะยิ่งลงไปลึกเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มมากขึ้น นางขับพลังวิญญาณออกมาป้องกันไออากาศแปลกประหลาดที่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่
ตอนแรกไออากาศนั้นบางเบา แต่เหมือนมีเชือกเส้นบางที่มองไม่เห็นมัดมันเอาไว้ คงทนยืนยาวไม่ขาดตอน
จนถึงสุดท้ายยิ่งค่อยๆ รุนแรงขึ้น
มองดูเมฆหมอกที่เคลื่อนลอยพัดไหว มั่วชิงเฉินซับเหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผาก
หน้าผาชันแห่งนี้แท้จริงแล้วเมื่อไรถึงจะถึงจุดสิ้นสุด นางเกรงว่าจะรับไม่ไหวแล้ว
“ศิษย์น้อง มิเช่นนั้นให้ข้าลงไปก่อน เจ้ารอข้าอยู่บนกิ่งไม้นี้” เยี่ยเทียนหยวนเห็นนางมีสีหน้าซีดเผือด นึกอดสงสารไม่ได้ ชี้ไปยังกิ่งไม้ที่ยื่นล้ำออกมาพลางพูด
ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายเพียงก้าวเดียว แต่ศิษย์น้องเป็นเพียงระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นเท่านั้น แทรกลึกลงไปในพื้นที่มังกรสำหรับนางถือว่ายากลำบากอยู่จริง
มั่วชิงเฉินส่ายหน้า ฝืนยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้ายังอดทนได้อีกหน่อย อย่างไรก็ต้องเห็นว่าข้างล่างมีสถานการณ์เช่นไรถึงจะสบายใจ”
เยี่ยเทียนหยวนไม่พูดกล่อมอีก เขาเองก็เป็นคนที่ยึดมั่นในทางเต๋า รู้ว่านักบำเพ็ญเพียรทุกคนมีเพียงกล้าที่จะท้าทายขีดจำกัดถึงจะสามารถบรรลุข้อจำกัดนั้นไปได้ มีโอกาสได้ปีนป่ายไปยังยอดเขาที่สูงกว่า
สำหรับศิษย์น้อง เขาสงสาร แต่ความสงสารนี้กลับไม่ควรเป็นสิ่งกีดขวางการเดินทางบนสายบำเพ็ญเพียรของนาง
มั่วชิงเฉินเก็บไหมเกล็ดน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าขึ้นมาใช้เพียงความสามารถในการเหาะบินของตนเองค่อยๆ ร่อนตัวลงไป ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นผ้าผืนบางประหนึ่งมีประหนึ่งไม่มีปกคลุมอยู่รอบกายนาง พยายามกีดขวางไออากาศแปลกประหลาดนั้นไว้ข้างนอก
ต่อให้เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายที่ค่อยๆ มุ่งหน้าลึกลงเรื่อยๆ นางก็ยังรู้สึกกระแสเลือดในร่างซัดสาดปั่นวน
ลอบเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง มั่วชิงเฉินแค่ยิ้ม ทั้งๆ ที่เป็นระดับก่อแก่นปราณเหมือนกัน ห่างกันเพียงชั้นเดียวอย่างไรก็แตกต่างกัน แม้ว่าตอนนี้เขาจะสีหน้าซีดเผือด แต่กลับดูสบายและมีสภาพดีกว่านางมากนัก
มั่วชิงเฉินยิ่งช้าลงเรื่อยๆ จนถึงสุดท้ายแทบจะขยับลงไปข้างล่างทีละนิ้ว
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปาก ไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น แต่พยายามควบคุมความเร็วให้ลงพร้อมกับนาง
ขาอ่อนแรงเหมือนว่ากระแทกโดนพื้นดิน มั่วชิงเฉินมีบางคราที่รู้สึกอ่อนล้า เกือบจะตกลงบนพื้น ความสามารถที่สั่งสมมาเป็นเวลานานกลับทำให้นางนำเอากริชฟันปลาออกมาปักลงบนพื้นอย่างแรง ตั้งหลักให้ร่างมั่นคง
เยี่ยเทียนหยวนลอบชักมือที่ยื่นออกมาช้าๆ น้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเดิม “ศิษย์น้อง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าแค่เงยหน้าก็ยังต้องออกกำลังมาก คิดจะส่งยิ้มให้เยี่ยเทียนหยวนเพื่อแสดงให้รู้ว่าตนเองไม่เป็นอะไร ใครจะรู้ว่าเพียงกระตุกริมฝีปากกลับกระอักเลือดออกมาระลอกใหญ่
เยี่ยเทียนหยวนไม่อาจรักษาท่าทีสงบนิ่งได้อีกต่อไป ทันใดนั้นเขาประคองศอกของมั่วชิงเฉินเอาไว้ น้ำเสียงเรียบนิ่งแกมความร้อนใจ “ศิษย์น้อง!”
มั่วชิงเฉินยื่นมือนำเอายาลูกกลอนเม็ดหนึ่งเข้าปาก แล้วเช็ดปากแบบง่ายๆ ส่งยิ้มให้เยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ ข้าไม่เป็นอะไร เมื่อครู่ได้สำรอกเลือดออกไปกลับรู้สึกสบายขึ้นมาก”
เยี่ยเทียนหยวนเหลือบมองมุมปากที่แดงแสบตาของนาง อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วเรียวเห็นข้อกระดูกชัดออกไปเช็ดให้เบาๆ ได้รับสายตาแลตื่นตะลึงของมั่วชิงเฉินกลับมา ถึงได้รู้ว่าตนเองเป็นห่วงจนหลุดภาพลักษณ์ผิดกาลเทศะ จึงได้รีชักมือกลับมา แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยพิจารณาบรรยากาศก้นหุบเขา
มั่วชิงเฉินเองก็รู้สึกประหลาด นางล้มลุกคลุกคลานอยู่ในโลกบำเพ็ญเพียรมานานหลายปี แผลน้อยแผลใหญ่ล้วนเจอมานับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นความเจ็บปวดเมื่อโดนแส้เทพโบยตีก็ยังทนมาได้ กระอักเลือดออกมาแค่ครั้งเดียวไม่สมควรต้องพูดถึงด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ของเขานั้นในใจเกิดนึกขำขัน และมีความซาบซึ้งอยู่บ้าง
สองคน และคนเดียวย่อมไม่เหมือนกันย่อมแตกต่างกันอยู่บ้างจริงเชียว
ปัดกวาดความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านี้ไป มั่วชิงเฉินเริ่มพิจารณาบรรยากาศรอบข้าง
ใต้เท้าเป็นโคลนเหลวชื้น ที่น่าแปลกคือไม่มีพืชพันธุ์สีเขียวแม้แต่น้อย สิ่งที่เข้ามาในคลองสายตาคือผืนโคลนสีเหลืองขุ่นมัว
เมฆหมอกสีม่วงอมเขียวมากมายลอยขึ้นมาจากพื้นไปกลางอากาศ กระจายออกไปสะเปะสะปะ บดบังสายตาที่อยากทอดมองออกไปไกล
มั่วชิงเฉินพยายามเพ่งมองสุดกำลัง แต่ก็เห็นเพียงไออากาศสีม่วงลอยคลุมเครือห่างไกล
นางกำลังคิดจะปล่อยกระแสจิตออกไปเสาะดู แต่เห็นว่าเยี่ยเทียนหยวนร่างซวนเซไป
“ศิษย์พี่” มั่วชิงเฉินตื่นตกใจ
สีหน้าเยี่ยเทียนหยวนแลดูซีดขาว “ศิษย์น้อง อย่าใช้กระแสจิตสืบเสาะ ปราณมังกรนั้นมีกำลังอย่างมาก กลืนกินได้”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ชี้นิ้วออกไปยังไอสีเขียวที่ล่องลอยอยู่ห่างไปไม่ไกล “ศิษย์พี่ เหล่านี้เป็นเมฆคล้อยที่เกิดจากปราณมังกรหรือ”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าน้อยๆ “น่าจะใช่ ศิษย์น้อง เจ้าพักผ่อนก่อน ข้าจะลองสำรวจระดับความรุนแรงและขอบเขตของปราณมังกรเสียหน่อย”
พูดจบเยี่ยเทียนก็หยิบของวิเศษรูปทรงกระสวยชิ้นหนึ่งออกมา ยื่นมือโยนไปกลางอากาศ
ของวิเศษรูปทรงกระสวยไปถึงกลางอากาศแล้วเริ่มหมุนวน จากนั้นก็เห็นว่ามีเส้นสีขาวสว่างสายหนึ่งยืดออกมา ค่อยๆ หายเข้าไปในกลุ่มกลางเมฆหมอก
เยี่ยเทียนหยวนยิงเคล็ดวิชาออกไปไม่หยุด มันซึมหายเข้าไปในของวิเศษรูปทรงกระสวยดูจากภาพเหตุการณ์นี้แล้วคาดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้คงจะยังไม่หยุดลง
มั่วชิงเฉินเห็นเช่นนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไป เข้าสู่ฌานสมาธิฟื้นกำลัง
แต่การขับเคลื่อนพลังวิญญาณครั้งนี้นางกลับต้องลืมตาขึ้นอย่างตื่นตกใจ จากนั้นก็เห็นว่าเยี่ยเทียนหยวนยังคงบังคับของวิเศษรูปทรงกระสวย สีหน้าค่อยๆ กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม จึงหลับตานั่งสมาธิอีกครั้ง
ตราบจนเยี่ยเทียนหยวนเรียก มั่วชิงเฉินถึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“ศิษย์น้อง สถานการณ์การกระจายปราณมังกรส่วนใหญ่ตรงนี้ข้าเข้าใจชัดเจนแล้ว อาศัยความสามารถของพวกเราอยากจะเข้าไปลึก ข้าจะต้องจากไปเพื่อหาวัสดุชนิดหนึ่งมาหลอมประดิษฐ์ร่มไร้กังวล รอข้ากลับมาหลอมประดิษฐ์ร่มไร้กังวลเสร็จแล้ว พวกเราค่อยไปหาไม้สะกดวิญญาณ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “เช่นนั้นข้ารอศิษย์พี่กลับมาอยู่ที่นี่ ใช่แล้ว ศิษย์พี่ พื้นที่หุบเขามังกรแห่งนี้แลดูแปลกอยู่บ้าง ฝึกบำเพ็ญตบะตรงที่แห่งนี้จะต้องได้ผลคุ้มค่าเป็นแน่”
เยี่ยเทียนหยวนได้ยินแล้วเกิดความหวังขึ้นบ้าง จะต้องรู้ว่าหลังจากที่เข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายแล้ว ระดับความเร็วในการบำเพ็ญตบะก็กลายเป็นช้าลงเรื่อยๆ การนั่งสมาธิปกติหลายวันพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นในจุดตันเถียนก็น้อยเสียจนน่าสงสาร สถานที่ชีพจรวิญญาณโดดเด่นบางแห่งแม้จะสามารถเพิ่มความเร็วในการบำเพ็ญตบะได้ แต่กลับไม่ได้เห็นผลชัดเจน โดยทั่วไปแล้วต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ แต่มั่วชิงเฉินนั่งสมาธิเพียงครู่เดียวก็มีความรู้สึกขนาดนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าที่แห่งนี้ย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่
เยี่ยเทียนหยวนหลับตานั่งสมาธิ ตามที่คิดไว้เขารู้สึกถึงยามที่ขับพลังวิญญาณขึ้นมาปราณมังกรที่อยู่รอบข้างก็เข้ามาบีบบังคับ ภายใต้ความกดดันกลับเป็นการเพิ่มความเร็วในการขับเคลื่อนพลังวิญญาณ จึงทำให้การฝึกบำเพ็ญตบะเร็วขึ้นมา
ทั้งสองพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายอยู่เช่นนี้กว่าสามวัน เยี่ยเทียนหยวนตัดสินใจจากไป
มั่วชิงเฉินค้นหาอยู่นาน หยิบกระดิ่งทรงดอกไม้สีฟ้าน้ำทะเลคู่หนึ่งออกมา หยิบหนึ่งดอกส่งให้เยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ กระดิ่งดอกไม้นี้พวกเราถือเอาไว้คนละดอก รอท่านกลับมาหากข้าไม่อยู่ที่เดิม ท่านก็ใส่พลังวิญญาณเข้าไป เช่นนั้นกระดิ่งดอกไม้สามารถส่งเสียงกระดิ่ง ไม่ถูกไออากาศอื่นกีดขวาง บางทีอาจจะสามารถนำท่านให้มาเจอข้าได้ด้วย”
เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออกมารับ ตั้งใจพิจารณามองกระดิ่งดอกไม้สีฟ้าสวยงามแล้วถึงได้เก็บลงไป มือใหญ่ยื่นออกมาลูบผมมั่วชิงเฉินด้วยความเคยชิน “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าได้ไปที่ใดทั้งสิ้น รอข้าอยู่ที่นี่”
พูดจบก็ไม่หันกลับมาอีก เหยียบลงบนของวิเศษเหาะบินมุ่งหน้าออกไปไกล
มองดูแสงสว่างที่ห่างออกไปไกลมั่วชิงเฉินถึงได้ถอนสายตากลับออกมา จัดการหวีผมที่ยุ่งเหยิงอย่างจนปัญญา นั่งฝึกบำเพ็ญตบะ
หนึ่งเดือนผ่านไป มั่วชิงเฉินที่ฝึกบำเพ็ญอย่างไม่สนใจวันเวลาในที่สุดก็ลุกขึ้น ออกกำลังผ่อนคลายมือเท้าตามอารมณ์
“นายท่าน ข้าอยากออกไปรับลม” เสียงที่ไม่ได้ยินมานานของอีกาไฟดังขึ้นมา
มั่วชิงเฉินยื่นมือ ปล่อยอีกาไฟออกมา
เจ้าตัวนี้ช่างน่าแปลกเสียจริง ช่วงนี้อยู่ในถุงเก็บสัตว์วิญญาณแลดูสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ
วิชาอ่านใจที่รู้เพียงครึ่งของอีกาไฟกำลังเห็นผล ได้ยินความคิดในใจของมั่วชิงเฉินอดที่จะกรอกตามองบนไม่ได้ คิดค่อนขอดในใจว่า เป็นตัวข้ามันง่ายหรืออย่างไร ไม่ใช่เพราะว่าอยากสร้างโอกาสให้ท่านอยู่กับลั่วหยางเจินเหรินตามลำพังเช่นนั้นหรือ
คิดถึงตรงนี้ก็อดเงยหน้าถอนหายใจยาวไม่ได้ จันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามต่อฟ้า ข้าหวังคำนึงทำดีต่อจันทร์ เหตุใดจันทร์ดาราถึงเมินเฉย!“
มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วตะลึงไป “อู่เย่ว์ เจ้าอยู่ในถุงเก็บสัตว์วิญญาณมานานเงียบเหงาเกินไปใช่หรือไม่ มารเข้าเช่นนั้นหรือ”
ในที่สุดอีกาไฟก็หลุดโมโห ยื่นปีกข้างหนึ่งออกมาจิกมั่วชิงเฉินไม่หยุด “ใครเงียบเหงากันๆ นายท่าน ท่านไม่รู้ว่าสองคำนี้มันดูถูกขนขนาดไหน! มีข้าอู๋เย่ว์อยู่ เงียบเหงาเป็นเพียงเรื่องเล่า!”
ได้ยินเสียงหนวกหูของอีกาไฟ มั่วชิงเฉินนวดหน้าผากด้วยความปวดหัวเล็กน้อย พูดเอ่ยชมว่า “อู๋เย่ว์ คำพูดนี้เจ้าไม่ได้พูดผิดเลยจริงๆ”
อีกาไฟคิดจะบ่นอีกสองสามประโยคแต่กลับถูกมั่วชิงเฉินอุดปาก ดึงกลับเข้าไปในถุงเก็บสัตว์วิญญาณ
“นายท่าน ทำไมหรือ” อีกาไฟอยู่กับมั่วชิงเฉินมานาน พอจะเข้าใจการกระทำส่วนใหญ่ของนาง เห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ก็เห็นชัดว่ามีเรื่องเกิดขึ้น รีบใช้กระแสจิตสนทนาในใจ
มั่วชิงเฉินกัดฟันส่งกระแสจิต “เป็นเพราะเจ้าแท้ๆ พวกเราไม่เงียบเหงาอีกแล้ว!”
เพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงดังสนั่น จากนั้นเสียงตะคอกดังออกมา “เจ้าลาหัวล้าน เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
มั่วชิงเฉินเห็นว่านักบวชผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหาตนเอง เมื่อเห็นนางปฏิกิริยาแรกคือตะลึงงัน จากนั้นก็ยื่นมือคิดจะจับแขนเสื้อของนาง
วิชาน้ำพลิ้วตามกายาของมั่วชิงเฉินถูกนำออกมาใช้ตามสัญชาตญาณ นางหลบหลีกอย่างน่ามหัศจรรย์ กำลังจะเอ่ยปากถามก็ได้ยินเสียงคนข้างหลังพูดว่า “เอ๋ พี่ใหญ่ เจ้าลาหัวล้านนั่นมีเพื่อนสมคบคิดด้วย!”
มั่วชิงเฉินหน้าดำคล้ำ เพื่อนสมคบคิดบ้าอะไรกัน นางเป็นผู้บริสุทธิ์ต่างหาก!
แต่ในเสี้ยววินาทีนี้ นางมองคนที่ไล่ตามหลังมาอย่างชัดเจนแล้วว่ามีถึงสี่ห้าคน แล้วยังมีสองคนที่เป็นถึงระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย!
‘ดี เพื่อนสมคบคิดก็เพื่อนสมคบคิด’ คราวนี้มั่วชิงเฉินไม่ได้ดึงดันกับนักบวชที่โผล่ออกมากะทันหันอีกต่อไป หันตามเขาแล้ววิ่งหนี
แต่พอวิ่งออกไปไม่กี่ก้าวก็คิดออกว่าที่แห่งนี้คือหุบเขามังกร หมอกควันสีม่วงอมเขียวเหล่านั้นหากนางพุ่งเข้าไปอย่างบุ่มบ่ามคงจะบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน
เพราะความลังเลในสถานการณ์กลืนไม่เข้าตาบไม่ออก นักบวชที่อยู่ข้างหน้าเหมือนมีตาหลัง แขนเสื้อกว้างใหญ่ของเขาสะบัดเกิดเป็นเมฆมงคลสีทองกลุ่มหนึ่งคลุมร่างของทั้งสองคนเอาไว้ แล้วพุ่งตรงเข้าไปในกลุ่มควันสีม่วงอมเขียว
คนที่ตามมาด้านหลังชะลอฝีเท้า หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “พี่ใหญ่ ทำเช่นไรดี เจ้าของบ้านั้นพวกเราเข้าไปใกล้ไม่ได้!”
คนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่สีหน้าโหดเ**้ยม พูดเสียงเย็น “รอ เจ้าลาหัวล้านนั้นเพียงแต่อาศัยของวิเศษนิกายพุทธฝืนป้องกันไอแห่งมังกรเท่านั้น เขาจะไม่ออกมาไปตลอดได้เช่นนั้นหรือ”
คนอื่นที่เหลือหัวเราะอย่างรู้กัน “พี่ใหญ่พูดถูก!”