พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 494-3 มุ่งหน้าสู่สำนักลั่วสยา
สายตาของเยี่ยเทียนหยวนจ้องลงไปยังไข่มุกสีม่วงตรงข้อมือของกู้หลี
“ศิษย์น้องลั่วหยาง เชิญท่านดื่มชา” กู้หลียักยิ้มมุมปาก เขาเลื่อนถ้วยชาออกไป
เยี่ยเทียนหยวนเก็บสายตา ยกถ้วยชาขึ้นแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด
มั่วชิงเฉินลูบหน้าผาก เทียนหยวน นี่มันชามิใช่สุรา เจ้าดื่มเร็วขนาดนั้นมิร้อนหรือไร
เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ช่างเป็นชาที่ดี”
กู้หลียิ้มและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
กู้หลีพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของเทียนหยวนในหลายปีมานี้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่น ควรให้ความสนใจกับสิ่งใด ส่วนชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนก็พูดถึงสิ่งต่างๆ ในดินแดนทั้งสิบฝั่งตะวันออกจนล่วงเลยเวลาโดยไม่รู้ตัว
เห็นแผ่นหลังของทั้งสองจากไปด้วยกัน กู้หลีหันหลังเดินไปยังน้ำตกหลังเรือนไผ่ จากนั้นกวัดแกว่งกระบี่ชิงมู่เริงระบำ
…
“เทียนหยวน เจ้าว่าหลิวซางเจินจวินสั่งให้เจ้าย้ายไปที่เขารั่วสุ่ย แล้วเสวียนหั่วเจินวจวินก็จะไล่เจ้าไปเสียวันนี้เลยหรือ” เมื่อมั่วชิงเฉินฟังจบก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าอย่างจนใจ เห็นมั่วชิงเฉินยิ้มออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็อดโกรธมิได้ เขาใช้แรงคว้าตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นพูดใกล้ๆ ใบหู “ชิงเฉิน เจ้าล้อข้าเล่นหรือ”
มั่วชิงเฉินที่ถูกเขากอดจนหายใจไม่ออก นางผลักเขาออก ยิ้มบางๆ พลางพูดออกมา “ใครล้อเจ้ากัน เข้าไปอยู่ในเขารั่วสุ่ยไม่ดีตรงไหนหรือ เจ้าเป็นถึงเจินจวินระดับก่อกำเนิดแต่กลับกลัวแม่นางน้อยเหล่านั้นหรือ”
“มิได้กลัว ข้าเพียงแค่ไม่ชอบสภาพแวดล้อมเช่นนั้น” เยี่ยเทียนหยวนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ตอบออกมาตามตรง
มั่วชิงเฉินมิได้ล้อเลียนเขาต่อ นางบอกเขาเรื่องที่นางจะจากไปพรุ่งนี้ เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว จากนั้นกล่าว “ข้าไปกับเจ้าด้วยดีหรือไม่”
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าแค่จะไปพบพี่เก้า ไม่ได้จะไปทะเลาะกับใคร ข้าไปคนเดียวก็พอ อีกอย่างข้ามีเรื่องจะต้องพูดกับพี่เก้า จึงอยากจะแอบไปพบเสียหน่อย ตอนนี้เจ้าเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว หากไปพรรคอื่นเกรงว่าเรื่องจะยิ่งยุ่งยาก”
เยี่ยเทียนหยวนรู้ดีว่าที่มั่วชิงเฉินพูดมาก็ถูก จึงทำได้เพียงพยักหน้าและกำชับให้นางระวังตัวให้มาก
มั่วชิงเฉินพูดยิ้มๆ “เมื่อก่อนไม่เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมตอนนี้กลับไปที่พรรคมาแล้วถึงได้วิตกกังวลเช่นนี้ วางใจเถิด ว่าที่เจ้าสาวอย่างข้าไม่หนีหรอก”
เห็นใบหน้ายิ้มแย้มดุจดอกไม้ของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนก็จับมือนางไว้จนแน่น เขาพูดเสียงต่ำ “แค่คิดว่าสามเดือนจากนี้เราจะได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ เวลานี้คงจะใจเย็นลงไม่ได้”
ยิ่งอยากได้ก็ยิ่งกลัวอุบัติเหตุ ถึงเขาจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงความเป็นไปของมนุษย์
ได้ยินน้ำเสียงสงบของเขา มั่วชิงเฉินก็ซบศีรษะลงบนอกของเขาและกระซิบเบาๆ “ข้ามิกังวลหรอก พวกเราเป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว”
ถ้าหากนางลังเลใจตั้งแต่แรก ก็คงจะไม่มอบกายให้แก่เขา
ดวงตาของเยี่ยเทียนหยวนเป็นประกายขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็อุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นจนนางตกใจ
“เยี่ยเทียนหยวน เจ้าปล่อยข้าลงนะ ที่นี่คือเขาลั่วเถา!”
แต่เยี่ยเทียนหยวนกลับอุ้มนางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในส่วนลึกของป่าท้อ
มั่วชิงเฉินรวบรวบกำลังผลักเขา “เยี่ยเทียนหยวน เจ้าอย่ามาทำซี้ซั้วนะ”
ถ้าเกิดว่าพี่สิบสี่รู้เข้า…
เยี่ยเทียนหยวนวางมั่วชิงเฉินลงบนผืนดินที่มีกลีบดอกท้อปกคลุมอยู่หนาเบาๆ ร่างทั้งร่างทาบทับลงไป ตรึงแขนขาของนางที่ดิ้นไปมาเอาไว้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า”สร้างม่านบังตาไว้แล้ว มิมีผู้ใดรู้หรอก”
“นะ…นั่นมันก็ไม่ดี…” นางคิดว่าใกล้จะแต่งงานแล้ว แต่คนทั้งคู่ยังคงวุ่นวายกันอยู่ในที่พำนัก มันก็ออกจะประหลาดไปเสียหน่อย
เยี่ยเทียนหยวนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงข่มกลั้น “ชิงเฉิน เจ้าไม่ต้องการข้าหรือ พรุ่งนี้เจ้าก็จะออกจากเขาแล้ว”
เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของเขาที่มีริ้วสีแดงพาดผ่าน ดวงตาประหนึ่งมีคลื่นสีทะมึนโหมกระหน่ำ มั่วชิงเฉินกัดปาก มิได้ส่งเสียงใดออกมา
ความเงียบในตอนนี้คือการปลุกเร้า เยี่ยเทียนหยวนใช้ปลายนิ้วลากไปตามคิ้วเรียวของมั่วชิงเฉิน สัมผัสจากริมฝีปากล้ำลึกประทับอยู่บนร่างของนาง
…
หลังจากร่ำลาเยี่ยเทียนหยวน ฝากฝังตู้รั่ว มั่วชิงเฉินก็ไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อรายงาน จากนั้นก็เหยียบลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งเพื่อออกไปจากเหยากวง มุ่งหน้าไปยังสำนักลั่วสยา
นางเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย ความเร็วของไหมเกล็ดน้ำแข็งเร็วขึ้นไม่น้อยตามระดับของนาง ถ้าหากว่าไม่หยุดพักก็จะถึงที่สำนักลั่วสยาได้ภายในเวลาครึ่งเดือน
ยิ่งเข้าใกล้เทือกเขาหมิงสยามากเท่าใด มั่วชิงเฉินก็ยิ่งรู้สึกได้ว่ามารบำเพ็ญเพียรและปีศาจบำเพ็ญเพียรมีมากขึ้น เมื่อผ่านตลาดที่ถูกอำพรางไว้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะรู้สึกว่าพรต มาร และปีศาจจะรวมตัวกันเพื่อทำธุรกิจอย่างสงบ
ดินแดนเทียนหยวนช่างแตกต่างไปจากเมื่อก่อนจริงๆ
มั่วชิงเฉินถอนหายใจจากนั้นร่อนลงเงียบๆ นางอยากจะรู้นักว่าตลาดที่ทั้งพรต มารและปีศาจอาศัยอยู่รวมกันจะเป็นเช่นไร
นางเก็บฐานะผู้บำเพ็ญเพียรและปิดบังรูปลักษณ์ของตน มั่วชิงเฉินค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปในตลาด ทุกครั้งที่เห็นซุ้มขายของของมารบำเพ็ญเพียรหรือว่าปีศาจบำเพ็ญเพียร นางจำต้องหยุดดูทุกครา นางรู้สึกว่าสินค้าของพวกเขาต่างกับของผู้บำเพ็ญเพียรพรตอยู่มาก ที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดเห็นจะเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรที่ขายมุกปีศาจและวัตถุดิบล้ำค่าบนกายของอสูรปีศาจ
หลังจากเลือกซื้อสินค้าและเดินได้ประมาณหนึ่งแล้ว มั่วชิงเฉินก็ออกไปจากตลาดอย่างเงียบๆ
หลังจากออกจากตลาดนางก็เรียกไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา ในตอนที่กำลังจะเหยียบลงไปนางก็ลอยอยู่กลางอากาศ มองไปข้างล่างพลางพูดเสียงเรียบ “ออกมาเถิด”
ร่างสองร่างค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา
“พี่ชาย เด็กคนนี้ช่างฉลาดยิ่งนัก!” ผู้พูดคือผู้บำเพ็ญเพียรพรตระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง
ส่วนอีกคนหนึ่งคือมารบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานขั้นปลาย เขาได้ยินแล้วก็มองไปทางคนนั้น “พล่ามสิ่งใด จัดการให้เรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน”
มั่วชิงเฉินมิได้ชอบกลุ่มคนประเภทนี้นัก เมื่อปีนั้นที่เจินจวินทั้งสี่ท่านระเบิดตันเถียน เพื่อเสียสละโอกาสเกิดใหม่และมอบโอกาสให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรพรตนับหมื่นนับพันคน ถึงจะไม่สามารถสังหารเจ้าปีศาจเพื่อล้างแค้นได้ ทว่าก็มิควรเป็นเช่นนี้ พรตและมารสมคบคิดกันเสียแล้ว
ทั้งสองเดินเข้าใกล้มั่วชิงเฉินช้าๆ ผู้บำเพ็ญเพียรพรตถือมีดปลายแหลมยิ้มพลางเอ่ยออกมา “วางใจเถิดแม่นาง พวกเราแค่ปล้นเงิน มิได้ปล้นกาม”
มือของมั่วชิงเฉินมีแสงสว่างเพียงแวบเดียวก็ปรากฏก้อนอิฐสีทองแวววาว นางโยนมันในมือไปมา จากนั้นก็ขว้างออกไป “พวกเจ้าเองก็วางใจเถิด ตัวข้าก็แค่ตีให้มึน มิได้จะฆ่าใคร”
เสียงโครมครามดังขึ้นหนึ่งครา ทั้งสองก็ล้มลงกับพื้น มั่วชิงเฉินเก็บก้อนอิฐกลับไป กวักมือคราเดียวถุงเก็บวัตถุของทั้งสองก็ลอยเข้ามาที่มือของนาง นางหันหลังเตรียมจะไปแต่กลับพบว่าจิตสัมผัสของใครสักคนกำลังสำรวจที่นี่
มั่วชิงเฉินปลดปล่อยจิตสัมผัสออกมาอย่างเงียบเชียบ แต่แล้วก็ต้องตกตะลึง