พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 494-2 มุ่งหน้าสู่สำนักลั่วสยา
นางมีนิสัยไม่ชอบผูกมัด แต่ก็เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูง ในเมื่อรับตู้รั่วไว้เป็นศิษย์แล้วก็มิสามารถปฏิบัติแบบไม่ตั้งใจเพื่อถ่วงเวลาเขาไว้ได้ เพราะการบำเพ็ญเพียรของตู้รั่วนางจึงมิสามารถพาเขาไปด้วยได้ แต่ถ้าหากทิ้งไว้ที่เขาลั่วเถา ข้างกายเขาก็จะมีแต่พี่สิบสี่ เหลียงเฉินและเหม่ยจิ่ง ซึ่งมิได้ช่วยในการบำเพ็ญเพียรของเขาเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีคิดว่าจะให้เยี่ยเทียนหยวนช่วยอบรมเขา ทว่าพวกนางยังมิได้แต่งงานกันจะให้ช่วยได้อย่างไร อีกทั้งนางยังคิดว่าคนเย็นชาและพูดน้อยกับคนนิ่งเงียบสงวนท่าที ถ้าหากว่ามารวมกันเกรงว่าจะมิได้ช่วยอะไร
ดังนั้นฝากเด็กคนนั้นไว้กับท่านอาจารย์จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ที่จริงแล้วยังมีเรื่องหนึ่งที่นางไม่ได้กล่าว เมื่อครู่ที่เหยียบลงในเขาป่าไผ่ เห็นเงาร่างของท่านอาจารย์โน้มเอวเก็บสมุนไพรแล้ว นางรู้สึกว่าช่างดูโดดเดี่ยวอยากบอกไม่ถูก ไม่นึกเลยว่าก่อนหน้านี้นางจะไม่เคยสังเกต
มั่วชิงเฉินที่กำลังรอคำตอบของกู้หลี พลันได้ยินฮึออกมาจากต้าฮวาและถลึงตามองนางอย่างดุร้าย
มั่วชิงเฉินยกมุมปากขึ้น เจ้าเสืออ้วนตัวนี้ยังคงเหมือนเดิม เพียงแค่ได้ยินผู้อื่นเข้าใกล้ท่านอาจารย์ก็ทำหน้าไม่เป็นมิตร
กู้หลีตบศีรษะของต้าฮวาเบาๆ เขาตอบยิ้มๆ “ได้”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์” มั่วชิงเฉินถอนหายใจโล่งอก
…
ณ ถ้ำพำนักของเสวียนหั่วเจินจวิน
เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกมึนงงหลังจากได้ยินคำพูดของเสวียนหั่วเจินจวิน
เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดตบไหล่ของเยี่ยเทียนหยวน “เจ้าเด็กเขลา เจ้างงเรื่องอันใดกัน รีบเก็บของเตรียมย้ายบ้านสิ”
เยี่ยเทียนหยวนสูดหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่านเทียด เหตุใดเทียนหยวนถึงต้องย้ายไปเขารั่วสุ่ยหรือ”
เสวียนหั่วเจินจวินพยายามอย่างยิ่งที่จะทำสีหน้าจริงจัง จากนั้นพูดช้าๆ “เดิมทีหรูอี้เจินจวินดับสูญ เขารั่วสุ่ยจึงไม่มีเจ้าปกครอง ควรตกเป็นของเหอกวงเจินจวิน แต่อยู่ๆ เจินจวินผู้รักษาก็มอบตำแหน่งนี้ให้กับหลิวซางเจินจวิน ซึ่งออกจากเขาไปทัศนาจร หลิวซางเจินจวินก็อยากจะย้ายมาที่เขาโฮ่วเต๋อ เช่นนี้ตำแหน่ง ณ เขาชิงมู่จึงว่างอยู่ เหอกวงเจินจวินที่เป็นศิษย์ของเขาชิงมู่จึงรับตำแหน่งไว้ ดังสุภาษิตที่ว่ามาเร็วก็มิสู้มาถูกเวลา ตอนนี้เขารั่วสุ่ยมิมีเจ้าปกครอง เจ้าเองก็เป็นผู้บำเพ็ญพียรระดับก่อกำเนิด ถ้าเจ้าไม่ไปแล้วใครจะไปเล่า”
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าดำคล้ำอยู่ภายใน ท่านเทียด ท่านอธิบายหน่อยได้หรือไม่ว่าทำไมท่านถึงได้มีท่าทีตื่นเต้นเช่นนั้น
“ท่านเทียด หลังจากพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ระหว่างลั่วหยางและมั่วชิงเฉินสิ้นสุดลง ข้าวางแผนบำเพ็ญตบะเป็นเวลานาน รอจนข้าบำเพ็ญตบะเสร็จสิ้นค่อยหารือกันเถิด” เยี่ยเทียนหยวนกำหมัดแน่นพลางตอบเสียงแผ่ว
เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดไปมา “มิได้หรอก ระดับก่อกำเนิดแต่กลับเทียมเสมอระดับก่อแก่นปราณ อาศัยอยู่ด้วยกันคงไม่ดีนัก”
พูดจบก็มองเห็นเยี่ยเทียนหยวนมีสีหน้าดำคล้ำยิ่งขึ้นก็ยิ่งพอใจ เจ้าเด็กโง่ สอนให้เจ้าทำหน้าน่ารังเกียจใส่สตรีมาตั้งแต่เด็ก ถามถึงหลานสะใภ้ก็ไม่ได้ รอเจ้าย้ายไปเขารั่วสุ่ยแล้วรอบกายรายล้อมไปด้วยแม่นางน้อยมากมายก่อนเถิด อยากรู้นักว่าเจ้าจะทำเยี่ยงไร
เยี่ยเทียนหยวนมองเสวียนหั่วเจินจวินที่ดูท่าทางพอใจอย่างมากพลันรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา เขากำหมัดแน่นและเอ่ย “ลั่วหยางขอตัวก่อน ส่วนเรื่องย้ายบ้านนั้น เอาไว้หารือกันหลังจากพิธีบำเพ็ญเพียรคู่เถิด”
กล่าวจบก็มิรอให้เสวียนหั่วเจินจวินตอบกลับมา เขาหมุนตัวและเหาะออกไปด้วยความเร็วสูง
มองเห็นแผ่นหลังของเยี่ยเทียนหยวน เสวียนหั่วเจินจวินก็ได้แต่ยิ้มพลางส่ายหัว เขาพึมพำ “เจ้าเด็กเขลานี่ คนเขลาก็มีวาสนาของคนเขลาจริงๆ กายหยางบริสุทธิ์และเพลิงวาสนาตะวันเป็นสิ่งที่พบได้ยาก หมื่นปีจะพบได้สักครั้ง ใครที่ได้ครอบครองนับว่าโชคดี ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าหากของทั้งสองนี้ปรากฏขึ้นบนกายคนผู้เดียว นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีนัก”
กายหยางบริสุทธิ์และเพลิงวาสนาตะวันนั้นรุนแรงดั่งหยาง บุรุษผู้ใดได้ครอบครองสิ่งหนึ่งนั้นถือว่าโชคดียิ่ง ทว่าได้ครอบครองทั้งสองนั้นมิใช่สิ่งที่กายมนุษย์จักรับไหว แรกเริ่มนั้นยังมองมิออกว่ามันเป็นอันตราย จะมีก็แต่การบำเพ็ญเพียรคืบหน้าไปมากกว่าคนอื่นอยู่ไม่น้อย แต่มิว่าจะเป็นระดับก่อแก่นปราณหรือระดับก่อกำเนิดก็ล้วนแล้วต้องตกอยู่ในอันตรายกว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ นี่คือสาเหตุที่เมื่อปีนั้นเขากำชับให้เยี่ยเทียนหยวนในระดับก่อแก่นปราณกลับไปที่เหยากวง
ในช่วงระดับก่อแก่นปราณเขาอาจจะอาศัยพลังของตัวเองแอบช่วยเยี่ยเทียนหยวน และได้แต่หวังว่าเยี่ยเทียนหยวนจะไม่บรรลุถึงขั้นระดับก่อกำเนิด
หากเยี่ยเทียนหยวนที่เป็นกายหยางบริสุทธิ์และมีเพลิงวาสนาตะวันบรรลุระดับก่อกำเนิด ความน่าจะเป็นที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดก็แค่กายระเบิดจนดับสูญ!
นี่คือเหตุผลที่เสวียนหั่วเจินจวินใช้เวทพิเศษ เพื่อซ่อนเร้นเพลิงวาสนาตะวันในกายของเขาตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนหยวนยังเด็ก ทุกคนในพรรคเหยากวงต่างทราบดีว่าเยี่ยเทียนหยวนมีพรสวรรค์คือกายหยางบริสุทธิ์ แต่มิทราบว่ามีไฟมหัศจรรย์นั่น รวมถึงเยี่ยเทียนหยวนที่มิได้รับรู้ถึงอันตรายจากการบรรลุระดับก่อกำเนิด
เสวียนหั่วเจินจวินวุ่นอยู่กับการหาคู่ครองให้กับเยี่ยเทียนหยวนมาตลอด ก็เพื่อหวังว่าจะถ่วงเวลาบำเพ็ญเพียรของเขาได้ ถึงขั้นมอบนาม ‘ลั่วหยาง’ ให้แก่เขาก็เพื่อสยบปราณหยาง
ปีก่อนเมื่อทราบว่าต้วนชิงเกอแห่งเขารั่วสุ่ยเป็นร่างของหยินบริสุทธิ์ก็รอแทบไม่ไหวที่จะไปสู่ขอ เพื่อปรารถนาจะให้ร่างหยินบริสุทธิ์ของฝ่ายหญิงช่วยคลายหยางบริสุทธิ์อันเป็นปราณแห่งแก่นแท้ของเขา นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะปฏิเสธทันทีและยึดติดอยู่กับนางหนูชิงเฉินแห่งเขาชิงมู่
นึกมาถึงตรงนี้เสวียนหั่วเจินจวินก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาพึมพำ “ลั่วหยางใช้เวลาเพียงเจ็ดปีก็บรรลุระดับก่อกำเนิดจากระดับก่อแก่นปราณ อีกทั้งยังหลีกเลี่ยงอันตรายจากกายระเบิดจนดับสูญและบรรลุเป็นระดับก่อกำเนิดได้สำเร็จ หากจะกล่าวว่าเป็นเพราะโชคชะตาก็คงจะเกินจริง หรือว่ากุญแจสำคัญของทุกสิ่งนี้คือนางหนูชิงเฉิน”
มั่วชิงเฉินใช้ปัญญาจากรากวิญญาณทั้งสี่ก็บรรลุระดับสร้างรากฐานตอนอายุยี่สิบสองปี เมื่ออายุหกสิบปีก็เลื่อนไประดับก่อแก่นปราณ หากจะกล่าวว่าอาศัยความอุตสาหะและอาจารย์ที่ดี เกรงว่าจะมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรพรรคเหยากวงระดับต่ำเท่านั้นที่เชื่อ
ทว่าหนทางแห่งสวรรค์นั้นยากจะคาดเดา บางคราจังหวะก็สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านี้ต่างทราบเรื่องนี้ดีและไม่ได้กล่าวมันออกมา แต่ตอนนี้เกรงว่าโอกาสของนางหนูชิงเฉินจะมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก ถึงขนาดสามารถกำจัดอันตรายจากหยางคู่ในกายของลั่วหยางได้ หรือว่า…
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เสวียนหั่วเจินจวินก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
…
ณ เขาป่าไผ่
กู้หลีกำลังฟังมั่วชิงเฉินยรรยายถึงประสบการณ์จากดินแดนทั้งสิบฝั่งตะวันออกอย่างตั้งใจ จู่ๆ ก็ยกมือร่ายเคล็ดวิญญาณ จากนั้นยิ้มให้มั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้องลั่วหยางมาแล้ว”
ทางเล็กๆ ในป่าไผ่เปิดออกช้าๆ เยี่ยเทียนหยวนมาตามที่คิดเอาไว้จริงๆ
“ศิษย์พี่เหอกวง ลั่วหยางมาช้าไปแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนยืนนิ่งและยกมือขึ้นกอบหมัดคารวะกู้หลี
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นเดียวกัน แต่กู้หลีเป็นอาจารย์ของมั่วชิงเฉิน เช่นนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ากู้หลี เยี่ยเทียนหยวนที่อยากจะแต่งงานกับมั่วชิงเฉินจึงต้องเคารพเขามากกว่าคนอื่น
“ศิษย์น้องลั่วหยางมิต้องมากพิธี เชิญนั่ง” กู้หลีพูดจบก็ยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้น มือหนึ่งกดแขนเสื้อกว้างเอาไว้แล้วรินชาลงในถ้วยด้วยท่าทีสง่างาม