พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 502 ทายาทของเฉาเฟิง
เมฆสีขาวบนท้องฟ้าเริ่มก่อตัวเป็นกลุ่มควันสีขาวไร้รูปร่าง เมื่อท้องฟ้าปลอดโปร่งขอบเขตแผ่นดินก็ค่อยๆ เลือนราง ไม่ช้าก็กลายเป็นเพียงมวลอากาศ ทันใดนั้นศิลาจารึกก็ปรากฏขึ้น
หลัวอวี้เฉิงแสดงท่าทีให้หมาป่าน้อยพามั่วชิงเฉินออกห่าง แล้วตนก็เดินเข้าไปใกล้ศิลาจารึก
เขามองศิลาจารึกอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็วางมือขวาลงบนศิลาจารึก
ข้อมูลจำนวนมากหลั่งไหลเข้าภายในหัว จากนั้นศิลาจารึกก็ส่องแสงสีขาว และกลายเป็นมุกสีเขียวและสีแดงรวมสองเม็ด
หลัวอวี้เฉิงมองมุกสองเม็ดนั้นด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก
ความรู้สึกอันว่องไวของมั่วชิงเฉินรู้สึกได้ถึงอันตรายที่น้อยลง ท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ได้จึงถามออกมา “สหายหลัว เกิดเรื่องอันใดขึ้น ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันหรือ”
หลัวอวี้เฉิงเดินเข้าไปข้างกายของมั่วชิงเฉินพลางกล่าว “แท้จริงแล้วพวกเราคาดการณ์ผิดมาตั้งแต่ต้น ที่นี่ไม่ใช่มิติประหลาด”
มั่วชิงเฉินงงงัน “ไม่ใช่หรือ พวกเราอยู่บนดินแดนเทียนหยวนมาโดยตลอดเช่นนั้นหรือ”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิด” หลัวอวี้เฉิงตอบ
มั่วชิงเฉินกัดฟัน “หลัวอวี้เฉิง เจ้าอย่ามัวเก็บงำเช่นนี้ รีบบอกข้ามาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เจ้ารังแกคนตาบอดหรือ”
ไม่รู้เพราะเหตุใดหลัวอวี้เฉิงถึงไม่มีความคิดที่จะโต้คารม เพียงแค่พูดออกมาอย่างราบเรียบ “หลังจากพวกเราปลิดชีพครึ่งปีศาจแล้ว ที่นี่ก็กลายเป็นมวลอากาศและมีศิลาจารึกก้อนหนึ่งปรากฏขึ้น บนศิลาจารึกบันทึกความเคียดแค้นของครึ่งปีศาจ รวมถึงความทรงจำไร้สาระจำนวนหนึ่ง”
“ความเคียดแค้นของครึ่งปีศาจหรือ”
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า “อืม หมายความว่าพวกเราตกลงมาในหลุมดำ มิใช่มิติประหลาดดั่งที่พวกเราคิด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นมิติว่างเปล่าที่ความเคียดแค้นของครึ่งปีศาจสร้างขึ้น ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงยังคงอยู่ที่เดิม ไม่เคยออกไปจากดินแดนเทียนหยวนจริงๆ”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเหลือเชื่อ นางพูดพึมพำ “ความเคียดแค้นของครึ่งปีศาจสามารถสร้างมิติว่างเปล่าได้หรือ เหตุใดเจ้าครึ่งปีศาจตนนั้นถึงได้…”
“เหตุใดถึงได้อ่อนแอหรือ” หลัวอวี้เฉิงพูดต่อ
“อืม” มั่วชิงเฉินพยักหน้า
แม้ว่าครึ่งปีศาจตนนั้น จะถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์หนึ่งคนและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายกึ่งพิการหนึ่งคนร่วมมือกันกำจัด แต่ถ้าหากอาศัยเพียงแค่ความเคียดแค้นก็สามารถสร้างมิติว่างเปล่าได้ เช่นนั้นแล้วพลังของเขาอย่างน้อยก็สูงกว่าระดับก่อกำเนิด
หลัวอวี้เฉิงกวาดตามองมุกสีแดงที่ปรากฏอยู่บนศิลาจารึกพลางเอ่ย “เป็นเพราะครึ่งปีศาจตนนั้นมิใช่ครึ่งปีศาจที่แท้จริง เป็นเพียงสิ่งที่ความเคียดแค้นสร้างขึ้น อีกทั้งมิทราบว่าผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว ความเคียดแค้นถึงได้จางลงไป”
“ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้ เช่นนั้นแล้วสหายหลัว เจ้ารู้อะไรจากศิลาจารึกอีกหรือ” มั่วชิงเฉินใจสงบลง นางถามยิ้มๆ
หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว “เพียงแค่เหล่าความทรงจำยุ่งเหยิง นำมารวมกันแล้วได้ใจความว่า ครึ่งปีศาจตนนี้ชื่อจั้วหลิน บิดาของเขาคือหลงซานจื่อ ทายาทของเฉาเฟิง มารดาเป็นมนุษย์ ทั้งสองให้กำเนิดฝาแฝดชายคู่หนึ่ง พี่ชายของเขาสืบทอดสายเลือดของบิดา และกลายเป็นปีศาจสูงศักดิ์ผู้มีสายเลือดมังกร แต่มันกลับไม่ใช่ทั้งเผ่าปีศาจหรือว่ามนุษย์ กลายเป็นครึ่งปีศาจครึ่งมนุษย์ที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ปีศาจที่ชื่อจั้วหลินตนนี้น่าจะเกลียดพี่ชายฝาแฝดของมันจนเป็นบ้า สถานที่พวกมันต่อสู้กันก็คือสถานที่ที่เจ้ากับฮวาเชียนซู่ต่อสู้กัน ก่อนที่มันจะตายในการต่อสู้ครั้งนั้น มันได้ใช้ความเคียดแค้นก่อให้เกิดมิติว่างเปล่าและก็ได้ห่อหุ้มมุกที่เขาใช้เลือดหยาดสุดท้ายแลกมาเอาไว้”
มั่วชิงเฉินฟังอย่างตั้งใจพลางถอนหายใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าจะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้วมุกแลกลมหายใจคือสิ่งใดหรือ”
สายตาของหลัวอวี้เฉิงไม่ละไปจากมุกสีเขียวและสีแดงสองเม็ดนั้น เขากล่าว “หลังจากที่ข้าได้อ่านข้อมูลบนศิลาจารึกนั่นแล้ว ศิลาจารึกก็เปลี่ยนเป็นไร้รูปร่างและก็มีมุกหนึ่งคู่ปรากฏขึ้นมา มุกสีเขียวเม็ดนั้นคือมุกแลกลมหายใจ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ครึ่งปีศาจยึดมั่นที่สุดก่อนจะสิ้นลม ประโยชน์ของมันอธิบายไว้อย่างชัดเจนในห้วงทรงจำที่กระจัดกระจายเหล่านั้น ถ้าหากว่ามนุษย์หรือว่าปีศาจห้อยมุกแลกลมหายใจเอาไว้ จะสามารถเลียนแบบปราณของเผ่าปีศาจได้ เช่นนั้นแล้ว ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ในเผ่าปีศาจ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” มั่วชิงเฉินถอนหายใจ นางรู้สึกเห็นใจครึ่งปีศาจเล็กน้อย
เขาอาจจะเกลียดสวรรค์ เกลียดโลก เกลียดบิดามารดาที่ทำให้เขาเป็นตัวประหลาด และเกลียดพี่ชายที่เกิดมาพร้อมกันแต่กลับไม่ต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้มาก แต่ลึกๆ ในใจแล้ว ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขาคงจะเป็นเพียงการกลับบ้าน
หลัวอวี้เฉิงเห็นสีหน้าของมั่วชิงเฉินก็เข้าใจว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขายิ้มอย่างไม่คิดสิ่งใดตามด้วยพูดต่อ “มุกสีแดงอีกเม็ด เป็นมุกที่ความเคียดแค้นของครึ่งปีศาจสร้างขึ้นหลังจากมิติว่างเปล่าล่มสลาย” พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดลงครู่หนึ่งและกล่าวต่อ “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าหากหลอมมุกเม็ดนี้ ก็จะมีครึ่งปีศาจตนนั้นมาเป็นผู้ช่วย ครึ่งปีศาจตนนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง เพียงแค่อาศัยพลังยุทธ์ของผู้หลอม กำลังของมันเองก็จะพัฒนาขึ้น”
มั่วชิงเฉินฟังมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก นางถาม “สหายหลัว เจ้าพูดเช่นนี้…”
หลัวอวี้เฉิงยิ้มจางๆ “ในที่สุดพวกเราก็ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า ที่อธิบายเกี่ยวกับมุกสีเขียวและสีแดงสองเม็ดนี้ก็เพียงอยากจะดูว่าเจ้าจะต้องการเม็ดไหน”
“ทำไมหรือ” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วพลางถามอย่างงงงัน
“ทำไมอันใดหรือ” หลัวอวี้เฉิงหลบตาเพื่อปิดบังประกายในตา
มั่วชิงเฉินมองไปทางหลัวอวี้เฉิงตามความรู้สึก จากนั้นพูดอย่างตรงไปตรงมา “ครั้งนี้ที่ผ่านด่าน ส่วนใหญ่ก็เป็นคุณงามความดีของเจ้า ถ้าหากว่าต้องเลือก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เลือกก่อนเถิด”
หลัวอวี้เฉิงยิ้ม “คิดเช่นนี้ไม่ได้ ด่านสุดท้ายพวกเราล้วนผ่านไปไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะสมบัติวิเศษเจ้าชะตาของเจ้ายิงดวงอาทิตย์ลงมา เกรงว่าพวกเราในตอนนี้คงยังถูกขังอยู่แน่”
“แต่ถ้าหากไม่ได้ดวงจิตของเจ้าช่วย…”
ไม่ทันพูดจบก็ถูกหลัวอวี้เฉิงขัดขึ้นเสียก่อน “มากความเสียจริง ให้เจ้าเลือกเจ้าก็เลือกเสีย มิรู้ว่าสตรีล้วนมากความ น่ารำคาญหรือ”
แม้หน้าไร้ความอดทน แต่ในใจของเขากลับสูดหายใจลึกๆ
สตรีนางนี้เข้าใจหรือไม่เข้าใจกันแน่ การใช้ดวงจิตกันและกันนั้นเป็นเรื่องของคู่บำเพ็ญเพียร แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรจะมิได้ยึดมั่นในประเพณีดังเช่นมนุษย์ แต่ในเวลารีบร้อนก็ต้องใช้วิธีนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ เหตุใดถึงได้รู้สึกทุกข์ใจจากความละอายเล่า เรื่องเช่นนี้ปล่อยผ่านไปก็ได้ อีกทั้งนางยังอยากจะขอบคุณอย่างใจจริงอีกด้วย!
ใบหน้าของหลัวอวี้เฉิงเริ่มบึ้งตึง เขาสามารถจินตนาการได้ว่า ถ้าหากตนใช้โอกาสนี้รับไว้ หลังจากนั้นนางเข้าใจเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วในใจนางเขาจะเป็นคนชั่วช้าเพียงใดกัน!
นึกมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นเช่นไร หากวันหนึ่งนางนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใจคงรู้สึกแสลงใจขึ้นมา
มั่วชิงเฉินมองไม่เห็นสีหน้าของหลัวอวี้เฉิง จึงยิ่งไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดเช่นไร เห็นเขายังคงปากร้ายไม่เปลี่ยน ก็ได้แต่เบะปากแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากข้าปฏิเสธก็คงจะเสียมารยาทแล้ว เช่นนั้นข้าเลือกมุกสีแดง”
มองจากภายนอกแล้ว มุกสีแดงนำไปใช้ได้จริงกว่า มีผู้ช่วยเหมือนกับปีศาจระดับสูงหนึ่งตนที่สามารถเรียกหาได้ กำลังจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน แต่ได้ยินเรื่องราวของครึ่งปีศาจหลินแล้ว นางมีลางสังหรณ์ว่ามุกแลกลมหายใจสีเขียวเม็ดนั้นมีประโยชน์กว่า
แต่ไหนแต่ไรมามั่วชิงเฉินก็ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ถ้าหากว่านางลงแรงในการผ่านด่านครั้งนี้ไปมาก เช่นนั้นแล้วนางก็จะเลือกมุกสีเขียวอย่างไม่เกรงใจ แต่ตอนนี้นางคิดว่าเหลือมุกสีเขียวไว้ให้หลัวอวี้เฉิงนางจะสบายใจเสียกว่า
ทั้งสองคนมิใช่คนที่จะมองสิ่งต่างๆ แต่เพียงภายนอก หลัวอวี้เฉิงเห็นมั่วชิงเฉินเลือกมุกสีแดงจึงถามขึ้น “เจ้าแน่ใจหรือ”
“ใช่ สหายหลัว เจ้าไม่คิดว่าตัวเจ้าเองก็มากความหรือ” มั่วชิงเฉินย้อนถาม
หลัวอวี้เฉิงไม่พูดอะไรต่อ เขาโบกมือหนึ่งครามุกสองเม็ดก็ลอยเข้ามาอยู่ในฝ่ามือ ขณะนั้นมิติว่างเปล่าก็บิดเบี้ยว สองมนุษย์หนึ่งหมาป่าถูกแรงมหาศาลผลักออกไป
มั่วชิงเฉินตกลงบนพื้น ร่างทับอยู่บนตัวของหมาป่าน้อย นางปรับสภาพจิตใจให้สงบจากนั้นถาม “ออกมาแล้วใช่หรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงพินิจพิเคราะห์รอบๆ ปราณที่หลงเหลือจากการต่อสู้ระหว่างมั่วชิงเฉินและฮวาเชียนซู่หายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่ของวิเศษและคาถาทำไว้ยังคงอยู่ เขาลุกขึ้นและกล่าว “ออกมาแล้ว พวกเรายังคงอยู่ที่เดิม พวกเราไปที่ฟื้นฟูร่างกายในที่ลับตากันก่อนเถิด”
เขาทะยานขึ้นและกลายเป็นแสงหนึ่งสายพุ่งไปยังทิศหนึ่ง หมาป่าน้อยพามั่วชิงเฉินตามไปไม่ห่าง
จากนั้นก็เลือกสถานที่ลับตาและร่อนลงมา สะบัดมือหนึ่งคราวางค่ายกลม่านบังตา จากนั้นก็ยื่นมุกสีแดงออกไป “รับไปก่อนเถิด รอเจ้าฟื้นฟูค่อยหลอม”
มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับ ตามด้วยกล่าว “ขอบคุณท่านมาก สหายหลัว ข้าคิดว่าจะกลับไปเหยากวงเสียตอนนี้”
หลัวอวี้เฉิงกวาดตามองใบหน้าซีดขาวของมั่วชิงเฉิน จากนั้นพูดเสียงเย็น “เจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ สูญเสียเลือดเสียขนาดนี้ อย่างน้องก็ต้องพักฟื้นเจ็ดวันถึงจักเร่งเดินทางได้”
มั่วชิงเฉินปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “มิได้ ตอนนี้เหลือเวลาเพียงครึ่งเดือนก่อนจะถึงวันที่สิบห้าเดือนแปด ถ้าหากต้องพักฟื้นอีกเจ็ดวัน ข้าจักต้องกลับไปไม่ทันแน่”
“ไม่อยากมีชีวิตต่อแต่อยากแต่งงานเช่นนั้นหรือ” หลัวอวี้เฉิงถามออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
มั่วชิงเฉินยิ้มบางๆ “กล่าวเกินจริงไปแล้ว”
มุมปากของหลัวอวี้เฉิงยกขึ้น “เกินจริงหรือ ดวงจิตของเจ้าได้รับบาดเจ็บ ตามองไม่เห็น แล้วยังทำร้ายตนเองด้วยการเบิกเนตรสวรรค์อีก สิ่งเหล่านี้ล้วนมิอาจใช้ยาลูกกลอนบำรุงได้!”
มั่วชิงเฉินยกยิ้ม “แม้ว่าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องรีบกลับไป ข้ามิอาจให้เขาเผชิญหน้ากับงานแต่งงานเพียงลำพังได้”
บาดแผลทางกายไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็สามารถใช้เวลาฟื้นฟูได้ เดิมที่นางก้าวเดินบนเส้นทางแห่งเซียนนี้เร็วเกินไป หยุดสักนิด มองจากระยะเวลาอันสั้นก็พบว่ามีผลกระทบ แต่หากดูจากระยะยาวแล้วเรื่องร้ายก็อาจกลายเป็นดีได้
แต่ถ้าหากพลาดช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตไป ทำร้ายคนที่รักนาง นางรู้ดีว่านางจะต้องเสียใจเป็นแน่
นางเชื่อมาตลอดว่าชีวิตอาจมีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งหวัง นั่นคือความไม่เที่ยงและประสงค์ของสวรรค์ แต่ไม่ควรจะเสียใจในทุกทางเลือก ขณะที่ตัดสินใจนั้นคือการทำตามความตั้งใจเดิมของตนอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วความเสียใจก็สามารถหลีกเลี่ยงได้
หลังความเงียบชั่วครู่ หลัวอวี้เฉิงก็ขยับเข้ามาใกล้ เขาพูดแต่ละคำอย่างชัดเจนราวอัญมณี “มั่วชิงเฉิน เจ้าวางใจและพักฟื้นสักเจ็ดวันเถิด ข้ารับรองกับเจ้าว่าจักต้องพาเจ้ากลับไปส่งที่เหยากวงทันงานแต่งงานแน่!”
มั่วชิงเฉินมองไม่เห็นแต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นของเขา นางหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครา จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเจิดจ้าออกมา “ได้”
หลัวอวี้เฉิงกัดริมฝีปากจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “จริงสิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ชายฝาแฝดของครึ่งปีศาจหลินมีนามว่าอันใด”
ได้ยินเขาพูดถึงครึ่งปีศาจอีกครา มั่วชิงเฉินก็รู้สึกประหลาดใจ นางถาม “ชื่ออันใดหรือ หรือว่ายังมีอันใดต่อจากนั้นอีก”
หลัวอวี้เฉิงยิ้มอย่างนึกสนุก “ไม่นับว่าต่อเนื่องหรอก เพียงแค่น่าสนใจกว่า พี่ชายของครึ่งปีศาจหลินมีนามว่าจั้วลั่ว”
มั่วชิงเฉินปัญญาเฉียบแหลม หลัวอวี้เฉิงเพิ่งพูดจบนางก็รีบถามอย่างประหลาดใจ “ลั่วหรือ หลงซานจื่อทายาทของเฉาเฟิง ให้กำเนิดฝาแฝดลั่วและหลิน ลั่ว…เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหรือ”
พูดถึงตรงนี้พลันเกิดคลื่นกระหน่ำขึ้นในใจ ประหนึ่งข้อมูลและภาพฉากเลือนรางสว่างวาบขึ้นและผ่านไป
กุญแจสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตูปรากฏขึ้นที่เมืองลั่วหยาง และแดนสวรรค์มี่หลัวตูก็ปรากฏขึ้นที่นั่นเป็นครั้งแรก เซียนเฮ่าเย่ว์แห่งสำนักลั่วสยาต่อสู้กับปีศาจที่แม่น้ำอิ้งสยาและพามั่วเฟยเยียนไปด้วย อาจารย์และลูกศิษย์ของฮวาเชียนซู่แห่งนิกายมารแดงสังหารทั้งตระกูลมั่ว การยึดครองของตระกูลหลัว และที่ผืนนี้ที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ต่อสู้ของลั่วเฟิงเจ้าปีศาจและพี่น้องฝาแฝดมานานเท่าใด แม้กระทั่งเวินหนิงที่มาถึงเทียนหยวนและเลือกสถานที่แห่งนี้เพื่ออยู่อย่างสันโดษ ฝูเฟิงเจินจวินที่ตามมาก็พลัดหลงเข้าไปในแดนไร้วิญญาณ
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่ามีมือคู่หนึ่งคอยชักใยอยู่ในที่ที่มองไม่เห็นกัน