พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 507 วิธีรักษา
“เอ๋ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน” หลิวซางเจินจวินลุกขึ้นยืน
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน ร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไป ทันใดนั้นก็หักวกกลับมา คว้าข้อมือนักพรตฝูหมิงแล้วถาม “ชิงเฉินตอนนี้อยู่ที่ใด”
นักพรตฝูหมิงตกใจจนสะดุ้ง คิดจะหลบออกแต่ก็พบว่าเท้าของตนถูกสะกดนิ่ง จ้องเยี่ยเทียนหยวนตาเบิกโพลง แล้วสะดุ้งตกใจ “ลั่วหยางเจินจวินหรือ”
“ลั่วหยาง อย่าเพิ่งใจร้อน” หลิวซางเจินจวินตะคอกดัง
ผู้บำเพ็ญเพียรและระดับก่อกำเนิดผู้หนึ่งหากเสียกิริยา จะเป็นเช่นใด
เยี่ยเทียนหยวนสงบสติอารมณ์ แล้วมองไปยังนักพรตฝูหมิง
นักพรตฝูหมิงรับรู้เพียงแรงกดดันอันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้ามา เขาปาดเหงื่อแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องซู่เหยียนพาพวกเขาไปพักที่ห้องโถงข้างแล้ว…”
ไม่ทันขาดคำ เยี่ยเทียนหยวนก็พุ่งออกไปเสียแล้ว
นักพรตฝูหมิงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพูดขึ้นอย่างสับสน “ลั่วหยางเจินจวินไยจึงอยู่ในสภาพนั้น…”
พูดเสร็จก็พลันหน้าถอดสี “แย่แล้ว!”
“อะไรหรือๆ หรือว่าภรรยาตัวน้อยของลั่วหยางเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น” เสวียนหั่วเจินจวินโผล่เข้ามา ถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
ผู้ชายคนหนึ่งมาส่งนางหนูชิงเฉิน ชายผู้นั้นเป็นใครกัน หากกล้าตีท้ายครัวเจ้าหนุ่มลั่วหยางแล้วละก็ ข้าาจะเชือดมันเอง!
เสวียนหั่วเจินจวินคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ความรู้สึกใคร่รู้หนักขึ้น แทบอดไม่ได้ที่จะรีบพุ่งออกไปเพื่อดูให้รู้ แต่เมื่อนึกขึ้นว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เด็กทั้งสองคนจะได้พูดถึงความจริงในใจซึ่งกันและกัน ก็ได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้
เห็นสีหน้าใคร่รู้ใคร่เห็นจนปิดบังไม่อยู่ของเสวียนหั่วเจินจวิน นักพรตฝูหมิงก็แอบกระตุกมุมปากยิ้มหนึ่งที แล้วพูดขึ้นว่า “นักพรตชิงเฉิงดูท่าแล้วคงไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนชายผู้นั้นดูเหมือนเพียงแค่อ่อนล้าเท่านั้น แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไรหรือ” เสวียนหั่วเจินจวินมองด้วยแววตาร้อนรน อดไม่ได้ที่จะหยิบพัดขึ้นมาเคาะนักพรตฝูหมิงสองสามที
นักพรตฝูหมิงเห็นหลิวซางเจินจวินเองก็มีสีหน้าเป็นห่วง จึงรวบรวมความกล้าพูดออกมา “แต่ว่าชิงเฉิงและชายผู้นั้น มือทั้งคู่กุมกันแน่น แม้ทั้งสองจะสิ้นสติ แต่กลับแยกตัวจากกันไม่ออก หากลั่วหยางเจินจวินเห็นเข้า ดูเหมือนจะไม่งาม…”
เสวียนหั่วเจินจวินหยิบพัดขึ้นมาตีฝ่ามือ แล้วตะโกนพูดเสียงดัง “ไอ้หยา นี่มันชัดเจนว่าไม่งาม เจ้าหนุ่มลั่วหยางอย่าได้ใจร้อนเชือดเจ้าหนุ่มนั่นเป็นอันขาด วันมงคลใหญ่จะมาเห็นเลือดเช่นนี้ไม่มงคลเลย ไม่ได้ ข้าคงต้องไปดูสักหน่อยแล้ว วัยรุ่นอย่างไรก็เลือดร้อน”
พูดจบ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ ตามออกไปร่วมสนุกด้วยท่าทีขึงขัง
นักพรตฝูหมิงอึ้งงัน มองไปยังหลิวซางเจินจวิน “เจินจวิน ท่านดูสิ…”
หลิวซางเจินจวินส่ายหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฝูหมิง เจ้าไปรายงานเหอกวงหน่อย บอกว่าลั่วหยางและชิงเฉินกลับมาแล้ว อย่าได้กังวลใจ”
“ขอรับ” นักพรตฝูหมิงโค้งกายคำนับแล้วถอยออกไป
ต้วนชิงเกอสั่งการลูกศิษย์ที่ประจำหน้าที่ให้พยุงมั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงไปนอนบนตั่ง สายตาจดจ้องไปยังมือทั้งคู่ของพวกเขาที่กุมกันแน่น แล้วชำเลืองมองไปยังลูกศิษย์ประจำหน้าที่ “ไปกันก่อนเถอะ เรื่องราววันนี้อย่าได้แจ้งสู่ภายนอกเป็นอันขาด”
ลูกศิษย์ประจำหน้าที่ทั้งสองคนประสานสายตากัน แล้วตอบคำ “ขอรับ”
ต้วนชิงเกอรู้ดีว่าลูกศิษย์แห่งสำนักเหยากวงปากยาวชอบนินทาเพียงใด จึงได้กล่าวย้ำว่า “เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่น หากไม่รอบคอบ พรรคเหยากวงคงได้เสียหน้าต่อบรรดาผู้ร่วมสายบำเพ็ญทั้งหลายแน่ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
ลูกศิษย์ประจำหน้าที่ทั้งสองคนตอบรับพร้อมกัน “ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ ท่านนักพรตซู่เหยียนโปรดวางใจ พวกข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
ต้วนชิงเฉินจึงได้พยักหน้าอย่างวางใจ แล้วสะบัดมือให้ทั้งสองออกไป
ลูกศิษย์พรรคเหยากวงแม้ว่าจะชอบซุบซิบนินทา ชอบเห็นความวุ่นวายคือความสนุกของตน แต่มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือรู้จักปกป้องชื่อเสียงของพรรค
ชิงเฉินและชายผู้หนึ่งมาสิ้นสติอยู่หน้าประตูพรรคมือทั้งคู่กุมกันแน่นก่อนวันงานมงคลเพียงวันเดียว หากเรื่องนี้ลือกันออกไป คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ดีร้ายอาจจะลือกันว่าชิงเฉินไม่พอใจกับการสมรส ลอบหนีตามชายอื่นไป
ต้วนชิงเกอคิดไปก็อดไม่ได้ที่จะมองประเมินชายผู้นั้น แล้วนิ่งอึ้งไปทันที
ชายผู้นี้สวมชุดพิธีกรรม ขับใบหน้าให้ดูซีดขาว ริมฝีปากไม่มีสีเลือด ดูซีดเขียวเล็กน้อย คงเพราะรีบเดินทางมา เส้นผมจึงยุ่งเหยิง แต่ยังคงเต็มไปด้วยทีท่างามสันโดษ
ชายผู้นี้ คือว่าที่สามีของมั่วหร่านอี บุตรสาวบุญธรรมของเจ้าสำนักเม่ยหมัว หญิงงามอันดับหนึ่งผู้บำเพ็ญมารไม่ใช่หรือ
ผ่านศึกพรตมารและวิกฤตอสูร ผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นของทั้งสามฝ่าย พวกเขาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านี้ต่างเคยได้ยินหรือได้พบเจอกันมาก่อน ต้วนชิงเกอและหลัวอวี้เฉิงเองก็มีโอกาสได้พบกันมาสองสามครั้ง
เดี๋ยวก่อน มั่วหร่านอีและชิงเฉินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ตอนนั้นงานมงคลของหญิงงามอันดับหนึ่งผู้บำเพ็ญมารกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และตอนนี้ ว่าที่สามีของนางและชิงเฉินก็มาปรากฏตัวสลบอยู่หน้าประตูพรรคเหยากวงด้วยกัน นี่จะเป็นแผนร้ายอะไรบางอย่างหรือเปล่า
หากเรื่องราวแพร่ออกไปว่าความจริงแล้วไม่ใช่มั่วหร่านอีหนีงานมงคล แต่เป็นหลัวอวี้เฉิงและชิงเฉิน…แล้วชิงเฉินจะเอาหน้าไปที่ใด
คิดได้ดังนี้ ต้วนชิงเกอก็ยื่นมือออกไปรวดเร็วดังสายฟ้า แปะลงไปยังจุดชีพจรลับแห่งหนึ่งบนแขนของหลัวอวี้เฉิงและมั่วชิงเฉิน
จุดชีพจรนี้มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาที่จะเข้าใจ หากแตะไปยังเส้นชีพจรบนมือก็จะทำให้เสียการควบคุม มือทั้งคู่ของทั้งสองคนย่อมคลายออกจากกัน
ประจวบเหมาะกับเวลานั้น เยี่ยเทียนหยวนก็ถลาเข้ามา เห็นวินาทีที่มือทั้งคู่ของสองคนนั้นแยกออกจากกัน
ต้วนชิงเกอเงยหน้าขึ้น เห็นเยี่ยเทียนหยวนก็ตื่นตระหนกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ลุกขึ้นพลัน แล้วพูด “ลั่วหยางเจินจวิน”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าอย่างร้อนรรน สาวเท้าเดินไปนั่งข้างกายมั่วชิงเฉิน วางนิ้วพาดลงไปบนข้อมือนาง
ต้วนชิงเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกเบาๆ แล้วพูดว่า “ชิงเฉินนางไม่ได้บาดเจ็บภายนอก แต่ดวงจิตได้รับการกระทบ ชีพจรเองก็ดูเหมือนจะได้รับความเสียหาย…”
“ไยจึงเป็นเช่นนี้” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วแน่น แล้วมองไปยังต้วนชิงเกอ “ศิษย์หลานต้วน ชิงเฉินเป็นเช่นนี้ เจ้ามีวิธีอะไรบ้างหรือไม่”
ดวงจิตดั้งเดิมและชีพจรได้รับความเสียหาย ไม่ใช่โอสถวิญญาณทั่วไปก็จะสามารถรักษาได้ เกรงว่าคงได้แต่ต้องใช้วิธีการของสายเยียวยา
ต้วนชิงเกอลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วเดินเข้าไปพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลั่วหยางเจินจวิน ข้าฝังเข็มให้ชิงเฉินแล้ว คงใช้เวลาอีกไม่นานนานก็คงฟื้นขึ้นมา รอนางได้สติแล้วค่อยถามเรื่องราวจากนาง แล้วข้าค่อยคิดหาวิธีการ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย”
ดวงจิตดั้งเดิมคือจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของผู้บำเพ็ญเพียร หากถูกกระทบกระเทือนผลที่ตามมายากจะพูด สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดอย่างหนึ่งนั่นก็คือ…สูญเสียการมองเห็น
ทว่าตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดยังไม่แน่ชัด งานย่อมไม่อาจพูดออกมาตามอำเภอใจได้
เยี่ยเทียนหยวนฝืนมุมปากยิ้ม แล้วพูดเสียงทุ้ม “เช่นนั้นก็รบกวนศิษย์หลานต้วนแล้ว ลั่วหยางขอบคุณเจ้า” พูดพลางกุมมือคาราวะ
ต้วนชิงเกอรีบหลบ แล้วพูด “ลั่วหยางเจินจวินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ชิงเกอและชิงเฉินรักกันดั่งพี่น้อง ย่อมต้องช่วยเหลือสุดความสามารถอยู่แล้ว”
เยี่ยเทียนหยวนกำลังจะพูดบางอย่าง ก็เห็นเสวียนหั่วเจินจวินถลาเข้ามา เดินสาวเท้าเบียดเข้าไปหน้าตั่ง ดวงตาแมวคู่นั้นมองไปยังหลัวอวี้เฉิง “อืม ลั่วหยาง เด็กหนุ่มนี่เองหรือที่พาภรรยาตัวน้อยของเจ้ากลับมาสินะ เอ๊ะ ไหนว่าพวกเขากุมมือทั้งคู่กันแน่นไม่ใช่หรือ”
ข้อมือเยี่ยเทียนหยวนที่กุมมั่วชิงเฉินอยู่เกร็งแน่น ใบหน้าเขียวปัดขึ้นมา
ต้วนชิงเกอเองก็ยิ้มเหือดไปเช่นกัน เจินจวิน นี่ท่านมาเพื่อก่อเรื่องหรือ
นางฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “สหายผู้นี้คงคุ้มครองชิงเฉินกลับมาส่ง เดินทางมาทั้งวันทั้งคืนใช้พลังวิญญาณจนสิ้นจึงหมดแรง ไม่ได้มีอะไรมากมาย ชิงเกอจะพาตัวเขาไปพักผ่อนที่อีกห้องหนึ่งก่อน”
พูดจบ ก็พาหลัวอวี้เฉิงเดินออกไปดูไม่เหลียวหันกลับ
ในห้องเหลือเพียงพวกเสวียนหั่วเจินจวินสามคน
เมื่อเห็นใบหน้าเขียวปัดของเยี่ยเทียนหยวน เสวียนหั่วเจินจวินก็ก้าวถอยหนึ่งก้าว พูดพลางหัวเราะว่า “ลั่วหยางเอ๋ย เจ้าดูแลชิงเฉินไปก่อนนะ ถ้ายังมีธุระต้องไปทำสักหน่อย”
ในที่สุดก็ได้สงบลง เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือไปรวบมั่วชิงเฉินมาไว้ในอ้อมอก กอดอยู่นานโดยไม่ได้พูดจาใดๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มั่วชิงเฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แม้ว่าจะไม่มองเห็น แต่อ้อมกอดและกลิ่นอายอันคุ้นเคยนั้นก็ทำให้ดวงตาแสบพร่า นางร้องขึ้นเสียงเบา “ศิษย์พี่ ใช่ท่านหรือไม่”
เยี่ยเทียนหยวนยื่นนิ้วออกไป ค่อยๆ คลึงบนสันคิ้วของมั่วชิงเฉิน แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ชิงเฉิน ข้าเอง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไป ลูบคลำใบหน้าของเยี่ยเทียนหยวน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เทียนหยวน ไยเจ้าไม่โกนหนวด”
ดวงตาของนางเป็นประกายสว่างใส บริสุทธิ์ดั่งน้ำ เยี่ยเทียนหยวนรีบคว้ามือที่ลูบไล้ใบหน้าของตน “ชิงเฉิน ตาของเจ้า มองไม่เห็นหรือ”
มั่วชิงเฉินยิ้มหวานหนึ่งที “ข้านึกว่าท่านจะไม่สังเกตแล้วเสียอีก”
เยี่ยเทียนหยวนใช้คางกดลงไปบนศีรษะมั่วชิงเฉินแน่น กดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “เป็นเพราะข้ามันโง่เขลา ไม่ควรให้เจ้าไปโดยลำพังเลย”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างไม่ได้ใส่ใจ “จะพูดเรื่องเกล่านี้ทำไมเล่า ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้วนะ จะให้ท่านคอยตามไปไหนมาไหนตลอดได้อย่างไร ไม่ต้องกังวล รอดวงจิตของข้าคืนสภาพดังเดิม ก็จะมองเห็นแล้ว อีกอย่าง ต่อให้มองไม่เห็น พวกเราก็ยังแต่งงานกันได้นี่”
เยี่ยเทียนหยวนกอดมั่วชิงเฉินเอาไว้แน่น แล้วพูดขึ้นอย่างหนักแน่น “แน่นอน”
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนหวานหนึ่งที “เช่นนั้น ท่านรีบไปจัดการตัวเอง ข้าไม่อยากออกเรือนกับตาลุงผู้หนึ่งหรอกนะ”
เยี่ยเทียนหยวนจุมพิตข้างหูมั่วชิงเฉิน แล้วกระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “วางใจเถอะ จะไม่ให้เจ้าต้องเสียหน้าแน่นอน”
ดวงตามั่วชิงเฉินเอ่อรื้น ไม่รู้ด้วยเหตุใด ตั้งแต่มองไม่เห็น เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ กลับรู้สึกอบอุ่นเป็นปีติยิ่งนัก
“เทียนหยวน สหายผู้นั้นที่มากับข้าเล่า เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยเทียนหยวนเงียบไปสักพัก เขาพูดขึ้นมา “วางใจได้ เขาแค่หมดแรง ศิษย์หลานต้วนพาเขาไปพักผ่อนแล้ว”
มั่วชิงเฉินหัวเราะขึ้นเบาๆ “เทียนหยวน ท่านกำลังหึงหรือ”
“ไม่นี่”
“ท่านกำลังหึงอยู่แน่” มั่วชิงเฉินทั้งที่มองไม่เห็น แต่ดวงตากลับฉายแววฉลาดเจ้าเล่ห์
เยี่ยเทียนหยวนจุมพิตลงบนดวงตาของนางอย่างรักใคร่ทะนุถนอม แล้วพูดขึ้นเบา “ใช่ ข้าหึงที่ผู้คอยคุ้มครองเจ้าหลายวันมานี้คือเขา คนที่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าคือเขา คนที่ส่งเจ้ากลับมาคือเขา แต่ว่า ข้าก็ยังรู้สึกขอบคุณเขา”
มั่วชิงเฉินเบียดกายเข้าไปในอ้อมอกของเยี่ยเทียนหยวน “สหายหลัวเป็นเพื่อนที่ควรค่าแก่การเชื่อถือ”
“อืม ข้ารู้”
ต้วนชิงเกอกระแอมเบาๆ หนึ่งที แล้วเลิกม่านเดินเข้าไป “ชิงเฉิน เจ้าฟื้นแล้ว”
“ชิงเกอ” ลุกขึ้นนั่งตัวตรง มั่วชิงเฉินเลี้ยวตามเสียงไปยังต้วนชิงเกอ
เยี่ยเทียนหยวนลุกออกจากที่ให้ รอดูต้วนชิงเกอตรวจอาการมั่วชิงเฉิน
ต้วนชิงเกอถามอยู่สองสามคำถาม แล้วเอาถุงใบหนึ่งออกมา เมื่อแผ่ออก ด้านในคือเข็มเงินวางเรียงเป็นแถว แล้วออกไปยังเยี่ยเทียนหยวนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ลั่วหยางเจินจวิน ท่านได้โปรดออกไปก่อนได้หรือไม่”
“เอ่อ” เยี่ยเทียนหยวนแดงไปทั้งหน้า รีบลุกขึ้นยืน “ชิงเฉิน ข้ารอเจ้าอยู่ข้างนอกนะ” พูดเสร็จก็รีบเดินออกไปแล้วปิดประตู
ต้วนชิงเกอประคองมั่วชิงเฉินนอนลง มือทั้งคู่ขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เวลาไม่นานทั่วกายของมั่วชิงเฉินก็เต็มไปด้วยเข็มเงิน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ จึงได้เก็บเข็มเงินกลับคืน
มั่วชิงเฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชิงเกอ ขอบคุณเจ้ามาก ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
ต้วนชิงเกอพูด “ชิงเฉิน ฝังเข็มเงินแล้ว ค่อยใช้ยาประเภทโอสถเลี้ยงจิตวิญญาณควบคู่ มีประโยชน์ต่อการรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้ แต่ดวงจิตได้รับความเสียหาย วิธีเช่นนี้คงช้าเกินไป”
มั่วชิงเฉินฟังไม่เข้าใจ จึงได้ถามขึ้น “เช่นนั้นยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่”
ต้วนชิงเกอกระซิบบอก “ย่อมมีแน่นอน เจ้าสามารถ…ให้ลั่วหยางเจินจวินช่วย…”
“หืม ช่วยอย่างไรหรือ” มั่วชิงเฉินไม่เข้าใจสิ่งที่พูด
ต้วนชิงเกอหน้าร้อนผ่าว แล้วกระซิบข้างหูมั่วชิงเฉินสองสามคำ