พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 492-2 หัวใจบริสุทธิ์ที่ไม่เคยเสียใจ
“ถูกแล้ว มิใช่เป็นแค่ข่าวลือ พรต มาร และปีศาจต่างมีสาวงามประจำพรรค พวกเราผู้บำเพ็ญเพียรก็มีสาวงามอันดับหนึ่งคือนักพรตซู่เหยียนอย่างไรเล่า วันนี้ได้เห็นกับตา ช่างสมดั่งคำล่ำลือจริงๆ” ผู้หนึ่งถอนหายใจตอบออกมา
ทันใดนั้นก็มีคนโต้แย้งขึ้นว่า “ข้าว่า ไม่ว่าอย่างไรผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในชุดสีครามก็มีหน้าตาและพลังปราณที่เหนือกว่าเห็นๆ ไม่แน่ว่าตำแหน่งผู้บำเพ็ญเพียรที่งดงามที่สุดอันดับหนึ่ง คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแล้วกระมัง ทั้งยังไม่รู้อีกว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักใด เกรงว่าพรรคเหยากวงที่ส่องแสงโชติช่วงชัชวาลคงต้องดับลงเสียแล้ว”
“นั่นนะสิ ตั้งแต่ที่พรรคเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรสาวงามอันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรชายกี่คนแล้วที่มาร้องขอเข้าพรรคเหยากวง เวลานี้ความโดดเด่นของพรรคเหยากวงถูกแย่งไปจนเหลือสักเท่าไหร่กันเชียว” ผู้หนึ่งเอ่ยเสียงต่ำออกมา
ศิษย์ของพรรคเหยากวงที่มีหน้าที่บริการอาหารวางจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างแรง พูดอย่างเย็นชาว่า “ขอประทานอภัยนะขอรับ ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีครามที่พวกท่านพูดถึงอยู่นั้น ความจริงคือศิษย์ของพรรคเหยากวงของพวกเรา และเป็นศิษย์เอกของเหอกวงเจินจวิน นักพรตชิงเฉิง!”
ก่อนหน้านี้มีผู้คนไม่น้อยที่จิตใจแอบคิดอิจฉาริษยา แต่เมื่อรู้ว่าเป็นลูกศิษย์ของพรรคเหยากวง ก็มีท่าทีเกรงใจขึ้นมาหลายส่วนทันที มีคนแปลกใจพูดขึ้นว่า “นึกไม่ถึงว่าแม่นางผู้นั้นก็เป็นศิษย์ของพรรคเหยากวง รู้สึกว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
ในความโกลาหลวิกฤตอสูรตอนนั้นเกิดการสู้รบบ่อยครั้ง ไม่ว่าผู้บำเพ็ญพรต มารบำเพ็ญเพียร หรือปีศาจบำเพ็ญเพียร ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีระดับก่อแก่นปราณขึ้นไป หรือผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่น ล้วนมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีครามเมื่อครู่ เพียงแค่โฉมหน้าที่สวยสะคราญของนาง ก็สามารถสั่นสะเทือนทั่วทั้งเทียนหยวนได้แล้ว
“นั่นนะสิ สหาย รีบเล่าเรื่องลูกศิษย์ของพวกเจ้าให้เราฟังหน่อยเถอะ”
ศิษย์ของพรรคเหยากวงผู้นั้นตกอยู่ท่ามกลางสายตาที่มุ่งมาดของเหล่าผู้คน ก็กระแอมออกมาอย่างจริงจังทีหนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติว่า “เรื่องนี้พวกท่านไม่รู้อะไรกันเสียแล้ว ปีนั้นนักพรตชิงเฉิงและนักพรตซู่เหยียนออกมาจากเขาชิงมู่ด้วยกัน เนื่องจากพวกนางมีชื่อ ‘ชิง’ ที่เหมือนกัน ทำให้บ่อยครั้งถูกเรียกด้วยสมญานามว่า ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ พวกท่านคงรู้ว่านักพรตซู่เหยียนมีร่างหยินบริสุทธิ์ อายุได้หนึ่งร้อยสิบกว่าปีก็บรรลุระดับก่อแก่นปราณแล้ว แต่พวกท่านรู้กันไหมว่านักพรตชิงเฉิงถึงระดับก่อแก่นปราณตอนอายุเท่าใด”
“เท่าใด” ผู้คนทั้งหมดประสานเสียงถามออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ลูกศิษย์ของพรรคเหยากวงทำท่าทางชูนิ้วโป้งและนิ้วก้อยขึ้นมา ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “หกสิบสามปี”
“โอ้…” ชั่วเวลาขณะนั้นผู้คนรอบข้างต่างตกใจอ้าปากค้าง
ผู้หนึ่งถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “สวรรค์ เร็วกว่านักพรตลั่วหยางของพรรคท่านที่บรรลุระดับก่อแก่นปราณตอนอายุหกสิบเก้าปีอีกหรือนี่”
ขณะนั้นลูกศิษย์ของพรรคเหยากวงอีกคนหนึ่งก็หยิบผลไม้วิญญาณเดินเข้ามา ยิ้มตอบว่า “ผิดแล้ว ตอนนี้ควรพูดว่า ‘ลั่วหยางเจินจวิน’ ต่างหากเล่า”
ฝูงชนทั้งหลายต่างตกอยู่ในสภาวะแข็งค้าง ตอนวัยเยาว์ชื่อเสียงของเยี่ยเทียนหยวนราวกับเสียงร้องของนกนางแอ่น พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาเหล่านี้ถึงแม้ไร้วาสนาจะได้พบ แต่กลับได้ยินคำเล่าขานซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้เพียงว่าตอนนี้อายุของเขายังไม่ถึงสองร้อยปีด้วยซ้ำ คาดไม่ถึงว่าขึ้นสู่ระดับก่อกำเนิดแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องน่าอิจฉาจนกู่ไม่กลับแล้ว
ศิษย์ของพรรคเหยากวงคนก่อนหน้านี้หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “พูดถึงลั่วหยางเจินจวิน คงไม่พูดถึงเรื่องตำนานความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างลั่วหยางเจินจวินและสองโฉมสะคราญชิงชิงที่ทำให้ผู้คนต่างซาบซึ้งจนน้ำตาไหลไม่ได้เสียแล้ว ในปีนั้น…”
ผู้คนต่างลำคอตั้งตรง ใจจดใจจ่อยิ่งกว่าฟังผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเทศนาเสียอีก ในแววตามีดวงไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นลุกโชนและเผาไหม้แรงขึ้นเรื่อยๆ
ลูกศิษย์ของพรรคเหยากวงที่อยู่ด้านหลังซับเหงื่อตัวเองช้าๆ ศิษย์น้อง เจ้านินทาเรื่องความรักของท่านเจินจวินและนักพรตทั้งสองท่านเช่นนี้ จะไม่มีปัญหาตามมาใช่หรือไม่
…
มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอที่หามุมสงบเจอแล้วก็หยุดอยู่กับที่ ในเวลาเดียวกันต่างเช็ดเหงื่อของตัวเอง แล้วสบตายิ้มให้กัน
มั่วชิงเฉินเริ่มเปิดปากพูดก่อน “ชิงเกอ ยินดีกับเจ้าด้วยที่หลอมแก่นทองคำได้แล้ว”
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียร น้อยมากที่จะเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณแล้วกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างแล้วฐานะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะต้วนชิงเกอบรรลุระดับก่อแก่นปราณได้อย่างราบรื่น เทียบกับมั่วชิงเฉินที่ก้าวหน้าเพียงเลื่อนระดับขั้นเล็กๆ นับว่าสำคัญกว่ามาก
หากในวันนี้นางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน มีทักษะการรักษาล้ำเลิศแล้วอย่างไร มีหน้าตาที่โดดเด่นแล้วอย่างไร ตำแหน่งผู้บำเพ็ญเพียรโฉมงามอันดับหนึ่งคงไม่ตกเป็นของนางแน่นอน
ถึงแม้ต้วนซิงเกอมีนิสัยไม่ยินดียินร้ายกับลาภยศหรือคำสรรเสริญใด อีกทั้งหลายปีมานี้ไม่ได้พบกับสหายที่ดีที่สุดมานาน จึงยากจะไม่แสดงสีหน้าดีใจออกมา นางดึงมือของมั่วชิงเฉินแล้วพูดว่า “ชิงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว หลายปีมานี้ พวกเรา…”
พูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก นางเม้มปาก ข่มน้ำตาใสที่เอ่อล้นเอาไว้
มั่วชิงเฉินเปลี่ยนมาจับแขนของต้วนชิงเกอแทน “ชิงเกอ ทำให้พวกเจ้าคิดถึงแล้ว จริงสิ หลีลั่วละ”
“หลายปีมานี้หลีลั่วล้มเหลวในการบรรลุสู่ระดับก่อแก่นปราณ ตอนนี้ก็กักตนเป็นครั้งที่สองแล้ว ก่อนที่นางจะกักตนยังกำชับข้าว่า ไม่ว่านางจะออกมาหรือไม่ ขอเพียงเจ้ากลับมาให้ส่งยันต์ส่งสารให้นาง เช่นนั้นแล้วนางจะมาหาเจ้าทันที” ต้วนชิงเกอถอนหายใจเบาๆ
มั่วหลีลั่วอายุมากกว่ามั่วชิงเฉินแปดปี ตอนนี้อายุยังไม่ถึงหนึ่งร้อยสามสิบปี ด้วยคุณสมบัติของนาง การบรรลุระดับก่อแก่นปราณยังคงมีความเป็นไปได้สูงมาก
มั่วชิงเฉินพอรู้ว่านางกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรก็ค่อยๆ วางใจลง เพียงรอนางออกมา ค่อยหาโอกาสไปบอกเรื่องที่ได้พบกับบรรพบุรุษสกุลมั่วที่เกาะเสี้ยวจันทร์ในดินแดนทั้งสิบฝั่งตะวันออก
ต้วนชิงเกอรู้ว่ามั่วชิงเฉินกำลังกังวลเรื่องของใครผู้ใดอยู่ จึงขยับปากพูดออกไปว่า “ชิงเฉินเจ้ารู้หรือไม่ว่าเฉินเจียวซิ่งกับซย่าเหยี่ยนเพิ่งแต่งงานกันช่วงต้นปีมานี้”
“ว่าอย่างไรนะ” มั่วชิงเฉินตกใจ รีบถามกลับว่า “ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในพรรคหรือไม่ แล้วตอนนี้พลังยุทธ์อยู่ระดับใดแล้ว”
ต้วนชิงเกอตอบ “ชย่าเหยียนอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นปลายแล้ว ส่วนเฉินเจียวซิ่งปีนั้นที่อยู่ระดับสร้างรากฐานเจออุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญเพียรได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอด ตอนนี้อยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นปลายแล้ว หลังจากที่นักพรต มาร ปีศาจยุติสงครามลง พวกเขาออกไปท่องยุทธภพด้วยกัน พิธีบำเพ็ญเพียรคู่ของนักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าว ถึงแม้จะไม่มา แต่ก็ฝากคนส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้”
เสี่ยวซย่ามีนิสัยเด็ดเดี่ยว ซื่อสัตย์ และจริงใจ เฉินเจียวซิ่งมีรากวิญญาณคู่ชั้นยอด พวกเข้าสามารถบรรลุระดับสร้างรากฐานขั้นปลายได้อย่างราบรื่น กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานได้อย่างเชิดหน้าชูตา มั่วชิงเฉินไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด การที่พวกเขาแต่งงานกัน นับว่าเป็นไปตามคาด
เฉินเจียวซิ่งในตอนนั้น เพราะความหึงหวงเสี่ยวซย่าอย่างมาก จึงวิ่งมาหาเรื่องกับนาง ความจริงคนนอกมองเหตุการณ์ออกตั้งแต่แรกเเล้ว นางที่เป็นผู้ชมอยู่ด้านข้างก็รู้ตั้งนานแล้ว ยามที่เสี่ยวซย่าพูดเรื่องเฉินเจียวซิ่งขึ้นมา ในสายตาก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยความโอนอ่อนทั้งนั้น เท่านี้ก็อ่านใจของเขาออกหมดแล้ว