พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 448 ตามหาศพพาหะยามราตรี
“สิ่งไหน” มั่วชิงเฉินชะงักฝีเท้า ส่งกระแสจิตเสียงไม่กระดตกกระตาก
อยู่ด้วยกันมานานเช่นนี้ยังไม่เคยเห็นอีกาไฟตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนเลย
“สิ่งนั้น ไข่สีดำแดงอันนั้น!” อีกาไฟสะบัดปีกรัว หากไม่ใช่ว่ามั่วชิงเฉินขวางเอาไว้ ก็คงจะถลาออกมาจากถุงเก็บสัตว์วิญญาณเสียให้ได้
สายตาของมั่วชิงเฉินกวาดมองไปมา หยุดลงที่ชั้นล่างสุดของชั้นวาง
ท่ามกลางสิ่งของที่วางกองระเกะระกะ มีก้อนหินทรงมะกอกสีแดงดำถูกวางกองอยู่ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเจอสิ่งของที่คล้ายกับไข่อีกเลย
นางไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก “ของสิ่งนั้นหรือ? นั่น…นั้นไม่ใช่ก้อนหินก้อนหนึ่งหรอกหรือ”
เพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงกระหืดกระหอบของอีกหาไฟ “พูดมั่วๆ นายท่าน ท่านอย่าได้ดูถูกก้อนหิน อ่า ผิดแล้ว อย่าได้ดูถูกไข่ได้หรือไม่ มีไข่ที่เรียบเนียนสมบูรณ์แบบเช่นนั้นได้อีกหรือไร”
ดวงตาของมั่วชิงเฉินจ้องมองก้อนหินสีแดงดำก้อนนั้นอย่างกับเห็นทะลุปรุโปร่ง “ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ อู๋เย่ว์ ข้ามองไม่ออกจริงๆ ว่านั่นคือไข่ฟองหนึ่ง”
อีกาไฟกรอกตามองบนอย่างแรง “ตาไม่มีแวว นายท่าน ท่านมองไม่ออกไม่เป็นอะไร อย่างไรข้าก็ต้องการมัน”
แต่เดิมมั่วชิงเฉินก็ไม่ได้มีของที่ต้องการเป็นพิเศษ เห็นอีกาไฟดึงดันเช่นนี้ย่อมทำตามคำขอร้องของมันให้สมวัง
“ให้ข้าๆ” มั่วชิงเฉินยื่นมือไปหยิบไข่ขึ้นมา อีกาไฟกระโดดโลดเต้นไปมาภายในถุงเก็บสัตว์วิญญาณ
“อู๋เย่ว์ เจ้าเงียบปากก่อนได้หรือไม่ อย่างไรข้าก็ต้องเอาไปให้ท่านเจ้าเมืองเว่ยเห็นก่อนกระมัง” เส้นเลือดตรงขมับของมั่วชิงเฉินเต้นรัว รีบเดินออกไปข้างนอก
‘เจ้าบ้านี้ ช่างหนวกหูเสียจริง’
“ศิษย์พี่ ท่านเองก็เลือกเสร็จแล้วหรือ” มาถึงหน้าประตูถึงเห็นว่าเยี่ยเทียนหยวนยืนรอนางอยู่ตรงนั้นแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า “อืม”
ทั้งสองคนเดินออกไปพร้อมหัน ค้อมตัวทำความเคารพเจ้าเมืองเว่ย “ท่านเจ้าเมืองเว่ย ข้าน้อยทั้งสองเลือกเรียบร้อยแล้ว ขอให้พิจารณาเถิด”
หู่โถวยืนอยู่ไม่ไกล มองมั่วชิงเฉินทำหน้าตาล้อเลียน
รวมไปถึงตัวเจ้าเมืองเว่ยเอง ล้วนไม่มีใครนับเขาเข้าไปในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาย่อมไม่มีคุณสมบัติเข้าไปในหอสมบัติเลือกของมีค่า
“สหายทั้งสองท่านเลือกได้เร็วนัก” เจ้าเมืองเว่ยพูดขึ้นเรียบๆ จากนั้นก็กวาดตามองของที่อยู่ในมือทั้งสองคน
ในมือเยี่ยเทียนหยวนเป็นเส้นไหมสีขาวละเอียดดุจหิมะกลุ่มหนึ่ง แล้วยังสะท้อนแสงบางๆ ออกมา
เหมยสะท้อนดุจหิมะ เส้นไหมกลุ่มนี้มีชื่อที่น่าฟังอย่างมาก มันเกิดมาจากหนอนที่หายากอย่างมากชนิดหนึ่ง สิ่งที่ถูกหลอมขึ้นจากไหมชนิดนี้จะเกิดลายดอกเหมยขึ้นเองตามธรรมชาติ สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
ยามที่สายตาของเจ้าเมืองเว่ยเหลือบมองมาในมือมั่วชิงเฉิน ก็ชะงักไปเล็กน้อย สายตาของเด็กผู้นั้น…ช่างพิเศษนัก หรือคิดว่าของที่ยิ่งแปลกก็ยิ่งมีค่า?
เจ้าเมืองเว่ยส่ายหัวน้อยๆ จนสังเกตไม่เห็น ไม่พูดอะไรอีก
พวกมั่วชิงเฉินทั้งสามคนรออยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง คนข้างในก็พากันทยอยเดินออกมา เจ้าเมืองเว่ยเดินนำทุกคนกลับมายังห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
ระหว่างทาง มั่วชิงเฉินได้นำไข่สีแดงดำฟองนั้นใส่ลงไปในถุงเก็บสัตว์วิญญาณ ถามว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าจะเอาของสิ่งนี้ไปทำอะไร คงไม่ใช่เอาไปกินหรอกกระมัง ระวังเจ้าจะฟันหลุดเอา”
“นายท่าน!” อีกาไฟร้องตะโกนด้วยความโมโห แล้วยังไม่ลืมรับไปอย่างระมัดระวัง
มั่วชิงเฉินพูดล้อ “อู๋เย่ว์อ่า เจ้าคงจะไม่ได้ฟักไข่นี้ให้ออกมาหรอกนะ?”
อีกาไฟรับไข่วางไว้ข้างกายด้วยสีหน้านิ่งเฉย กรอกตามองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง “ไม่ได้หรืออย่างไร”
มั่วขิงเฉินชะงักนิ่ง “อู๋เย่ว์ มัน…มันคงจะไม่ใช่ลูกน้อยที่พลัดพรากจากเจ้าไปนานหลายปีหรอกกระมัง”
“พูดอะไรน่ะ ตัวข้ายังเป็นหญิงสาววัยเจริญพันธุ์อยู่เลย” อีกาไฟกัดฟันแน่นพูดจนจบ ตัดขาดการส่งกระแสจิตเสียงกับมั่วชิงเฉินด้วยตนเอง
มั่วชิงเฉินถูกปิดประตูใส่หน้า เดินตามทุกคนกลับไปด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ นั่งลงเรียบร้อย เจ้าเมืองเว่ยก็นำธงเก้าผืนออกมา เอ่ยอธิบายว่า “ค่ายกลชุดนี้เรียกว่าค่ายสามด่าน ธงเก้าผืนแบ่งออกเป็นสามประเภท ลม ฝน และสายฟ้า ทุกประเภทจะแบ่งออกเป็นจู่โจม ป้องกัน และควบคุม ความสามารถของศพพาหะแข็งแกร่งอย่างมาก ฉะนั้นสหายทั้งเก้าจะต้องร่วมมือกันเป็นอย่างดี หากว่ามีด่านหนึ่งที่ทำไม่เต็มกำลัง ศพพาหะก็จะทำลายค่ายหนีออกไป”
พูดไปพลางแบ่งธงให้ทุกคน อธิบายต่อว่า “ตัวยันต์บนธงนั้นได้อธิบายวิธีการขับเคลื่อนธงผืนนั้นๆ และค่ายกลสามด่านเอาไว้อย่างละเอียด สหายทุกท่านหลังจากกลับห้องไปแล้วสามารถอ่านดูได้ นี่คือวงแหวนหยุดศพ ยามที่เข้าไปในขอบเขตจำกัดใกล้เคียงตัวศพพาหะแล้วนั้นวงแหวนหยุดศพจะส่องแสง ถึงเวลานั้นสหายที่พบเจอศพพาหะก็สามารถใช้ผืนธงที่อยู่ในเมือส่งข่าวสารได้ จำเอาไว้ให้แม่นยำว่าจะต้องรอคนอื่นให้ไปถึงก่อนถึงจะเริ่มล้อมวงหยุดศพพาหะได้ พวกท่านเพียงแต่ยืนหยัดระยะเวลาหนึ่ง รอจนค่ายพลังมั่นคงแล้วตัวข้าสกุลเว่ยจะไปถึงพอดี เรื่องหลังจากนั้นมอบหมายให้ข้าก็พอแล้ว”
มั่วชิงเฉินมองวงแหวนหยุดศพที่เจ้าเมืองเว่ยมอบให้ มันเป็นกำไลที่ดูแล้วสวยงามอย่างมากวงหนึ่ง บนนั้นยังสลักลวดลายกิ่งดอกไม้เอาไว้อีกด้วย
จากคำอธิบายของเจ้าเมืองเว่ย ทุกครั้งที่ศพพาหะอาบแสงจันทร์ ปัญญาวิญญาณก็จะพัฒนาสูงขึ้นขั้นหนึ่ง การตามหาศพพาหะต้องเร็วไม่ควรช้า ทุกคนต่างพากันกลับห้องไปศึกษาวิธีการใช้ค่ายสามด่าน แล้วจัดความเรียบร้อยอีกสักพักแล้วออกเดินทางพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินจัดการนำหู่โถวที่มีสีหน้าไม่ยินยอมทิ้งเอาไว้ในจวน
หู่โถวแต่เดิมคิดจะต่อต้าน แต่ประโยคคำพูดหนึ่งของมั่วชิงเฉินทำให้ความคิดของเขาต้องหายไป
“หู่โถว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อความสามารถของเจ้า แต่พราะไข่ไก่มิอาจใส่ในตะกร้าใบเดียวกันได้ เจ้าเมืองเว่ยดูแล้วเปิดเผย แต่จิตใจระแวงคนอย่างไรก็คงมี หากว่าพวกเราติดในกับดักบางอย่าง มีเจ้าอยู่ก็ถือว่ามีทางรอดเพิ่มขึ้น”
มั่วชิงเฉินบีบใบหน้าอ้วนกลมของหู่โถว หมุนตัวพลางเดินเคียงคู่จากไปพร้อมเยี่ยเทียนหยวน
ศิษย์พี่เป็นคู่บำเพ็ญของนาง เกิดพร้อมกันตายพร้อมกัน จูงมือต่อสู้ไปด้วยกัน ตอนนี้เป็นเช่นนี้ อนาคตก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน และในตอนนี้นางเพียงแต่หวังว่าน้องชายหู่โถวของนางจะมีชีวิตที่ดี
เมืองเสวียนอู้มีขนาดใหญ่ การที่จะคิดตามหาศพพาหะที่หลบซ่อนตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งเก้าคนแยกย้ายกันออกไปตามหาพื้นที่ในขอบเขตที่จำกัด
สถานที่ที่มั่วชิงเฉินสืบหาคือบริเวณตลาด
ท้องฟ้าเริ่มมืด หมอกดำบนถนนเริ่มฟุ้งโขมงรวมตัวกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสีท้องฟ้า ทำให้การมองเห็นยิ่งถูกกีดขวางมากขึ้น
แต่มั่วชิงเฉินต้องค้นพบเรื่องหนึ่งอย่างน่าตกใจว่ายังมีคนบนถนนจำนวนไม่น้อย แม้กระทั่งยังมีร้านค้าที่ตั้งแผงขายของด้วยซ้ำไป
คิดถึงสถานการณ์ของเมืองไท่หยิน มั่วชิงเฉินแอบคิดว่านี้อาจเป็นวิวทิวทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองเสวียนโจวที่มีชื่อเสียงด้านการหลอมศพ
แต่หากศพพาหะอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเท่าไรต้องรับผลกระทบไปด้วย
ศพพาหะเจ้าเล่ห์ มั่วชิงเฉินได้รับคำกำชับมาแล้วว่าไม่อาจใช้กระแสจิตในการสอดส่องได้ ทำได้เพียงเดินไปช้าๆ ทุ่มเทสมาธิสังเกตวงแหวนหยุดศพอยู่ตลอดเวลา
“แม่หญิง ดึกขนาดนี้แล้วยังเดินเล่นอยู่อีก สนใจให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนหรือไม่เล่า” ยามที่เดินสวนกัน เสียงที่ฟังดูมีความเหลาะแหละดังขึ้นมา แล้วยังแลดูกรึ่มเหล้าอยู่เล็กน้อย
มั่วชิงเฉินช้อนตาขึ้นมองคนผู้นั้นทีหนึ่ง แค่นหัวเราะพูดว่า “เจ้าอยากอยู่เป็นเพื่อนข้า?”
คนผู้นั้นสร่างเมาไปกว่าครึ่ง พูดอย่างลนลานว่า “ท่านอาวุโสอย่าได้ถือโทษๆ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”
พูดจบก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว ในใจคิดอย่างโศกเศร้าว่า ดื่มเหล้าทำให้เรื่องราวเสียหาย จากประสบการณ์ของเขา เพียงแค่มองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวผู้นั้นทีหนึ่งก็รู้ว่านางจะต้องเป็นคนงามล่มเมืองผู้หนึ่งเป็นแน่ แต่กลับลืมสังเกตตบะบำเพ็ญของนาง
‘ให้ตายเถิด ระดับก่อแก่นปราณ!’
เมื่อคิดได้ว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งจะเกี้ยวพาราสีหญิงบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณผู้หนึ่ง นี่มันไม่ใช่ว่าถือโคมไฟไปเข้าห้องน้ำ…หามูลหรืออย่างไร!
เหงื่อเย็นของชายหนุ่มไหลลงมาในทันใด
เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้คาดคิดนั้นไม่ได้ทำให้มั่วชิงเฉินเกิดความรู้สึกอะไรมากเท่าไรนัก นางเดินตรงต่อไปข้างหน้า สังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้าง
ภายในซอยแคบข้างหน้าฝั่งซ้าย มีลำแสงสีแดงคลุมเครือปรากฏขึ้น เป็นประกายกระพริบ
มั่วชิงเฉินนึกคิดฉุกใจ เดินเข้าไปข้างในอย่างเงียบเชียบไร้สุ่มเสียง
เสียงหอบหายใจเบาบางดังขึ้นมา
มั่วชิงเฉินที่เคยผ่านเรื่องระหว่างหญิงชายมาก่อนแล้วต้องตัวนิ่งแข็งไป หมุนตัวคิดหนี
แต่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้นมา “นางบ้าพวกนี้ เจ้าคิดแย่งธุรกิจข้าอีกแล้ว กล้าตัดหน้าข้าเลยหรือ!”
“ถุย ตัวเองไม่มีความสามารถแล้วจะมาโทษใคร…”
หลังจากนั้นก็มีเสียงของชายหนุ่มที่แฝงอาการหอบดังขึ้น “หยุด หยุดทะเลาะได้แล้ว เข้าแถว ข้ารับมือไหว”
“พูดตั้งนานซิ คนบ้า!” หญิงสาวทั้งสองคนพูดงอนงอดขึ้นพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินเดินเซไป เร่งฝีเท้าเพิ่มความเร็วออกไปจากตรงนั้น
หมอกดำยิ่งหนาแแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเดินอยู่ท่ามกลางหมอกเหล่านั้นใช้ดวงตามองก็ยากจะเห็นพื้นที่บริเวณห่างออกไป
ข้างหน้าดูเหมือนมีถ้ำดำไร้ที่สิ้นสุด เงียบสงบและลึกลับ เสมือนไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีซากศพดวงตาถลนโผล่ออกมา มองและส่งยิ้มให้
มือทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉินถือกริชฟันปลาเอาไว้ ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น
เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันดังขึ้น นางขยับตัวหลบไปด้านข้าง ได้ยินเสียงที่แฝงความเย็นเยียบดังขึ้น “ขอทาง”
มั่วชิงเฉินหรี่ตามองตรงไป ข้างหน้ามีชายผู้หนึ่งค่อยๆ เดิน สายตามองตรงเขม็งไปข้างหน้า มุมปากยังมีรอยยิ้มประหลาดประดับอยู่
ซากศพ!
เพราะอยู่ใกล้เช่นนี้ มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ในทันใดว่าคนผู้นี้น่าจะไม่มีลมหายใจ
ไอเย็นแผ่ออกมา นางไม่ได้กลัว แต่รู้สึกว่าน่าขนลุก เมื่อไรกันที่ซากศพก็สามารถพูดคำว่า ‘ขอทาง’ ได้แล้ว
ดวงตาจับจ้องเขม็งมองไปยังซากศพข้างหน้า ขาดแค่เพียงเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมมันแล้วเท่านั้น ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดสีดำที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้ามืด ใบหน้าไร้ความรู้สึก ในมือถือโคมไฟที่แทบจะไม่เห็นแสงสว่างผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลางหมอกดำโดยไร้สุ่มเสียง
เห็นสายตาหลงใหลของมั่วชิงเฉินที่มีต่อซากศพของตนเอง ก็มองไปทางนางอย่างแปลกประหลาดทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินรู้สึกประหม่าในทันใด วุ่นวายอยู่นาน คำว่า ‘ขอทาง’ ก็เป็นคนผู้นี้พูดขึ้น นี่มันไม่ใช่เรื่องหลอกลวงคนหรืออย่างไร เจ้าอยู่ห่างกับข้าเสียขนาดนั้น จะมาพูดว่าขอทางอะไรกัน!
‘อีกทั้ง ที่เขามองนั่นมันคือแววตาอะไร!’
มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง จากนั้นก็ต้องตะลึงไป ไม่ถูกต้อง คนผู้นี้เหตุใดถึงเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีก!
‘นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถภายในเมืองไม่ใช่ว่าถูกเจ้าเมืองเว่ยเรียกตัวไปหมดแล้วหรือ?’
คิดถึงตรงนี้ก็อดพิจารณาชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียดไม่ได้ มองดูลายปักคำว่า ‘เว่ย’ ตัวเล็กๆ บริเวณหน้าอกของเขาก็เข้าใจขึ้นมาในทันใด
ชายหนุ่มก้าวเดินเหมือนลอยพาซากศพของตนเองจากไปอย่างรวดเร็ว ในใจลอบคิดว่า หรือจะบอกว่าหญิงสาวที่ออกมาเดินตอนกลางคืนล้วนไม่ปกติเท่าไรนัก ตอนแรกก็จ้องมองซากศพของเขาด้วยใบหน้าหลงใหล แล้วยังจ้องมองด้วยหน้าอกของเขาด้วยความหลงใหลต่อ นางคิดจะทำอะไรกันแน่!
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าตนเองถูกผู้อื่นดูถูกเป็นการใหญ่ อีกทั้งยังหลงเหลือความทรงจำที่ลึกซึ้งเป็นอย่างมากเอาไว้
นางเดินตรงไปข้างหน้าต่อไป หมอกควันสีดำหนาแน่นที่ลอยตัวไปมาเหมือนจะต้องใช้มือแหวกออกถึงจะเดินต่อไปข้างหน้าได้
ในเวลานี้เองที่บนฟากฟ้ามีดาวตกดวงหนึ่งปรากฏขึ้น มั่วชิงเฉินมีท่าทีนิ่งไป ใช้ความเร็วที่สุดในการมุ่งหน้าไปบริเวณนั้น
ศพพาหะปรากฏตัวแล้ว!
‘คนที่พบศพพาหะเป็นใครกัน’
ท่ามกลางความมืดอึมครึม แสงวิญญาณหลากสีแปดสายวิ่งเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านั้นทำให้ทุกคนต้องสูดลมหายใจเข้าลึก