พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 434 อดีตยามวัยเยาว์
ชายหนวดครึ้มวิ่งกลับไป พอจะเห็นคนหนึ่งคนที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับตัวเองลางๆ เสื้อผ้าแลดูขาดเก่า กำลังถือขวานยักษ์เล่มหนึ่งไล่ฆ่าหญิงชาวชุดเขียว
หญิงชาวชุดเขียววิ่งหนีเอาตัวรอด เหมือนไม่มีกำลังต้านทานอีกแล้ว ยังดีที่ด้านหลังชายหนวดครึ้มยังมีนักบวชสวมชุดบวชสีขาวนวลอยู่คนหนึ่ง พอเขาอ้าปากก็พ่นเอาลูกไฟมากมายออกมา ทำให้ความสนใจของชายหนวดครึ้มถูกดึงดูดมาทางนี้
ชายหนวดครึ้มที่กำลังวิ่งกลับไปหยุดอยู่กับที่ ดวงตาหรี่ลง แสงวิญญาณในมือประกายออกมาปรากฏคันธนูยาวสีดำออกมาเล่มหนึ่ง
ตั้งคันธนูง้างสายด้วยความชำนาญ ศรสีฟ้าน้ำแข็งคันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นผ่อนกำลังนิ้วมือ ศรน้ำแข็งเหมันต์คันนั้นพุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายหลุดออกจากกรง ส่งเสียงใสแหวกอากาศไปยังชายหนุ่มที่เหมือนกับตนเองที่อยู่ห่างออกไปไกล
เพราะความเร็วเต็มกำลังทำให้เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่พลิ้วไหวอยู่ตรงยอดของศรน้ำแข็งเหมันต์กลายเป็นทรงสว่าน แล้วค่อยๆ ลากยาวมาครอบคลุมไปทั่วศรขนนก แล้วยังทิ้งลำแสงสีฟ้าลากยาวเอาไว้หลังศร
สัญชาตญาณที่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพึงมีทำให้ชายหนวดครึ้มที่กำลังไล่ฆ่าหญิงสาวชุดเขียวหันกลับมาในทันใด จากนั้นดวงตานั้นสองข้างก็เบิกโพลง
ในสายตาของเขาเปลวไฟสีฟ้าน้ำแข็งกลุ่มนั้นยิ่งขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขายกขวานยักษ์ขึ้นมาป้องกันเอาไว้ตามสันชาตญาณ แต่กลับรู้สึกแสบร้อนที่ไหล่ขวา สายตากวาดไปมองถึงจะเห็นว่าตรงนั้นถูกลูกไฟที่ลอบโจมตีเผาไหม้ กลิ่นผิวหนังไหม้ลอยออกมาให้ได้กลิ่น
แต่หลังจากนั้นก็ต้องรู้สึกว่าหน้าผากเย็นเยียบ
เขาเห็นศรคันหนึ่ง ขนนกสีฟ้าตรงปลายศรสั่นไปมา จากนั้นภาพที่เห็นตรงหน้าก็เป็นเลือดที่ไหลริน เลือดสดตรงหน้าผากค่อยๆ ไหลลงมา ไม่นานก็รวมเข้ากับน้ำแข็งหนาวเหน็บ
ชายหนวดครึ้มที่อยู่ไกลออกไปรีบวิ่งเข้ามาในทันใด มือเรียกศรน้ำแข็งเหมันต์ให้กลับเข้าไปในจุดตันเถียนเอง
“นายท่าน!”
เห็นผู้มาถึงหญิงชุดเขียวและนักบวชพากันเรียกอย่างพร้อมเพียง ใบหน้าแสดงความยินดีปรีดาออกมา
แท้จริงแล้วชายหนวดครึ้มที่เพิ่งมาถึงก็คือมั่วชิงเฉินแปลงกายด้วยการกินโอสถลอกใบหน้าลงไป
ในเวลานี้เองเสียงกระดิ่งกระทบเป็นพรวนดังขึ้นมากะทันหัน
สีหน้ามั่วชิงเฉินเปลี่ยนไป
แผนการต่อไปนางเอาดอกกระดิ่งหนึ่งดอกมอบให้นักบวช กำชับเขาว่าหากยามที่กำลังไม่เพียงพอให้ถ่ายทอดพลังวิญญาณบอกใบ้ตนเอง
ดูเช่นนี้สถานการณ์ของเขาตอนนี้จะต้องไม่น่าอภิรมย์เป็นแน่
ไม่มีเวลามาพูดมาก มั่วชิงเฉินยื่นมือเรียกเอาอีกาไฟที่แปลงกายเป็นนักบวชและเจ้าเขาน้อยที่แปลงกลายเป็นตนเองเก็บใส่ถุงเก็บสัตว์วิญญาณ จากนั้นก็พุ่งไปยังทิศทางที่เกิดเสียง
อีกด้านหนึ่งนักบวชพนมมือเข้าหากัน ปากพึมพำบทสวดมนต์ จีวรสีน้ำตาลตัวหนึ่งโบกสะบัดไปมากลางอากาศ ปัดป้องไอกระบี่ที่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามออกไปให้หมดสิ้น
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาวแค่นหัวเราะ “เจ้าลาหัวล้าน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องไว้ชีวิตเจ้า เจ้าคิดว่าจะปลอดภัยได้จนถึงตอนนี้หรือ”
พูดจบมือทั้งสองข้างก็ปล่อยเคล็ดวิญญาณออกไป ปากตะโกนก้อง “ทำลายเกราะ!”
กระบี่ยาวหลุดออกจากมือ ระเบิดขยายใหญ่กลายเป็นกระบี่ยักษ์ยาวกว่าสามจั้งอยู่กลางอากาศ ตัวคมกระบี่มีแสงวิญญาณแฝงให้เห็น แต่ปลายกระบี่กลับสะท้อนสีดำแปลกประหลาด
มือขวาของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาวประกบเข้าด้วยกัน วาดเส้นผ่าตรงกลางเบาๆ กระบี่ยาวที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ขยับตามท่าทางมือนั้นผ่าลงกลางอากาศอย่างรุนแรง
เสียงดังก้อง ยึดปลายกระบี่เป็นจุดยอด ทั่วทั้งอาณาเขตถูกแบ่งออกเป็นสอง สั่นสะท้านอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีแสงสีดำพุ่งทะลุออกมาจากช่องตรงกลาง พุ่งสังหารตรงไปยังจีวรสีน้ำตาลที่อยู่กลางอากาศด้วยท่าทีที่คนต้องตกใจ
จีวรสีน้ำตาลสั่นสะเทือน ระเบิดแตกส่งเสียงดังเอะอะ จากนั้นก็กลายเป็นผีเสื้อสีน้ำตาลจำนวนนับไม่ถ้วนในทันใด พากันร่วงตกลงมา
ร่างของนักบวชซวนเซ มองดูเศษจีวรที่ลอยทั่วเต็มท้องฟ้า แววตาปรากฏความโศกศัลย์
มุมปากของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาวประดับยิ้มเย็น พลิกมือปรากฏขึ้นเป็นโอ่งน้ำขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง
ปลายนิ้วของเขาขยับติดต่อกัน แสงวิญญาณหลายสายหายลับเข้าไปในโอ่งน้ำเล็กใบนั้น จากนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า “ไป!”
โอ่งน้ำหลุดออกจากมือ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลางอากาศพุ่งมายังนักบวช
“พี่ใหญ่!” เสียงหนึ่งดังขึ้น
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาวเงยหน้าขึ้นมา เห็นว่าเป็นชายหนวดครึ้มสีหน้าก็ผ่อนคลายลง “น้องสาม น้องสองเล่า”
ชายหนวดครึ้มวิ่งมาหานักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาว ปากพูดว่า “พี่สองติดกับฝ่ายตรงข้าม ได้รับบาดเจ็บ ข้าให้เขาพักอยู่ที่เดิมก่อน เอ่อ…”
ชายหนวดครึ้มสีหน้าตกใจ วิชาน้ำพลิ้วตามกายาถูกนำออกมาใช้ ร่างกายหมุนไปเป็นมุมแปลก น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีกะทันหันเกินไป แม้จะหลบเลี่ยงอวัยวะบริเวณสำคัญได้ แต่บ่าหลังก็ยังถูกไอกระบี่กระแสหนึ่งแทงเข้า เลือดสดไหลอาบไปทั่วชุดในทันใด
ไม่มีเวลามาสนใจคาดเดาว่าฝ่ายตรงข้ามจับโกหกตนเองได้อย่างไร มือมั่วชิงเฉินสะบัดขึ้นระเบิดสะท้านฟ้ากว่าร้อยลูกบินออกไป พุ่งเผชิญกับฝ่ายตรงข้าม
หมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วความเจ็บปวดจากบริเวณไหล่ขวากระจายขึ้นมา มั่วชิงเฉินกัดปากวิ่งไปทางนักบวชน้อย
นักบวชน้อยวิ่งมาหา ไม่พูดอะไรอีกต่อไปรีบแบกมั่วชิงเฉินวิ่งกลับไป
ระเบิดสะท้านฟ้าระเบิดกระจายส่งเสียงดังสนั่นก้องนภา ร่างของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาวประหนึ่งลม หลบไปด้านหลังอย่างรวดเร็วดุจดาวตก
พลังทำลายล้างของระเบิดไม่ได้กระทบถึงเขา หลังจากที่ควันหนาหายไปนับำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสีหน้านิ่งขรึมเหมือนน้ำลึก โจนตัวไล่ตามไป
แต่ตอนที่เขากลับไปนั่นเองก็เห็นว่าทั้งสองคนกำลังพุ่งเข้าไปในหออากาศสีม่วงอมเขียวพอดี
“สมควรตาย!” นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาวกัดฟันแน่น จากนั้นมองพิจารณารอบด้าน จู่ๆ ร่างกายก็หยุดลง
บนพื้นมีร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่งนอนอยู่ คนผู้นั้นมีหนวดดกเคราครึ้ม กลางหน้าผากมีรูเลือดอยู่รูหนึ่ง แต่ทั่วทั้งเลือดทั่วทั้งร่างกลับถูกน้ำแข็งเหมันต์ปกคลุมไว้ กลายเป็นศพน้ำแข็งร่างหนึ่ง
“น้องสาม!” นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาววิ่งเข้าไปหา มือสั่นไม่หยุด ประคองร่างท่อนบนของชายหนวดครึ้มขึ้นมา
แต่ร่างไร้วิญญาณของชายหนวดครึ้มถูกน้ำแข็งปกคลุมไว้ พอเขาไปขยับทั้งร่างนั้นก็เริ่มเกิดรอยแตกเป็นแนวยาวเริ่มจากหน้าผากลงมา ไม่นานก็แตกกระจายออกเป็นเศษเนื้อที่มีเศษซากน้ำแข็งผสมอยู่เต็มพื้น
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าซีดขาวสีหน้าซีดเผือด ดูแล้วไม่ได้ต่างจากซากศพเท่าไรนัก ในสายตาของเขามีเปลวไฟร้อนแรงเต้นไหวพลิ้ว กำปั้นกุมเข้าหากันแน่นจนเกิดเสียง
จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป คำรามเสียงต่ำ “น้องสอง!”
รีบพุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในทันใด
ท่ามกลางไออากาศสีม่วงอมเขียวนักบวชหอบหายใจเบาๆ บนไหล่แบกร่างคนผู้หนึ่งเอาไว้
“ปล่อยข้าลง!” คนผู้นั้นทั้งๆ ที่มีหนวดเคราดกครึ้มเต็มใบหน้า แต่เสียงกลับสว่างใสเหมือนเสียงสตรี
นักบวชส่ายหน้า มือยิ่งจับแน่น “ไม่ได้ เจ้าบาดเจ็บ”
มั่วชิงเฉินกัดฟัน “ที่ข้าเจ็บอยู่ที่ไหล่ ไม่ใช่ขา!”
“เช่นนั้นก็ยังไม่ได้อยู่ดี เจ้าวิ่งเอง พอขับเปลี่ยนพลังวิญญาณเลือดย่อมไหลเยอะกว่านี้” นักบวชพูดออกมาอย่างมุ่งมั่น
มั่วชิงเฉินเห็นว่าเถียงเขาไม่ทัน ทำได้เพียงถอนหายใจเสียงเบาหยิบยาทาอวี้หลงออกมาตีบนไหล่
ยาทาอวี้หลงที่นางหลอมขึ้นมาเองมีคุณภาพชั้นเยี่ยม เพิ่งจะทาลงไปก็หยุดเลือดได้ในทันใด แต่ทั่วทั้งไหล่รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แล้วค่อยๆ เริ่มด้านชา
ไม่นานทั้งสองคนก็เร่งมาถึงพื้นที่บริเวณกลางจันทร์เสี้ยว
แต่เพราะคำนวณเวลาไม่ดี พักผ่อนอยู่บริเวณนั้นไม่ถึงสิบห้านาทีปราณมังกรก็เริ่มลามปะทะอีกครั้ง ทั้งสองคนทำได้เพียงแต่วิ่งหนีต่อไป ในชั่วขณะที่เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์กำลังจะใช้พลังพุทธญาณจนหมดไปก็มาถึงพื้นที่อีกแห่งพอดี
ยามซวี
มั่วชิงเฉินยิ้มบางๆ โชคดีที่คำนวณเวลาไม่ผิด ที่แห่งนี้ทุกยามเหม่า ยามอู่ รวมไปถึงยามซวีจะไม่มีไอมังกรไหลผ่าน นางเลือกโจมตีเวลาพระอาทิตย์ตก รอจนต่อสู้เสร็จกลับมาที่แห่งนี้ก็เกือบจะเป็นเวลายามซวีพอดี
เวลาตอนนี้แม้จะผ่านไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ยังคงมีเวลาครึ่งชั่วยามที่จะฟื้นฟูพลังพุทธญาณให้กับเมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นเช่นนี้ก็ยังพอจะสามารถทนไปจนถึงพื้นที่ว่างด้านเหนือสุดที่ไม่มีไอแห่งลมหายใจมังกรได้
“โยม เจ้าคำนวณได้ดีนัก ไม่เพียงฆ่ากำจัดฝ่ายตรงข้ามไปสองคน มาถึงที่แห่งนี้ก็ยังสามารถฟื้นฟูพลังพุทธญาณได้พอดี” นักบวชยิ้มแย้มส่งฟันเขี้ยวสองคู่ออกมาให้เห็น รอยยิ้มเปื้อนเต็มใบหน้า
ไม่รู้เพราะเหตุใดมั่วชิงเฉินรู้สึกว่าดวงตากลมโตของเขาทั้งสองข้างกลายเป็นดวงตาดาราประกาย ส่องแสงแห่งความเลื่อมใสออกมา
‘นี่ไม่ใช่แววตาที่นักบวชพึงจะมีกระมัง’
มั่วชิงเฉินชักมุมปาก “เจ้ารีบใช้เวลาฟื้นฟูพลังพุทธญาณให้กับเมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์เถิด เวลาน้อยนัก!”
นักบวชยกขานั่งขัดสมาธิในทันใด เริ่มสวดมนต์
มั่วชิงเฉินนวดขมับ ยิ้มขมขื่นขึ้นมา
นางยังประเมินตัวเองสูงเกินไป
แต่เดิมกลยุทธ์ลูกโซ่นี้ช่างน่าอัศจรรย์ นางให้อีกาไฟแปลงกายเป็นร่างนักบวช ให้เจ้าเขาน้อยแปลงกายเป็นตนเอง และตนเองกลับแปลงกายเป็นชายหนวดครึ้มฝ่ายตรงข้าม
ยามที่อีกาไฟผู้แปลงกายเป็นนักบวชจู่ๆ ก็ปรากฏตัววิ่งหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องไล่ตามไป
หากฝ่ายตรงข้ามรอบคอบ กังวลว่าจะมีกลลวง เช่นนั้นในกลุ่มสามคนก็จะต้องมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งไล่ตามไป
จากนั้นนักบวชตัวจริงค่อยออกไป วิ่งหนีไปทางทิศตรงกันข้าม นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายอีกคนย่อมต้องไล่ตามเป็นแน่
และประโยชน์ของเจ้าเขาน้อยที่แปลงร่างเป็นตนเองก็เพื่อที่จะรั้งขวางชายหนวดครึ้มที่ค่อนข้างหัวร้อนผู้นั้น
สำหรับฝ่ายตรงข้ามแล้วความสำคัญของนักบวชอยู่เหนือตนเองอยู่มาก นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายสองคนจะต้องต่างพากันไล่ตาม และที่ชายหนวดครึ้มระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางเจอก็มีเพียงตนเองที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นต้น มั่นใจคิดไปเองว่ามีความมั่นใจ จึงได้ไล่กลับมาตามฆ่าเจ้าเขาน้อยที่แปลงร่างเป็นตนเอง
จากนั้นอีกาไฟก็โยนระเบิดสะท้านฟ้าออกมา จากนั้นก็หลบซ่อนไปช่วยเจ้าเขาน้อย
ในยามที่ฝ่ายตรงข้ามเสียสมาธิตนเองก็จะปรากฏตัวขึ้นด้วยรูปโฉมของชายหนวดครึ้ม ฆ่ากำจัดฝ่ายตรงข้ามอย่างฉับพลัน แล้วค่อยกลับมาฆ่าชายหนวดครึ้มที่ถูกสัตว์วิญญาณสองตัวรั้งขวางไว้
มาถึงตรงนี้ทุกอย่างล้วนอยู่ในแผนการของตนเอง แต่น่าเสียดายที่สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่รู้ว่าหัวหน้าของฝ่ายตรงข้ามมองออกได้อย่างไรว่าตนเองไม่ใช่น้องสามตัวจริง ด้วยความประมาทถึงได้ถูกอีกฝ่ายทำร้ายเอา
ไหล่ขวายกไม่ขึ้นแล้ว อาการบาดเจ็บเช่นนี้เกรงว่าต้องใช้เวลารักษาประมาณสามวัน
แต่เดิมคิดว่าจะกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้หมดเลยทีเดียว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เกรงว่าคงต้องเผชิญหน้ากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายและน้องหกที่พวกเขาพูดถึงเสียแล้ว
มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น สะบัดขจัดอารมณ์อึดอัดใจออกไปโดยเร็ว
ไม่ว่าอย่างไร ฝ่ายตรงข้ามก็เหลือเพียงคนเดียว นี่ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากแล้ว ยังจะมารู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเพราะเหตุนี้ก็ดูจะหลงจากแก่นแท้ของทางเต๋า
ในเมื่อภายใต้สถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามมีห้าคนสามารถได้ผลลัพธ์เช่นนี้กลับมา ฝ่ายตรงข้ามมีกันสองคนต่อให้มีไม้เท้ามังกรแล้วจะทำไม
หรือว่ามาเปิดการต่อสู้อย่างแท้จริงเลยสักครั้งเถิด!
เมื่อคิดจนเข้าใจ มั่วชิงเฉินก็หลับตาเริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนออกเดินทางอีกครั้ง ในที่สุดก็มาถึงสถานที่เป้าหมายในยามดึก
“ในที่สุดก็ถึงแล้ว” มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจ รู้สึกง่าร่างกายอ่อนเพลียอย่างมาก
นักบวชแสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง “อืม”
จากนั้นดวงตายกโค้ง กลายเป็นดวงดารา “โยม เจ้าช่างสุดยอดนัก!”
มุมปากมั่วชิงเฉินกระตุก “พวกเจ้าผู้ออกบวชทั้งหลายก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หรือ ไม่ใช่พูดว่าทุกสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่าหรอกหรือ”
นักบวชกระพริบตาปริบ “โยม ผู้ออกบวชเองก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ทุกสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่านั่นจะต้องดูที่ใจของเจ้า ว่าจะปล่อยวางทุกสิ่งอย่างได้อย่างไร หากว่าไม่ได้รู้จักทุกสรรพสิ่งอย่างแท้จริงแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าทุกสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า”
มั่วชิงเฉินอ้าปากค้าง นางผิดไปแล้ว ไม่ควรจะพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับนักบวช
เห็นนางไม่ส่งเสียง จู่ๆ นักบวชก็พูดขึ้นว่า “โยม อาตมามีสมัญญาว่าซานเจี้ย ไม่ทราบว่าเจ้ามีนามว่ากระไร”
“ข้าสกุลมั่ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยขึ้นง่ายๆ
สีหน้านักบวชเปลี่ยนไป เสียงแฝงอาการสั่นไว้เล็กน้อย “เจ้าว่าอะไรนะ”