พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 455 ถังมู่เฉินหวนกลับ
มองเพียงแค่ปราดเดียว หนิงหลานก็เกร็งไปทั้งตัว นัยน์ตาสีอำพันชั่วพริบตาก็ฉายประกายหลากสี งดงามจนไม่อาจละสายตา แต่เมื่อเห็นหญิงสาวในเสื้อสีครามเคียงไหล่อยู่กับเยี่ยเทียนหยวน ประกายในแววตานั้นก็พลันเลือนไป มุมปากฝืนยิ้มพลางเดินเข้ามา “สหายมั่ว สหายเยี่ย บังเอิญจริง”
นางพูดไปพลางก็อดไม่ได้ที่จะแอบกวาดสายตามองไปยังเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง
ตอนที่นางจากไป เคยบอกกับเขาว่าบ้านอยู่ที่หลิวโจว ทว่าตอนนี้ พวกเขาก็มายังหลิวโจวจริงๆ แล้ว ซ้ำยังพักอยู่ที่หอบรรลุเซียน หรือสวรรค์เห็นใจ จึงให้นางได้พบเขาอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินจิตใจกว้างขวาง ใช่ว่ามีชายในใจแล้ว ก็จะเอาแต่จับจ้อง เฝ้ามองด้วยความเคียดแค้นเหมือนมองตนเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา บนใบหน้าหนิงหลานแสดงสีหน้าสบาย นางไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ใช่แล้ว สหายหนิง ช่างบังเอิญจริง สหายหนิงอาศัยอยู่ที่เมืองหลิวเยียนเองหรอกหรือ”
หนิงหลานเคยเคยบอกกับเยี่ยเทียนหยวนว่าตนพำนักที่ราชันย์พำนักในหลิวโจว วินาทีนี้ต่อหน้าเขาคำพูดที่ติดอยู่ในปากไม่อาจพูดออกมาได้ จึงพูดออกไปว่า “มิได้ ข้าเดิมที่อาศัยอยู่ที่ราชันย์พำนัก มีธุระจึงมาพักที่เมืองหลิวเยียนชั่วคราว สหายมั่วพวกเจ้ามาเที่ยวหลิวโจวหรือ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับ “ใช่ ข้าและศิษย์พี่ท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ ได้ยินมานานแล้วว่าราชันย์พำนักของหลิวโจวเป็นดั่งแดนสวรรค์กลางโลกมนุษย์ สำนักซู่ซินซ้ำเป็นแดนเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งหลิวโจว พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องเฝ้าปรารถนามาตลอด จึงอดใจไม่ได้ที่จะมาเยี่ยมชมสักครั้ง”
มั่วชิงเฉินไม่ประสาเรื่องชายหญิง แต่เรื่องอื่นกลับรู้แจ้งปรุโปร่ง ได้ยินว่าหนิงหลานพักอยู่ที่ราชันย์พำนัก ดูจากลักษณะการบำเพ็ญของนาง ก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่เพียงเป็นคนของสำนักซู่ซิน และยังต้องเป็นบุคคลสำคัญของสำนักด้วย วาจาคำพูดเผยให้เห็นความความสูงส่งของสำนักซู่ซิน
หากมีหนิงหลานนำทางให้ การไปยังราชันย์พำนักคงสะดวกไม่น้อย
หนิงหลานแววตาฉายประกายดังคาด “สหายมั่วอยากไปราชันย์พำนักหรือ เช่นนั้นหนิงหลานคงต้องต้อนรับสักหน่อยแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพูดกับเยี่ยเทียนหยวน “เพียงแต่ราชันย์พำนักไม่อนุญาตให้บุรุษเข้า สหายเยี่ยเกรงว่าไม่อาจไปด้วยได้ หากสหายเยี่ยรู้สึกสนใจ ก็อาจเที่ยวเล่นละแวกใกล้ๆ เมืองหลิวเยียนดูได้ นอกเมืองหลิวเยียนมีเขาลูกหนึ่งชื่อไท่หางซาน ควรค่าจะไปเที่ยวชมสักครั้ง”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าตอบอย่างเย็นชา “ขอบคุณมาก”
หนิงหลานเม้มปากยิ้ม เสนอตัวเป็นเจ้าบ้าน ต้อนรับอาคันตุกะทั้งสาม
ในตอนนี้ นางเพิ่งจะได้เห็นหู่โถวอย่างละเอียด รู้สึกว่าช่างน่ารักเป็นพิเศษ ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “สหายมั่ว สหายน้อยผู้นี้ตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่ก้นผานี่ ไม่รู้ว่ามีนามว่าอะไร”
ไม่รอให้มั่วชิงเฉินตอบ หู่โถวก็พูดขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย “เณรน้อยซานเจี้ย ตอนนั้นสหายจากไปแล้วข้าจึงไปที่นั่นเพื่อตามหาพี่สาวและพี่เขย”
พี่เขยหรือ
ถึงแม้จะรู้แต่แรกแล้วว่าทั้งสองคือคู่บำเพ็ญ แต่หนิงหลานได้ยินเช่นนั้นก็ยังปวดใจ ประหนึ่งเหล็กในน้อยๆ ของผึ้งต่อยทิ่มดวงใจ
แต่นางก็สลัดความกดดันนั้นออกไปได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาเกิดมาคู่กัน แล้วตนเกี่ยวอะไรด้วยเล่า!
บนโต๊ะอาหาร มั่วชิงเฉินต้องการผูกมิตรกับหนิงหลาน บทสนทนาจึงเยอะขึ้นมา แต่หู่โถวกลับดึงเยี่ยเทียนหยวนไปดื่มชา ร้องว่าพี่เขยๆ อย่างออดอ้อนผิดปกติอยู่ไม่ขาดปาก
เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ได้ยินหู่โถวเรียกว่าพี่เขยก็อิ่มเอิบใจ ไหนเลยจะทันได้ฟังว่าสองสาวกำลังคุยอะไรกัน
พักอยู่เช่นนี้สองสามวัน มั่วชิงเฉินและหนิงหลานก็คุ้นเคยกันมากขึ้น
“ชิงเฉิน” หู่โถวเห็นมั่วชิงเฉินออกมา ก็ยื่นมือไปรั้งชายเสื้อนางไว้
มั่วชิงเฉินตบมือหู่โถวเบาๆ “เป็นอะไรหรือ หู่โถว เมื่อวานสหายหนิงบอกว่าวันนี้จะไปเดินเที่ยวตลาดเป็นเพื่อนข้า ตอนนี้คงกำลังรออยู่ข้างล่างแล้ว”
หู่โถวพึมพำ แล้วส่ายหน้าตอบ “ทำไมต้องให้นางไปเป็นเพื่อน พวกเราไปกันเองก็ได้ไม่ใช่หรือ”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ไปเองย่อมได้ แต่มีคนมานำทางก็ไม่เลวออก”
หู่โถวเบะปาก “คนนำทางอะไรกัน ระวังพาเจ้าลงคลองนะ”
มั่วชิงเฉินสีหน้าจริงจังขึ้นมา “หู่โถว เจ้าดูเหมือนตั้งแง่กับสหายหนิงนะ”
หู่โถวทอดถอนใจ แต่ไม่แสดงออกบนใบหน้า “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ในสายตาของผู้ออกบวชทุกชีวิตล้วนเสมอภาค อมิตาภพุทธ”
มั่วชิงเฉินลูบศีรษะหู่โถวหนึ่ง “เจ้าเล่ห์จริงนะ”
พูดพลางเดินพลางจนถึงหน้าประตูห้องเยี่ยเทียนหยวน ก็ร้องเรียก “ศิษย์พี่ เสร็จหรือยัง”
ประตูเปิดออก เยี่ยเทียนหยวนยืนหน้าประตู แล้วพูดว่า “ศิษย์น้อง ข้าวันนี้จะฝึกบำเพ็ญ พวกเจ้าไปเถิด”
มั่วชิงเฉินประหลาดใจ วันนี้เกิดอะไรขึ้น แต่ละคนท่าทีประหลาด
“อ้อ นึกออกแล้ว ชิงเฉิน วันนี้ข้าเองก็ต้องนั่งสมาธิ ข้าก็ไปไม่ได้แล้วเหมือนกัน” หู่โถวเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้างๆ บนหน้า แล้วหันหน้าเดินกลับไปยังห้องตน
“เอาเถิด เช่นนั้นข้าไปเอง ศิษย์พี่ มีอะไรฝากข้าซื้อไหม” มั่วชิงเฉินมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือ ลูบไปบนเรือนผมมั่วชิงเฉินเบาๆ “ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ศิษย์น้อง เจ้ารีบกลับมาก็พอ”
มั่วชิงเฉินเดินลงชั้นล่าง
เมื่อเห็นว่ามีเพียงนางคนเดียว หนิงหลานก็อึ้งไปชั่วครู่ “สหายมั่ว แล้วพวกสหายเยี่ยเล่า”
มั่วชิงเฉินตอบแบบง่ายๆ “พวกเขามีธุระ จึงไม่ไป”
“อ้อ” หนิงหลานหลับตาลง แววตาอันเป็นประกายดูมืดมนไป
มั่วชิงเฉินเม้มปาก แอบรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย
ในตลาด หนิงหลานท่าทีดูไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัด มั่วชิงเฉินเห็นนางใจลอยอยู่เป็นพักๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
นางคงมิได้…มีใจให้กับศิษย์พี่เข้าแล้วหรอกนะ
มั่วชิงเฉินรู้สึกยากจะเชื่อ หนิงหลานดีร้ายก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณ ซ้ำยังไม่ได้คบค้าสมาคมกับศิษย์พี่สักเท่าไร นางไยจึงเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีคู่บำเพ็ญแล้วเล่า
แม้เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียร ก็มีความคิดเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
ในถุงสัตว์อสูร อีกาไฟมองท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดของมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เจ้าบื้อ ผู้บำเพ็ญเพียรก็เป็นคนนะ จะไม่มีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร”
“อืม ข้าเพียงรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผล”
อีกาไฟเหลือกตาใส่ “นายท่าน ไยความคิดท่านถึงได้แตกต่างจากหญิงอื่น หรือว่าผู้หญิงทั่วไปเจอเรื่องเช่นนี้ ต้องไม่หึงหวง ไม่รู้สึกโกรธ ไม่คิดเข้าไปตบหน้ากระเสาะกระแสะอ่อนแอของอีกฝ่ายสักฉาดเลยหรือ”
มั่วชิงเฉินเหยียดมุมปาก “แค่กๆ อู๋เย่ว์ ใบหน้าจะบรรยายด้วยคำว่า ‘กระเสาะกระแสะอ่อนแอ’ ไม่ได้นะ… ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก มันไม่ใช่ประเด็นหลักเข้าใจไหม!” อีกาไฟแทบจะพุ่งออกมาจากกลางถุงสัตว์อสูร ยื่นปีกชี้หน้าต่อว่ามั่วชิงเฉิน
“แล้วอะไรเล่าที่เป็นประเด็นหลัก” มั่วชิงเฉินไม่เข้าใจ สัตว์อสูรของนาง ความคิดดูเหมือนจะแตกต่างกับอสูรวิญญาณอื่นๆ
อีกาไฟสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดเสียงแหลมออกมา “ประเด็นหลักก็คือ ท่านต้องระวังให้มาก ระวังนักพรตลั่วหยางจะถูกหนิงหลานแย่งไป”
มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ นายท่าน ท่านอย่าได้มั่นใจจนเกินไป” อีกาไฟรู้สึกโมโหที่นางไม่เป็นเดือดเป็นร้อน
แอบคิดอยู่ในใจว่า เจ้าตัวอับโชคอย่างถังมู่เฉินเองก็เคยพูด ช่วงที่ผู้ชายจะดีต่อผู้หญิงที่สุดก็คือตอนที่ยังไม่ได้มาครอบครอง เมื่อได้ครอบครองแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นอื่น
มั่วชิงเฉินเสียงเรียบ แต่เป็นไปด้วยความหนักแน่น “อู๋เย่ว์ มิใช่ว่าข้ามั่นใจ แต่สำหรับศิษย์พี่แล้ว ข้าไม่อาจจะไม่เชื่อ หากเขาเองก็เปลี่ยนเป็นอื่นได้ แล้วจะมีอะไรอีกเล่าที่ไม่เปลี่ยน เห็นจะมีก็แต่กฎสวรรค์ที่มีมาแต่โบราณกาล หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะได้มุ่งแสวงเพียงหนทางนั้น”
ความรัก ไม่ควรดำเนินไปด้วยการคิดเล็กว่าคิดน้อยใครได้ใครเสีย
เพียงแต่…ควรหาเวลาที่จะพูดคุยกับอู๋เย่ว์เรื่อง ‘ละคร’ สักครั้ง
“สหายมั่ว” เห็นมั่วชิงเฉินหน้านิ่ง หนิงหลานก็ร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
มั่วชิงเฉินได้สติกลับ ดวงตาดั่งดอกท้อคู่นั้นเป็นประกายใส ราวกับว่ามองทะลุทุกสิ่งอย่าง
ผิดคาด ในใจหนิงหลานนั้นกลับเกิดความอับอายและชื่นชมขึ้นมา
สหายมั่ว เป็นผู้หญิงที่ดีมากจริงๆ ช่างคู่ควรกับสหายเยี่ยอย่างยิ่ง
มิใช่ว่าตนไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะได้พบกับเขาช้าเกินไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การได้กลับมาพบกันอีกครั้งจะมีอะไรต้องมาแอบดีใจด้วย
ช่างเถิด ความทรงจำอันสะเทือนจิตใจ ข้าพอแล้ว
หนิงหลานคิดได้ราวกับเห็นธรรม แล้วส่งยิ้มไปยังมั่วชิงเฉินหนึ่งที
รอยยิ้มของนางดูบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับเสื้อสีฟ้าบนตัวนาง
มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างทันทีว่าหนิงหลานไม่เหมือนเดิม จึงยิ้มออกมาเต็มหน้า เผยให้เห็นลักยิ้มคู่หนึ่ง “สหายหนิง พวกเรากลับกันเถิด”
“ได้ พวกเรากลับกัน”
อีกาไฟอึ้งตาค้าง มองไปยังเขาน้อยที่ทนเงียบอยู่นาน “เขาน้อย ไยมนุษย์ผู้หญิงจึงไม่แสดงออกเหมือนสามัญสำนึกเล่า”
“พี่อู๋เย่ว์ อะไรกันคือสามัญสำนึก” เขาน้อยขอคำชี้แนะอย่างนอบน้อม
อีกาไฟจีบปากพูดขึ้น “ตามสามัญสํานึก ไม่ใช่ว่าหนิงหลานควรเกาะแกะนักพรตลั่วหยางไม่วางมือหรอกหรือ ต้องอิจฉาริษยานายท่าน นายท่านและนักพรตลั่วหยางต้องผิดใจกัน ต้องผ่านอุปสรรคขัดแย้งกันนับหมื่น ในที่สุดจึงจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ”
เสี่ยเจี่ยวนิ่งเงียบอยู่นาน แล้วพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง “เขาน้อยไม่รู้หรอกว่ามีสามัญสำนึกอะไรเช่นนี้ แต่เขาน้อยคิดว่า อุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดของนายท่านและนักพรตลั่วหยางตอนนี้ ก็คือพี่หญิงอู๋เย่ว์มิใช่หรือ”
อีกาไฟอึ้งนิ่ง ครั้นแล้วก็รู้สึกอายจนโกรธขึ้นมา “เหลวไหล ข้าเป็นห่วงแต่แรกไม่ใช่หรือ หลังจากนั้นข้าไหนเลยจะเคยทอดทิ้งไม่ใส่ใจสักครั้ง แต่แกเจ้าทึ่ม ชอบไม่ระวังหลุดปากพูดอะไรออกไป จนนายท่านจะกลายเป็นแม่ชีอยู่แล้ว”
หนึ่งอีกาหนึ่งอสูรทุ่มเถียงกันนับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อก้าวสู่ห้องโถงหอบรรลุเซียน ก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนและหู่โถวนั่งหันหลังให้ประตูอยู่ที่หน้าโต๊ะริมหน้าต่าง ชายที่อยู่พอดีตรงหน้าประตูคาบไม้จิ้มฟันก้านหนึ่ง ส่งยิ้มมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
“พี่ใหญ่!” มั่วชิงเฉินร้องขึ้นมาหาด้วยความแปลกใจและยินดี
ถังมู่เฉินเปล่งยิ้มทะเล้นบนใบหน้า แล้วโผเข้ามา มือทั้งคู่โอบมั่วชิงเฉินเอาไว้ “น้องสาว พี่คิดถึงเจ้าจะตายแล้ว”
เยี่ยเทียนหยวนหันกายกลับ รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าในตอนแรกเลือนหายไป สีหน้าบึ้งตึงขึ้นมา รีบสาวเท้าเดินเข้าไปดึงมั่วชิงเฉินออกมาจากอ้อมกอดของถังมู่เฉิน
“สหายลั่วหยาง อย่าโกรธไปเลย หรือว่าจะให้ข้ากอดเจ้าด้วยคนสักครั้ง…เอ๊ะ!” ถังมู่เฉินร้องขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ จากนั้นก็สังเกตคนทั้งสองไปมา แววตาแอบแฝงอะไรบางอย่างนั้นทำให้ทั้งสองคนรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
นี่เป็นสัญชาตญาณของถังมู่เฉิน ในสายตาของเขาทั้งสองแม้จะรักใคร่กัน แต่อีกคนหนึ่งปกติอีกคนกลับกลัดกลุ้ม แม้แต่เขาแค่ดูยังรู้สึกกังวล
แต่นี่ก็ดีแล้ว ช่วงเวลาแห่งวัยหนุ่มสาวจะได้ไม่สูญเสียไปเปล่าๆ
“พี่ใหญ่ ท่านมาถึงตั้งแต่เมื่อไร” มีหนิงหลานอยู่ มั่วชิงเฉินเกรงว่าถังเฉินมู่จะพูดอะไรเลอะเทอะออกมา จึงรีบเปลี่ยนบทสนทนา
ถังมู่เฉินยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “เพิ่งจะมาถึงน่ะ ข้ากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับสหายลั่วหยางอยู่ โอ้ ท่านเซียนผู้นี้คือใคร”
หนิงหลานไม่เคยเจอคนพิลึกเช่นนี้มาก่อน จึงทำตัวไม่ถูก
มั่วชิงเฉินเกือบกระอักโลหิต พยายามอดทนไม่ให้ตัวเองกระโจนเข้าไปจัดการถังมู่เฉินด้วยก้อนอิฐสักฉาดแล้วแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
และเวลาต่อจากนั้น ก็เห็นถังมู่เฉินคอยตามสาวงามพูดจาฉอเลาะไม่หยุด จนไม่เหลือช่องว่างให้นางได้พูดแทรก
หนิงหลานเหยียดมุมปาก ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาเพราะทนไม่ได้ รีบร้อนจนทำจอกชาคว่ำ “สหายทุกท่าน ข้า…ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อน…”
พูดแล้วก็รีบหนีไปอย่างร้อนรน
ถังมู่เฉินเหยียดตัวนั่งตรง แล้วกะพริบตาปริบๆ รับสายตาอันโกรธเคืองของมั่วชิงเฉิน “ไม่มีสาวงามคอยเป็นเพื่อน ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
เสียงดังขึ้นปัง ก้อนอิฐสีทองเหลืองอร่ามก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ จากนั้นก็ได้ยินเสียงมั่วชิงเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแต่เพียงเปลือก “พี่ใหญ่ ให้สิ่งนี้เป็นเพื่อนท่านก็ไม่เลวนะ”